เจ้าของร้านพิศวง - บทที่ 126 วาดดาบเพียงครั้งเดียว
“หยุดนะ หัวขโมย!”
ฮู้ดตระหนักว่าการดึงความรู้เป็นการขโมยอย่างหนึ่งเช่นกัน แต่ก่อนที่เขาจะทันได้ไหวตัวด้วยซ้ำ ใบหน้าของเขาก็ซีดขาวแล้ว บ้าชะมัด เขารู้จุดประสงค์ของเราแล้ว
ตัวเขาเองถูกเปิดโปงก่อนปฏิบัติการจะทันได้เริ่ม และการต่อสู้ก็จบก่อนทันได้เริ่มอีก
ในความเป็นจริงแล้ว สติของหลินเจี๋ยยังอยู่ในความฝัน และร่างของเขาที่ยังจมในการฝึกวิชาดาบก็ขยับไปเองโดยสัญชาตญาณ จนเมื่อใบดาบแนบกับคอของผู้บุกรุกนั่นแหละที่เขาตื่นขึ้นอย่างสมบูรณ์เสียที แน่นอนว่าความตกตะลึงของหลินเจี๋ยไม่ได้ปรากฏบนใบหน้าเขา อีกฝ่ายเป็นโจรที่บุกรุกเข้ามา เขาจะเลินเล่อไม่ได้
ในตอนนี้ หลินเจี๋ยได้ใช้โอกาสมองผู้บุกรุกผู้นี้ดี ๆ สักครั้ง
จนตอนนี้เองที่เขาตระหนักว่า ‘ชุดแปลก ๆ’ นี้ที่จริงเป็นโครงโลหะสีดำคล้าย ๆ หุ่นรบในภาพยนตร์ แค่ว่ามันหยาบกว่าและดูฟุ่มเฟือยกว่า
ลวดลายซับซ้อนต่าง ๆ ถูกสลักไว้บนกรอบเหล็กและเรืองแสงออกมาจาง ๆ มันดูไม่ได้อยู่ในกระแสหลัก…เขาไม่ได้จะพูดว่ามันน่าเกลียด แต่หลินเจี๋ยคุ้นชินกับการเห็นเส้นตรงแข็ง ๆ สะอาดตามากกว่า
มันก็ยากนิดหน่อยด้วยที่จะอธิบายสิ่งนี้ให้ครอบคลุม และยังมีกระทั่งสายต่าง ๆ ที่ระโยงระยางออกมา ทำให้มันดูเหมือนเป็นการผสานเวทมนตร์และเทคโนโลยีเข้าด้วยกันอย่างรุนแรง และยังดู…จูนิเบียวมากด้วย!
คนดี ๆ ที่ไหนเขาจะสลักลายส่งเดชลงไปบนเกราะรบบ้าง? บางทีมันอาจจะเป็น ‘เกราะรบส่วนตัว’ ที่ทำขึ้นเองไหมนะ? หลินเจี๋ยคิดหาชื่อให้ชุดที่ละเมอเพ้อพกสุด ๆ นี้
ทว่าชุดนี้ไม่ใช่ประเด็นหลัก ดวงตาของหลินเจี๋ยสังเกตเห็นปืนในมือของผู้บุกรุก
ปืนนี่ดูสัมผัสได้ถึงภัยคุกคามกว่าเกราะรบส่วนตัวอะไรนั่นอีก…
และเหตุผลนี้ก็เป็นเหตุที่หลินเจี๋ยตัดสินว่านี่คือการปล้นโดยใช้อาวุธมากกว่าการลักทรัพย์ทั่วไป ผู้บุกรุกบุกระห่ำเข้ามาด้วยปืนและกระทั่งตั้งใจจะเข้ามาในห้องนอน เขาต้องวางแผนร้ายอะไรไว้แน่!
