เจ้าของร้านพิศวง - บทที่ 11 ความรักคือสนามรบ
บทที่ 11 : ความรักคือสนามรบ
“คุณล้มเหลวสินะ?” เจ้าของร้านหนังสือพูดด้วยท่าทางประณาม ขณะจ้องมองไปที่จี้จือซู่
จี้จือซู่หายใจเข้าลึก ๆ และพยักหน้า พึมพำด้วยความโกรธและความผิดหวัง “ใช่ ฉันล้มเหลว… เขาหนีไปได้ โดยที่พวกเราไม่ทราบเบาะแสหรือที่อยู่ของเขาเลย ฉันส่งคนไปตามหาเขาแล้ว แต่ก็ยังไม่พบเบาะแสอะไร”
สถานการณ์ดูค่อนข้างจริงจังมากเลยแฮะ
หลินเจี๋ยขมวดคิ้วขณะคิดกับตัวเอง
ชายหนุ่มได้ค้นหาออนไลน์เกี่ยวกับจี้ป๋อหนงและบริษัทพัฒนาทรัพยากรโรลล์ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา หลินเจี๋ยเคยได้ยินเกี่ยวกับบริษัทนี้มาก่อน จนได้รู้ว่ามันคือบริษัทขนาดใหญ่ที่ผูกขาดภาคการพัฒนาทรัพยากรในเขตตอนล่างของนอร์ซิน และมีแบรนด์ในเครือมากมาย เช่น เครื่องประดับ เครื่องสำอาง และอาหาร
หลังจากผ่านการค้นคว้าอย่างละเอียด หลินเจี๋ยก็พบว่าบริษัทนี้มีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับฝ่ายบริหารของเมืองหลวงนอร์ซิน บริษัทนี้ไม่เพียงแต่ผูกขาดทรัพยากรของเขตตอนล่างเท่านั้น แต่ยังมีสิทธิ์ในจัดการบริหารฝ่ายบุคคลในเขตตอนล่างอีกด้วย
นอกจากบุคคลที่ได้รับการรับรองจากบริษัทนี้แล้ว การเข้ามาสู่เขตตอนล่างถือเป็นเรื่องต้องห้าม โดยบทลงโทษที่หนักที่สุด สำหรับผู้กระทำความผิดก็คือการจำคุกตลอดชีวิต และแม้แต่ครอบครัวของพวกเขาก็จะต้องถูกเนรเทศไปเป็นสาวกของโบสถ์แห่งโรคระบาด
เอกลักษณ์ของบริษัทพัฒนาทรัพยากรโรลล์สามารถเห็นได้อย่างชัดเจนข้อมูลทั้งหมดนี้ ฉะนั้นแล้วลูกสาวคนเดียวของจี้ป๋อหนงอย่างจี้จือซู่ จะต้องเป็นหญิงสาวที่เกิดมาในสังคมชั้นสูงส่งอย่างไม่ต้องสงสัย
การที่หญิงสาวผู้มีภูมิหลังสูงส่ง ดูแข็งแกร่ง และมีคู่ครองให้เลือกมากมาย กลับต้องมาถูกคนเลว ๆ หักอกเช่นนี้ หลินเจี๋ยจึงเดาว่าชายคนนั้นจะต้องมีตำแหน่งอิทธิพลค่อนข้างสูง และอาจมีผู้สมรู้ร่วมคิด ที่ทำให้จี้จือซู่ไม่สามารถตามหาตัวเขาเจอ และชำระแค้นได้
เขาคนนั้นจะต้องเกี่ยวข้องกับองค์กรอาชญากรอย่างแน่นอน!
ในความเห็นของหลินเจี๋ย คนเลวที่หักอกของจี้จือซู่นั้นไม่ใช่เพียงแค่นักต้มตุ๋นธรรมดา ๆ แน่!
เจ้าของร้านหนุ่มยิ้มอย่างมั่นใจพร้อมดันถ้วยชาร้อนไปข้างหน้า “ใจเย็น ๆ ไม่ต้องห่วง บอกฉันมาหน่อยสิ ว่าช่วงสองสามวันที่ผ่านมานี้คุณทำอะไรไปบ้าง?”
