เจ้าของร้านพิศวง - บทที่ 112 เผลอเปิดมันเข้าแล้ว
“นี่คือสิ่งที่เขาทิ้งไว้เหรอครับ?”
หลินเจี๋ยเหล่มองกล่องทองเหลืองที่อยู่ตรงหน้าเขา
มันเป็นลูกเต๋าที่มีความยาวต่อด้านประมาณยี่สิบเซนติเมตร มันดูหนักและแต่ละหน้าก็ถูกสลักลวดลายที่ละเอียดอ่อนและลึกลับเอาไว้
มันมีหลุมเว้าสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ อยู่บนหน้าบนสุด แล้วทั้งแปดมุมแต่ละมุมของกล่องก็ถูกฝังทับทิมขนาดเท่าเล็บมือเอาไว้ เชื่อมกันเป็นข่ายเดียวแล้ว ‘ล็อก’ กล่องนี้ไว้
ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่เป็นชิ้นงานที่หายากและประณีตบรรจง มันดูแพงมากและคู่ควรกับ ‘คนรวย’ อย่างจี้จือซู่
จริงสินะ ใครที่จะเป็น ‘เดนมนุษย์’ ให้คุณหนูผู้มั่งคั่งคนนี้ได้ก็ย่อมไม่ใช่คนธรรมดาอยู่แล้ว
ถ้าเป็นอย่างที่หลินเจี๋ยสงสัย กล่องนี้ก็อาจจะเต็มไปด้วยวัตถุแห่งรัก หรืออาจจะเป็นภาพหรือของอื่น ๆ ที่เจ้าเดนมนุษย์นั่นเหลือไว้เพื่อข่มขู่จี้จือซู่ก็ได้
เพราะฉะนั้น มันหมายความว่ากล่องใบนี้ก็เทียบได้กับตู้เซฟ
การทำตู้เซฟให้ดูเหมือนกล่องสมบัตินั้นเป็นการกระทำที่น่ารังเกียจโดยเดนมนุษย์คนนั้นอย่างแน่นอน…
หลินเจี๋ยดูขยะแขยงเล็กน้อย
จี้จือซู่มองสีหน้าของหลินเจี๋ยขณะที่เขาสำรวจกล่อง เมื่อเธอเห็นความขยะแขยงเล็กน้อยในแววตาของเขา เธอก็รู้สึกเหมือนหัวใจบีบตัวแน่นแล้วเธอก็กำไม้เท้าของตัวเองแรงขึ้น
บ้าจริง! ผนึกของกล่องนี้ง่ายไปเหรอ? คุณหลินคิดว่าเราทำให้เขาเสียเวลาโดยการนำของกระจอกแบบนี้มาให้เขาหรือเปล่านะ?
เธอไม่รู้เกี่ยวกับอักขระที่พวกนักเวทมนตร์ขาวใช้กันมากนัก แต่ความจริงที่เฮริสเก็บสูตรเลือดอสูรของสกายวูลฟ์ไว้ในกล่องนี้หมายความว่าเขาเชื่อว่ามันปลอดภัย…
นี่คือรากฐานขององค์กรนักล่า!
