เจ้าของร้านพิศวง - บทที่ 110 เด็กคนนั้น
เชอร์รี่? เชอร์รี่ แชปแมน!
ในเมื่อหัวข้อนี้เกี่ยวพันกับหอการค้าแอชแล้ว มันก็ใช้เวลาไม่นานเลยสำหรับวินเซนต์ที่จะโยงชื่อนี้เข้ากับหนึ่งในสามผู้นำของหอการค้าแอชได้
‘แม่มดแชปแมน’ เชอร์รี่ แชปแมนผู้เคยถูกกีดขวางการพัฒนาอำนาจ
ที่จริงแล้ว บุคคลเหนือธรรมชาติระดับต่ำนั้นไม่ค่อยรู้อะไรนักเกี่ยวกับบุคคลของฝ่ายอื่น ๆ และมีโอกาสน้อยลงไปใหญ่ที่จะรู้จักกับบุคคลที่มีชื่อเสียงยิ่งกว่า
ในฐานะบาทหลวงที่มักจะรับงานปราบวิญญาณร้ายและทำสมาธิทุกวัน ข่าวลือซุบซิบนั้นไม่ใช่ความบันเทิงสำหรับวินเซนต์ และความรู้ของเขาเกี่ยวกับตัวตนที่ยิ่งใหญ่เหล่านั้นก็ยิ่งน้อยไปใหญ่
แต่ว่าหอการค้าแอชนั้นจะถูกควบคุมโดยนักบวชดรูอิด นักบวชกลุ่มนี้มีจำนวนน้อยกว่า มีขอบเขตในการเหนี่ยวนำอำนาจสูงกว่า และไม่ค่อยรับงานเผยแพร่ศาสนาเท่าไหร่ก็ตาม แต่พวกเขาก็ยังถือว่าเป็นนักบวชแขนงหนึ่ง
ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาเป็นนักบวชแขนงที่ให้ความร่วมมือกับโบสถ์ ดังนั้นโบสถ์แห่งจุดสุงสุดจึงยังให้ความสนใจกับหอการค้าแอชเป็นพิเศษ
โดยเฉพาะ…การขึ้นสู่อำนาจของบุคคลเลือดผสมที่เป็นทั้งเรื่องเพ้อฝันและเป็นที่ถกเถียงกัน ซึ่งหมายความว่ากระทั่งวินเซนต์ยังรู้ชื่อของผู้นำคนใหม่นี้
หลินเจี๋ยอยากจะอธิบายเรื่องเกี่ยวกับเชอร์รี่อีกสักหน่อย ทว่าเขาก็สังเกตสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยของวินเซนต์ได้
“โอ้?” หลินเจี๋ยเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง “คุณก็รู้จักเด็กคนนั้นด้วยเหรอครับคุณพ่อ?”
“ผมคิดว่าใช่…คนจากตระกูลแชปแมนใช่ไหมครับ?” วินเซนต์ถามอย่างระมัดระวังแล้วอดเขยิบไปข้างหลังไม่ได้เมื่อเขาได้รับคำยืนยัน
เจ้าของร้านหนังสือเรียกเชอร์รี่ แชปแมนว่า ‘เด็กคนนั้น’
แม้ว่าจะมีข่าวลือว่าเธอมีรูปลักษณ์เหมือนเด็กสิบสองขวบก็ตาม แต่อายุจริงของแม่มดแชปแมนนั้นเกินร้อยปีแล้ว…
ในขณะที่อายุนี้ไม่เยอะมากในหมู่เหล่าเอลฟ์ราตรีก็ตาม แต่สำหรับมนุษย์ นี่คือตัวเลขที่เกินกว่าอายุขัยสูงสุดของมนุษย์ธรรมดาไปแล้ว
นี่คือประสบการณ์จริงเกินร้อยปี มิเช่นนั้นเชอร์รี่คงไม่สามารถครองตำแหน่งในองค์กรใหญ่อย่างหอการค้าแอชไว้ได้ ต่อให้เธอจะมีข่าวลือว่าสามารถบงการหัวใจของคนอื่น ๆ ได้ก็ตาม
ดูเหมือนว่าการคาดเดาก่อนหน้านี้ของวินเซนต์จะถูกต้องแล้ว…เจ้าของร้านหนังสือเป็นอมตะอย่างแน่นอน!