เห็นได้ชัดว่าหญิงสาวตรงหน้าเขาประสบกับความล้มเหลวอย่างหนัก จนทำให้เธอเริ่มสงสัยในตัวเอง นี่จึงไม่ใช่เวลาที่หลินเจี๋ยจะมาวางท่าทีที่เข้มงวด
ก่อนหน้านี้ชายหนุ่มเคยใช้คำพูด ‘โน้มน้าว’ กระตุ้นให้จี้จือซู่อยากจะแก้แค้น แต่สำหรับวันนี้เขาคิดว่าปลอบโยนเธอก่อนน่าจะดีที่สุด
การที่คนเลวคนนั้นต้องหนีเอาตัวรอด หมายความว่าการแก้แค้นของจี้จือซู่ประสบความสำเร็จ อย่างไรก็ตามการหลบหนีของอีกฝ่ายก็ทำให้ความตั้งใจของจี้จือซู่สั่นคลอน
นี่ไม่ใช่เรื่องน่ากังวลเท่าไหร่นัก ด้วยอำนาจที่ตระกูลของจี้จือซู่มี มันไม่น่าจะเป็นไปได้ที่อีกฝ่ายจะหนีหายไปอย่างไร้ร่องรอย สถานการณ์ปัจจุบันจึงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเพียงชั่วคราวเท่านั้น
ตอนนี้จี้จือซู่น่าจะคิดว่าเธอหมดหนทางแล้วจริง ๆ จึงได้มาหาหลินเจี๋ยเพื่อขอคำแนะนำ ซึ่งนี่ก็เป็นสิ่งที่ดีเช่นกัน
จี้จือซู่ต้องการพึ่งพาคำปรึกษาของหลินเจี๋ย ซึ่งหมายความว่าหลินเจี๋ยน่าจะสามารถช่วยรักษาสภาพจิตใจของเธอให้คงที่ได้ ตราบใดที่เขาพยายามให้มากขึ้น!
กลยุทธ์ที่หลินเจี๋ยใช้ในตอนนี้คือบอกให้จี้จือซู่ ทบทวนแต่ละขั้นตอนในแผนการแก้แค้นของตน จากนั้นก็ค่อย ๆ บรรเทาความทุกข์ทรมานในใจ เพื่อฟื้นความมั่นใจในตัวเองของเธอกลับมาอีกครั้ง
หัวใจของจี้จือซู่เต้นไม่เป็นจังหวะ เมื่อสังเกตเห็นคิ้วของเจ้าของร้านหนังสือที่ย่นลง
ไม่นะ นี่เป็นเพราะความล้มเหลวของเรางั้นเหรอ? แบบนี้เขาจะเลือกคนอื่นแทนเรารึเปล่า?
ความคิดวิตกกังวลท่วมท้นจิตใจของจี้จือซู่อย่างรวดเร็ว ทำให้เธอรู้สึกตื่นตระหนกมากกว่าตอนที่เฮริสหลบหนีไปได้เสียอีก
โชคดีที่รอยยิ้มของหลินเจี๋ยกลับมาอีกครั้ง หลังจากผ่านไปไม่นาน ชายหนุ่มก็รินชาให้เธอเหมือนครั้งก่อน
นักล่าสาวถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ฟู่ หวังว่านี่จะหมายความว่าเขาให้อภัยเรานะ! ที่เขาขอรายงานการกระทำของเราก็น่าจะเพื่อให้เราได้ทบทวนตัวเอง
จี้จือซู่รับถ้วยชามา ก่อนจะพูดต่อ “ฉันต่อสู้กับเขาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาสองวัน แม้ว่าเขาจะเหนือกว่าฉันมาก แต่ฉันเองก็แข็งแกร่งขึ้นมากเช่นกันหลังจากได้รับคำแนะนำจากคุณ ทำให้เขาต้องให้ล่าถอยไปเรื่อย ๆ”
“เมื่อวานนี้ หลังจากจ่ายราคามหาศาลและโจมตีอย่างหนักกว่าห้าชั่วโมง ฉันก็สามารถทำลายแหล่งกบดานหลักของเขาได้สำเร็จ…”
“ท้ายที่สุดเมื่อวานนี้ เขาก็ได้ละทิ้งลูกน้องและหนีไปตามลำพัง เพราะรู้ว่าไม่ใช่จะรับมือฉันได้ง่าย ๆ ฉันรู้ว่าตัวเองประเมินเขาต่ำเกินไป และการที่สิ่งต่าง ๆ พัฒนาไปอย่างราบรื่นนั้น ก็เปรียบเสมือนการเตือนว่ามีบางอย่างผิดปกติ”