ชายผู้ทำให้หมาป่าขาวกลายเป็นหนึ่งในองค์กรสูงสุดของนักล่าในเมืองหลวงนอร์ซินได้ด้วยตัวคนเดียวย่อมไม่ปล่อยปละเรื่องนี้แน่…
แม้ว่าเขาจะถูกกระจกมนตราครอบงำในช่วงเดือนที่ผ่านมาก่อนจะค่อย ๆ เสียสติแล้วตายลงอย่างพวกคลั่งศาสนาจนพลีชีพก็ตาม ความจริงที่ว่าเฮริสคือบุคคลที่เยือกเย็น เจ้าแผนการและหลักแหลมก่อนเรื่องทั้งหมดจะเกิดขึ้นก็ยังคงอยู่
จี้จือซู่ใช้เวลาในหมาป่าขาวอยู่พักใหญ่ เธอคงไม่เข้าร่วมกับหมาป่าขาวหรอกถ้าตอนนั้นเธอไม่พอใจกับมัน
เพราะถึงอย่างไร การสนับสนุนจากจี้ป๋อหนง ก็ทำให้เธอมีตัวเลือกให้เลือกได้มากเกินพอ
เฮริสเป็นผู้นำและนักวางอุบายที่ประสบความสำเร็จคนหนึ่ง
เรื่องนี้ยังคงมีให้เห็นในตอนที่เขาอยู่ภายใต้อิทธิพลของกระจกมนตราในสัปดาห์แรก
ในตอนนั้น เขาได้ใช้ความตายของคาจิในการหลบหนี หันไปพึ่งลัทธิสีชาดแล้วใช้พวกเขาเป็นโล่ พร้อม ๆ กับใช้ประโยชน์จากศพของชาร์ลส์เพื่อพยายามลอบสังหารไวลด์
ในฐานที่มั่นใต้ดินสุดท้ายนั้น จี้จือซู่ได้รับเบาะแสบางอย่างที่เพียงพอที่เธอจะปะติดปะต่อเป็นความจริงได้อย่างคร่าว ๆ
เหตุการณ์ทั้งสามนี้ เฮริสลอบนำมาใช้อย่างรวดเร็ว เพียงแค่ว่าเหตุการณ์ที่สามถูกเปิดเผยออกมากะทันหันด้วยเหตุผลที่มิอาจทราบซึ่งนำไปสู่การล่มสลายอย่างรวดเร็วของลัทธิสีชาด…
แน่นอนว่าจี้จือซู่ตระหนักดีว่าต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นหลังฉากแน่ ๆ เพราะถึงอย่างไรไวลด์ก็ถูกเจ้าของร้านหนังสือเรียกว่า ‘เฒ่าไวลด์’ และก็ยังเป็นลูกค้าของร้านเหมือนเธอด้วย
แต่เมื่ออิทธิพลของกระจกมนตราหยั่งรากลึกขึ้น เฮริสก็ค่อย ๆ ถูกสัญชาตญาณดิบของเลือดอสูรกลืนกิน เขาเสียความสามารถในการคิดอย่างมีสติ แล้วสุดท้ายก็ถูกความบ้าคลั่งครอบงำ ความตายของเขาก็นับว่าแน่นอนแล้ว
ทั้งหมดนี้ กระทั่งในสภาพที่เขาเสียสติที่สุด เฮริสก็ยังไม่ลืมที่จะนำสูตรไปกับเขาด้วย แสดงให้เห็นว่ามันสำคัญแค่ไหน
อักขระผนึกบนกล่องนี้ต้องไม่ง่ายแน่ ดูจากความสำคัญของสูตรต่อเฮริสที่เป็นคนระแวดระวังสูง
ทว่าในขณะที่อักขระนี้อาจจะยากสุด ๆ สำหรับคนอย่างเธอที่จะแกะออก มันก็อาจจะไม่จำเป็นที่จะเป็นเช่นนั้นสำหรับเจ้าของร้านหนังสือ
เธอโค้งหัวลงแล้วพูดขึ้น “เอ่อ พวกนี้เป็นสิ่งที่เขาเหลือไว้ค่ะ มันอาจดูไม่สลักสำคัญสำหรับคุณ แต่นี่เป็นก้าวที่สำคัญมาก ๆ สำหรับฉันค่ะ รบกวนช่วยฉันในเรื่องนี้ แล้วฉันจะตอบแทนคุณด้วยทุกอย่างที่ฉันมีเลยค่ะ”
สิ่งที่เหลือไว้…