ยิ่งกว่านั้น วิธีที่เขาพูดขึ้นมาอย่างสบาย ๆ ว่าจะ ‘ไปถามเธอให้’ แสดงให้เห็นว่าเขาค่อนข้างสนิทกับแม่มดแชปแมนด้วย
นี่หมายความว่าชายหนุ่มผู้นี้สามารถติดต่อกับเชอร์รี่ แชปแมนได้ทุกขณะและทำให้เธอสืบหรือทำอะไรสักอย่างเพื่อเขาได้อย่างง่ายดาย
วินเซนต์ยิ่งทึ่งในอิทธิพลของเจ้าของร้านหนังสือนี้เข้าไปทุกขณะแล้วหยั่งเชิงเบา ๆ “คุณเชอร์รี่เขาเยี่ยมยอดจริง ๆ นะครับ ผมได้ยินชื่อเสียงของเธอมานานแล้ว แล้วเธอก็สร้างความประทับใจที่ค่อนข้างลึกล้ำในหอการค้าแอชด้วยในช่วงไม่กี่ปีก่อน เอ่อ…เธอสุดยอดมากจริง ๆ นะครับ!”
เห็นได้ชัดเลยว่าวินเซนต์ไม่ได้มีประสบการณ์ชมคนอื่นมากนัก แม้ว่าเขาจะอยากจะประจบเจ้าของร้านหนังสือที่มี ‘ความสัมพันธ์พิเศษ’ กับแม่มดแชปแมนคนนี้ก็ตาม แต่บาทหลวงก็ทำได้เพียงพึมพำคำพูดแห้ง ๆ ไม่กี่ประโยคออกมาได้แบบนี้
และนั่นทำให้ตัวเขาหน้าแดงด้วยความละอายอย่างบอกไม่ถูก
ตามหลักเหตุและผล บาทหลวงควรจะมีคำพูดลื่นไหล ในเมื่อพวกเขารับผิดชอบในการเทศนาและนำทางคน ทว่าวินเซนต์นั้นพูดไม่เก่งจริง ๆ และมักจะให้เหล่าแม่ชีหรือนักบวชคนอื่น ๆ รับงานนี้ไป
ปกติแล้วเขาไม่ได้พูดมากเมื่อออกมาปราบวิญญาณร้ายและมักใช้ข้อความในการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพก่อนการลงมือ…
คุณพ่อวินเซนต์ภาวนาว่าเจ้าของร้านหนังสือจะไม่เห็นความคิดที่แท้จริงของเขาภายใต้ภาพลักษณ์โง่เขลาของตัวเอง
“ฮ่า ๆ งั้นเหรอครับ? เห็นได้ชัดเลยว่าเธอยังเป็นเด็กกะโปโลที่พูดจาเลอะเทอะในตอนที่เธอมาซื้อหนังสือครั้งแรก แต่เธอก็เป็นเด็กน้อยที่มีความสามารถและบุคลิกที่ดีจริง ๆ แล้วผมก็หวังว่าเธอจะโตขึ้นกว่าตอนนั้นมากแล้วนะ”
หลินเจี๋ยอดยิ้มอย่างอบอุ่นไม่ได้เมื่อเขาย้อนนึกถึงครั้งแรกที่เขาได้พบคุณหนูน้อยผู้ดื้อรั้นและงดงามคนนี้เป็นครั้งแรก
เขายิ้มราวกับเป็นบุพการีที่ได้ยินคำชมว่าบุตรของเขาได้เกรดสวย
วินเซนต์โล่งใจ ปรากฏว่าเชอร์รี่เองก็แค่ลูกค้าของร้านหนังสือนี้เหมือนกัน แค่ว่าดูเธอจะมีความสัมพันธ์อันดีมาก ๆ กับเจ้าของร้านเท่านั้นเอง
แต่…พูดจาเลอะเทอะ?! นั่นเป็นคำอธิบายที่เหมาะสมกับ ‘แม่มดแชปแมน’ แล้วเหรอ?!
วินเซนต์อดคิดไม่ได้ว่าเขาได้ยินผิดไป
หลังจากการย้อนระลึกจบลง หลินเจี๋ยก็ควบคุมสีหน้าของเขาแล้วสอนต่อ “ไม่ว่ายังไง ผมจะให้เชอร์รี่ตรวจสอบหอการค้าแอชให้ครับ ในขณะเดียวกัน คุณควรสังเกตคนอื่น ๆ ที่สูบสารเดียวกันกับคุณไว้หลังจากกลับไปนะครับ”
“บันทึกจำนวนที่พวกเขาสูบ ผลข้างเคียง ความเหมือน แล้วก็…พยายามเข้าให้ถึงอัครสาวกลำดับ 7 ที่คุณพูดถึง ให้เขารู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุณ อย่าพยายามซ่อนมันนะครับ”
วินเซนต์ลังเลเล็กน้อย “มันจะไม่เป็นการไปทำให้พวกเขาตื่นตัวเหรอครับ?”