เมื่อคิดเช่นนี้ในใจ หลินเจี๋ยจึงขยับดาบยื่นเข้าไป แนบมันเข้ากับคอของผู้บุกรุกราวกับพร้อมจะเจาะรูในหลอดลมให้คนคนนี้ในวินาทีถัดมา
เขาทำเพื่อให้เป็นที่ชัดเจนต่อเจ้าผู้บุกรุกนี่ว่าดาบที่แนบอยู่ที่คอเขานั้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ และเขาสามารถบั่นหัวเขาได้ทันทีหากเขาเลือกจะทำเช่นนั้น
แน่นอนว่าหลินเจี๋ยก็แค่ป้องกันตัวเอง คนใจดีอย่างเขาไม่สามารถทำเรื่องร้ายแรงอย่างทำร้ายหรือฆ่าใครได้หรอก
มีแต่คนโหดเหี้ยมประสาทหลอนที่กล้าบุกเข้ามาพร้อมปืนนี่แหละที่ต้องกลัว
หลินเจี๋ยต้องชิงความได้เปรียบให้ได้ตั้งแต่แรก…
หลินเจี๋ยยังคงจ้องเขาแล้วพูดอย่างไม่พอใจ “ผู้สมรู้ร่วมคิดของคุณอยู่ข้างล่างใช่ไหมครับ?”
ชายหนุ่มได้ยินเสียงเคลื่อนไหวอย่างลาง ๆ และคาดว่าคงมีใครอยู่ข้างล่าง แต่ตัวเขาไม่ได้ยินเสียงห้องนอนมูเอนเปิดเลย หลินเจี๋ยเคยเห็นความสามารถมูเอนในบางครั้ง หลังจากที่บาดแผลบนร่างกายของเธอพอหายดีบ้าง เธอก็ทำงานบ้านอย่างสบายใจเฉิบและทำได้กระทั่งตอกตะปูและแยกส่วนเฟอร์นิเจอร์ด้วยมือเปล่า และเป็นไปตามคาด เสียงมูเอนดีดตัวออกจากพื้นดังขึ้น ตามด้วยเสียงกรีดร้องหลายเสียง
ความช็อกตาตั้งของผู้บุกรุกเปลี่ยนไปเป็นความลนลาน แล้วเขาก็อ้าปากจะพูด ทว่าการเคลื่อนไหวของเขาทำให้คอเสียดสีกับคมดาบจนเกิดเลือดไหล
“อึ้ก…อื้อ อือ…” ฮู้ดเปล่งเสียงในคออย่างลนลาน พยายามบอกเจ้าของร้านหนังสือว่าเขาพูดไม่ได้เมื่อมีคมดาบพาดอยู่แบบนี้
“วางปืนลงครับ” หลินเจี๋ยพูด
ฮู้ดลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วค่อย ๆ ขยับปืนมาด้านหน้าแล้วย่อตัวเพื่อวางมันลง
ทว่า นี่เป็นเพียงขั้นแรกเท่านั้น
มุมปากของหลินเจี๋ยยกขึ้น และด้วยการบิดข้อมือเล็กน้อย ดาบของเขาก็ตวัดออกมาเป็นเส้นโค้งสีเงิน ผ่ากระบอกปืนออกเป็นสองส่วนราวกับทำจากเต้าหู้
ดาบตวัดเป็นวงกลมเต็มวงแล้วกลับมายังคอของฮู้ดอย่างแม่นยำในพริบตาเดียว
ทว่าครั้งนี้มีช่องว่างให้หนึ่งเซนติเมตร
ฮู้ดตกตะลึงพรึงเพริด
ปฏิกิริยาโต้ตอบโดยสัญชาตญาณของเขาที่จะก้าวเข้าไปหยุดลงทันที แล้วร่างของเขาก็แข็งทื่อเมื่อเขาเหลือบมองปืนที่ถูกตัดออกอย่างเนียนกริบ
ฮู้ดนั้นมั่นใจเต็มที่ในอุปกรณ์ที่เขาสวมใส่ ปืนนี้เป็นของเถื่อนที่เขาสร้างขึ้นเองโดยใช้วัตถุดิบที่ดีที่สุดจากเขตล่าง กรอบของปืนนี้สามารถรอดจากพลังทำลายล้างได้ และแรงยิงสูงสุดก็เทียบได้กับปืนใหญ่ทำลายล้างอีเธอร์ขนาดเล็ก…