ริมฝีปากของหลินเจี๋ยกระตุกเล็กน้อย ลืมมันไปเถอะ พล็อตเรื่องการล้างแค้นของพวกคนรวยมักจะมีศพที่ถูกฝังในคอนกรีตน่ะ
ใครสักคนที่กล้าพอที่จะลองปอกลอกทายาทสาวของบริษัทยักษ์ใหญ่ขนาดนี้ก็คงเดาไว้อยู่แล้วว่าเขาจะจบยังไง เฮ้อ…
ดิ้นรนมาได้สองสามรอบนี่ พูดจริง ๆ แล้วก็น่าชื่นชมอยู่ หวังว่าในวาระสุดท้าย เขาจะรู้สึกสำนึกจากใจจริงบ้างนะ
“กล่องนี้ค่อนข้างน่าสนใจนะครับ…อีกอย่าง ผมก็ไม่ได้ต้องการให้คุณมาตอบแทนอะไรผมด้วย”
หลินเจี๋ยเผยรอยยิ้มน้อย ๆ “ตอนนั้นผมให้คำแนะนำคุณก็เพราะคุณต้องการมันครับ”
นี่เป็นความจริงอย่างแน่นอน ในตอนแรกที่จี้จือซู่ยังไม่แม้แต่จะเปิดเผยชื่อของเธอ หลินเจี๋ยก็ยังช่วยเหลือเธออยู่ดี
“ฉันพูดผิดไป ขอโทษด้วยค่ะ” จี้จือซู่พยักหน้าอย่างละอาย ใบหน้าขาวของเธอขึ้นสีแดง
เธอเสียใจภายหลังในทันทีที่พูดออกไป ทุกสิ่งที่เธอมีในตอนนี้ ก็เป็นเพราะคุณหลินเป็นคนให้เธอมาไม่ใช่เหรอ? มันดูเนรคุณเกินไปที่จะพูดถึงการตอบแทน เพราะแต่แรกเธอก็ควรให้ทุกอย่างกับเขาอยู่แล้ว
“ไม่มีอะไรต้องขอโทษหรอกครับ แค่อย่าลืมกลับมาอ่านหนังสือที่นี่บ้างก็พอ” หลินเจี๋ยส่ายหน้าแล้วเตรียมเข้าสู่โหมดจรรโลงใจ
มันคงดีถ้าจะคุยกับคุณหนูน้อยคนนี้สักหน่อย ดังนั้นเขาจึงเลื่อนกล่องไปข้าง ๆ แล้วทำท่าทางให้มูเอนรับมันไป
ทว่าเขาก็ยังค่อนข้างใคร่รู้ว่าทำไมคุณหนูผู้ร่ำรวยคนนี้จึงเจาะจงเลือกให้เขาปลดล็อกกล่องใบนี้
อืม…คงเป็นเพราะเธอเชื่อใจเรา…หรือไม่ก็ข้างตัวเธอไม่มีคนที่เธอเชื่อใจได้มากนัก
จริงสินะ…หลินเจี๋ยคิดในใจเมื่อระลึกถึงลูกน้องของจี้จือซู่ที่หนีหายไปหลังจากที่ติดตามเธอมาที่ร้านหนังสือ เจ้าหมอนั่นคงกลับไปรายงานพฤติกรรมต่อต้านของคุณหนูน้อยแหง ๆ
ถ้ากระทั่งลูกน้องของเธอยังกล้าเปิดโปงเธอ งั้นคุณหนูผู้นี้ก็คงไม่ได้เป็นอิสระอย่างที่หลินเจี๋ยจินตนาการไว้ เธอคงอาศัยอยู่ในเงาของบิดาของเธอตลอดมา
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ มันก็หาได้ยากจริง ๆ ที่จะมีใครที่เธอเชื่อใจได้
คงจะมีเรื่องร้ายแรงที่เกิดขึ้นระหว่างเธอกับครอบครัวของเธอแน่ โดยเฉพาะกับจี้ป๋อหนง ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ตกระกำลำบากขนาดที่ต้องไปพัวพันกับเดนมนุษย์นั่น
ใครจะรู้ว่าครั้งก่อน จี้ป๋อหนงคุยอะไรกับเธอในเรื่องนี้
หลินเจี๋ยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วตัดสินใจถามออกไปตรง ๆ ถึงเรื่องที่ค้างคาในใจ “คุณพ่อของคุณคุยกับคุณหรือเปล่าครับ?”