หลินเจี๋ยหัวเราะ “นี่เพื่อเป็นการปกป้องตัวคุณไม่ให้ถูกจับได้จากการหยุดใช้ยาครับ หากพวกเขากระจายแก่นจันทร์ศักดิ์สิทธิ์พวกนี้ให้กับนักบวชจำนวนมากจริง งั้นก็เป็นที่แน่ใจได้ว่าคุณจะไม่มีความผิดปกติอะไรเกิดขึ้น อย่าห่วงเลยครับ ไม่มีทางที่จะหนีความเสี่ยงแบบนี้ได้หรอก”
“สุดท้ายแล้ว พวกเขาก็ไม่ได้พยายามฆ่าคุณ แต่แค่พยายามให้พวกคุณทุกคนเสพติด เมื่อคุณแสดงให้เขาเห็นว่าคุณแค่ซื่อสัตย์ มันก็จะไม่ทำให้พวกเขาสงสัยคุณมากนัก แล้วพวกเขาก็จะแค่พยายามคิดหาทางล้างสมองคุณเท่านั้นเอง”
“ในทางกลับกัน ถ้าคุณทำตัวลังเลแล้วพยายามกลบปิดมัน มันหมายความว่าคุณรู้แล้วว่ามีบางอย่างผิดปกติและไม่เชื่อมั่นในพวกเขาอีกต่อไป…เห็นไหมครับ?”
วินเซนต์พยักหน้า “เข้าใจแล้วครับ”
“เยี่ยมเลย มันดึกไปสักหน่อยแล้วนะครับคุณพ่อ” ในที่สุดหลินเจี๋ยก็พูดติดตลก “อย่าปล่อยให้เพื่อนบ้านแสนดีของผมรอนานนักเลยครับ เขายังรอคอยความคืบหน้าของการ ‘ปัดรังควาน’ ของคุณอยู่นะ ผมเกรงว่าเขาอาจจะแจ้งตำรวจก็ได้ถ้าคุณค้างที่นี่”
แล้วเขาก็กระซิบ “จำไว้ให้ดีนะครับ ถ้าคุณเจออะไรที่ดูไม่ชอบมาพากล ครั้งหน้าบอกผมด้วยนะ”
“ศรัทธาในตัวเอง แล้วคุณจะเห็นแสงสว่างครับ”
หลังจากมูเอนช่วยบันทึกข้อมูลส่วนตัวของบาทหลวงแล้วรับเงินมัดจำมาแล้ว วินเซนต์ก็ขอตัวลาอย่างนอบน้อม
หน้าผากของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อ เปียกชุ่มมาจนถึงผ้าปิดตาของเขา
วินเซนต์อดไม่ได้ที่จะผ่อนลมหายใจยาวเมื่อออกมาข้างนอกได้แล้ว ในที่สุดก็คลายมือที่กำไว้จนแน่นออก
นั่นมัน…น่ากลัวไปแล้ว!
ครั้งนี้เป็น ‘การปัดรังควาน’ ที่น่าเหลือเชื่อที่สุดเท่าที่วินเซนต์เคยประสบมาอย่างแน่แท้ แต่ตอนนี้ เขาต้องหาทางว่าจะปลอบคุณคอลิน เพื่อนบ้านที่น่าสงสารคนนี้ได้อย่างไร
วินเซนต์ยิ้มแห้ง ๆ เมื่อทอดสายตามองหนังสือในมือเขา ในทันใดนั้น เสียงผู้หญิงอันแหบพร่าก็ดังมาจากข้างหลังเขา
“บาทหลวงจากโบสถ์แห่งจุดสูงสุดเหรอ?”
วินเซนต์หันกลับมาอย่างตกใจ จากนั้นก็เห็นดวงตาสีเทาเหล็กคู่หนึ่ง ตามด้วยหญิงสาวร่างสูงที่ก้าวออกมาจากในความมืด หญิงสาวผู้นั้นถือไม้เท้าสีดำและสวมต่างหูทรงหยดน้ำสีเลือดข้างหนึ่ง
ร่างของเธอแผ่ความเย็นเยียบอันลี้ลับและกลิ่นเลือดจาง ๆ ออกมา วินเซนต์สัมผัสความน่าสะพรึงกลัวในลักษณะเดียวกันกับที่เผชิญหน้าวิญญาณแค้นนับไม่ถ้วนในการ์กอยล์หินนั่น
ระฆังเตือนภัยเริ่มดังในหัวของวินเซนต์
นักล่า!
นักล่าที่แข็งแกร่งในระดับสัตว์ประหลาดหรือสูงกว่านั้น!