จี้จือซู่เงยหน้าขึ้นด้วยแววตาสำนึกผิด “ฉันขอโทษหลินเจี๋ย ฉันได้ใจเกินไป”
“ไม่เป็นไร มันไม่ใช่ความผิดของคุณหรอก” หลินเจี๋ยพูดด้วยรอยยิ้ม พร้อมจิบชาเพื่อปกปิดการกระตุกเล็กน้อยบนริมฝีปาก
เหมือนว่า… จะมีบางอย่างผิดปกติแปลก ๆ นะ… ช่างเถอะ…ว่ากันว่าความรักก็เหมือนธุรกิจ และธุรกิจก็คือสนามรบ ดังนั้นความรักเองก็คือสนามรบเช่นกัน คุณหนูคนนี้น่าจะเคยชินกับการใช้คำศัพท์ธุรกิจ ดังนั้นการเล่าของเธอเลย… แปลก ๆ นิดหน่อย
ฮาฮาฮาฮาฮา
จะว่าไปแล้วเจ้าคนที่ชื่อว่ารูเอนนั่นเรียกจี้จือซู่ว่า ‘นายหญิง’ สินะ? ดูเหมือนว่าคุณหนูคนนี้อยู่ในสมาคมลับบางอย่าง ไม่แปลกที่เด็กในตระกูลผู้มีอิทธิพลจะทำอะไรแบบนี้
อืม… เท่านี้มันก็พอจะเข้าใจได้บ้าง การต่อสู้ที่เธอพูดถึง น่าจะหมายถึงการต่อสู้กับเจ้าคนเลวคนนั้นเป็นเวลาสามวัน หรือบางทีอาจจะเป็นเพียงการทะเลาะวิวาทกันของคู่รักในศาล หรือบางทีก็อาจจะเป็นการต่อสู้ทำร้ายร่างกายกัน
อีกฝ่ายอาจจะผู้ช่วยคอยสนับสนุน คนช่วยจีบ สาวที่ช่วยแนะนำสาว ๆ ไม่เคยคิดจะช่วยเหลือจี้จือซู่ตอนลำบาก ทำให้พวกเขาทั้งหมดติดร่างแหความแค้นของจี้จือซู่ไปด้วย
อย่างไรก็ตามจี้จือซู่เข้าใจเพียงแค่ว่าอีกฝ่ายได้เตรียมเส้นทางหลบหนีสำหรับตัวเองเอาไว้แล้ว เสียสละผู้ช่วยผู้สมรู้ร่วมของเขา เพื่อรักษาชีวิตตัวเอง!
ผลเลยน่าจะออกมาเป็นแบบนี้…
หลินเจี๋ยพยักหน้าและกระแอมในลำคอ “ถ้าเป็นแบบนั้น ฉันค่อนข้างเข้าใจดีเลย”
จี้จือซู่รู้สึกยินดีมาก เธอพยายามควบคุมการแสดงออกของตน ก่อนจะถามอย่างระมัดระวัง “คุณมีคำแนะนำอะไรไหม?”
ขณะที่ทั้งสองสนทนากัน รูเอนที่ยืนอยู่นิ่ง ๆ ไม่มีอะไรทำก็ได้ใช้หางตาสำรวจร้านหนังสือแห่งนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่มไปมาจนติดเป็นนิสัย
นี่เป็นลักษณะนิสัยที่รูเอนสร้างขึ้นตลอดช่วงการทำงานหลายปีในฐานะพ่อค้าข้อมูล หลังจากที่ได้เป็นนักล่าและเข้าร่วมกับกลุ่มหมาป่าขาว ชายหนุ่มก็ได้เข้าไปช่วยเฮริสทำให้ที่รวบรวมข้อมูลโดยเฉพาะ
แม้ว่ารูเอนจะไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านการต่อสู้ แต่เขาก็เป็นมืออาชีพด้านข่าวกรองของแท้ ระดับที่ว่ามีเส้นสายด้านแหล่งข้อมูลมากพอที่จะรู้ข้อมูลภายในของพวกสมาคมแห่งสัจธรรม!
แม้ว่าชายหนุ่มตัวเล็กคนนี้จะยอมจำนนต่อความแข็งแกร่ง และมีท่าทางเจียมเนื้อเจียมตัวอยู่ตลอด แต่ลึก ๆ แล้วเขาเองก็มีศักดิ์ศรีในฐานะหน่วยข่าวกรองเช่นกัน
แทบจะไม่มีเรื่องใดในเมืองนอร์ซินที่รูเอนไม่รู้
และตอนนี้เขาก็ได้รับรายงานลับสุดยอดที่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะได้อ่าน นั่นก็คือรายงานที่บอกว่า บุรุษหน้ากากดำ แฟรงก์ ไวลด์ กำลังซ่อนตัวอยู่ในเมืองนอร์ซิน!