ดวงตาของจี้จือซู่เบิกกว้าง สมกับเป็นคุณหลินจริง ๆ ที่รู้เรื่องนี้แล้ว
เธอพยักหน้า “เขามาพบฉันเมื่อสักพักที่ผ่านมาค่ะ แต่เขาก็ยังเห็นฉันเป็นเด็กอย่างชัดเจน ถึงฉันจะโตแล้วก็เถอะ”
หลินเจี๋ยได้ยินความภาคภูมิในน้ำเสียงของเธอ และเพราะเช่นนั้นเขาจึงยิ้ม “เหมือนคุณจะโน้มน้าวใจเขาได้แล้วนะครับ ยินดีด้วยครับ”
“ค่ะ ฉันโน้มน้าวให้เขายืนที่ฝั่งของฉันสำเร็จแล้ว เขาอยากจะมาคุยกับคุณด้วยตัวเองเกี่ยวกับช่องทางการกระจายหนังสือในร้านหนังสือของคุณนะคะ…โปรดให้อภัยฉันที่ถือวิสาสะแนะนำเขาด้วยค่ะ เพราะไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ยอมให้ฉันไปต่อได้”
หลินเจี๋ยกะพริบตาปริบ ๆ เดี๋ยวก่อนนะคุณหนูจี้ คุณคุยอะไรกับคุณพ่อคุณกันแน่นะครับ?!
การที่มหาเศรษฐีติดอันดับจะมาชอบใจร้านขายปลีกเล็ก ๆ แล้วอยากจะให้ความร่วมมือนั่นมันน่าขำเกินไปแล้ว…!
ในขณะที่มันอาจจะไม่ใช่เรื่องร้ายก็ได้ แต่มันจะเป็นเรื่องรบกวนกันแน่นอนเมื่อไม่มีพื้นที่ให้ร่วมมือกันมากนัก
ทว่าในเมื่อนี่คือเจตนาบริสุทธิ์จากคุณหนูจี้ หลินเจี๋ยจึงพยักหน้าแล้วพูดขึ้น “ได้ครับ เข้าใจแล้ว”
แต่หลินเจี๋ยก็อดไม่ได้ที่จะมองจี้จือซู่แบบจนใจนิด ๆ อยู่ดี เขาส่ายหน้าแล้วทอดถอนใจ “คุณควรจะหาคนที่คุณเชื่อใจได้แล้วไม่ต้องมาให้ผมช่วยเรื่องง่าย ๆ ขนาดนี้เสมอนะครับ”
จี้จือซู่รู้สึกว่าเจ้าของร้านหนังสือกำลังมองเธอราวกับว่าเธอเป็นเด็กที่ยังไม่โต แล้วกำลังทำอะไรที่พึ่งพาไม่ได้อยู่
เธออ้าปากเหมือนอยากจะพูดว่า การเปิดกล่องนี้จะง่ายขนาดนั้นเลยเหรอคะ…
จริง ๆ แล้วเธอจะให้นักเวทมนตร์ขาวที่ครอบครัวของเธอจ้างมาเปิดกล่องให้เธอได้
แต่เมื่อตระหนักว่าตรา ‘ภักดี’ บนตัว ‘หนู’ รูเอนถูกปลดออกก็ทำให้เธอสงสัยว่าอาจจะมีคนทรยศอยู่ในหมู่นักเวทมนตร์ขาวที่ขายวิธีลบตรา ‘ภักดี’
ด้วยความจนใจ เธอจึงไม่มีทางเลือกนอกจากหันมาพึ่งร้านหนังสือ…
กริ๊ก!
ทั้งสองหันไปหาที่มาของเสียงหมุนโลหะแล้วพบมูเอนที่ถือกล่องอยู่โดยวางฝ่ามือข้างหนึ่งของเธอไว้ที่ใจกลางมัน
ทั้งกล่องถูกแบ่งออกเป็นสี่ส่วนแล้วเปิดออกราวกับกลีบดอกไม้ มุมด้านบนทั้งสี่ของกล่องคือปลาย ‘กลีบ’ แล้วบานออกมาประมาณสามสิบองศา
และที่ใจกลางของกล่อง ส่วนที่เป็นรอยยุบได้เปลี่ยนมาเป็น ‘ฝา’ ที่มูเอนดึงออกมา
เด็กสาวนั้นไร้อารมณ์ แต่มีเค้าลางความแปลกใจเล็ก ๆ อยู่ในแววตาในตอนที่เธอสบตากับอีกสองคน ก่อนที่เธอจะปิดฝากลับไปอย่างกระอักกระอ่วน
“โอ้ ฉันเผลอเปิดมันเข้าแล้วล่ะค่ะ”