แน่นอนว่ามันไม่ได้พูดถึงความปลอดภัยหรือความเสถียร นี่เป็นเทคโนโลยีขั้นทดลองของโครงการใหม่ของแผนกช่างกลที่รวมการใช้อักขระของนักเวทมนตร์ขาวกับเครื่องจักรกล การควบคุมที่ไม่ดีอาจทำให้อาวุธทำลายตัวเองได้ทุกเมื่อ แล้วก็กลายเป็นไร้ประโยชน์ไป
ด้วยการขาดการสนับสนุนอย่างเป็นทางการ ฮู้ดจึงทำได้เพียงใช้เงินตัวเองไปตายเอาดาบหน้า และตอนนี้ ทุกการลงทุนลงแรงของเขาก็ถูกทำลายลงด้วยการวาดดาบเพียงครั้งเดียว…
ฮู้ดไม่สามารถสาธยายถึงความเจ็บปวดที่กัดกินหัวใจของตัวเองอยู่ในตอนนี้ได้เลย นี่เป็นงานเก่าที่สร้างจากความรู้ของเขาและเป็นศูนย์รวมทุกสิ่งที่เขาร่ำเรียนมา ความรู้สึกนี้มันราวกับว่าเขาถูกปล้นความรู้ของเขาไป
แต่โชคดีที่ตนยังมีชุดเกราะของเขาอยู่ นั่นเป็นผลของภูมิปัญญาและความรู้ของเขา ผลงานชิ้นเอกของเขา…
“วางสิครับ”
เจ้าของร้านหนังสือใช้สายตากดดันอันเยียบเย็นของเขาบุ้ยใบ้ให้ฮู้ดวางปืนลงพื้นต่อ นายทำลายมันไปแล้วนี่! ยังต้องการอะไรอีก?!
นี่มันทรมานกันแท้ ๆ!
ฮู้ดโหยหวนอยู่ในใจในขณะที่เขาวางครึ่งที่เหลือของปืนเขาลงพื้นด้วยมือสั่น ๆ
แต่เขาเพิ่งย่อเข่าลงไป เขาก็ตระหนักได้ถึงบางอย่างที่ผิดแปลก เกิดเสียงฉัวะและเสียงปริแตกขึ้นเล็กน้อย เหมือนกับ…บางอย่างถูกผ่าออก
ฮู้ดหน้าซีด…ตระหนักได้ทันทีว่านั่นคือชุดเกราะที่เขากำลังสวม!
แทบจะทันทีที่ความคิดนี้แล่นเข้ามาในใจ ฮู้ดก็สังเกตเห็นรอยร้าวที่ปรากฏตรงส่วนแขนชุดเกราะของเขา
ราวหิมะที่ถล่มลงมาอย่างรวดเร็ว ชุดเกราะทั้งชุดของเขากระจุยกระจาย แล้วเศษซากของมันก็ร่วงกราวลงพื้น
…%#¥&!!
ฮู้ดมองภาพนี้ด้วยความสิ้นหวังสุดหัวใจ ใบหน้าของเขาซีดขาว และทุกคำสบถที่คิดได้ก็ทะยานผ่านในใจเขา
จนตอนนี้เอง เขาจึงเริ่มเข้าใจว่านอกจากหั่นปืนของเขาแล้ว การวาดดาบครั้งนั้นก็แยกส่วนชุดเกราะเขาด้วย!
หลินเจี๋ยที่อยู่ในสภาพผ่อนคลายแล้วพูดขึ้น “เอาล่ะ คุณสามารถขยับตัวได้ดีขึ้นแล้วนะครับตอนนี้”
ชายหนุ่มจ้องไปที่โจรแล้วตระหนักได้ว่าใบหน้าหลังชุดเกราะนั้นเด็กกว่าที่เขาคิดไว้ เขาเป็นแค่เด็กหนุ่มอายุราว ๆ สิบแปดเท่านั้นเอง
ในตอนนั้น เขามีสีหน้าสิ้นหวังอย่างสุดซึ้งราวกับเขาสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ติดก็มิปาน
“ลงไปรวมตัวกับผู้สมรู้ร่วมคิดของคุณ แล้วไปรอตำรวจซะนะครับ”
“ยังหนุ่มยังสาว จะทำอะไรก็ได้ แต่ทำไมถึงได้แหกกฎเกณฑ์แล้วทำอะไรแย่ ๆ แบบนี้ล่ะครับ?”
“มันผิดเต็ม ๆ เลยครับ ของพวกนี้ทั้งหมดเป็นของคนอื่น แล้วคุณคิดว่าการขโมยมันจะทำให้พวกมันเป็นของคุณได้เหรอครับ? คุณไม่มีทางเข้าใจถึงการตรากตรำอย่างหนักและความพยายามที่ทำให้ผู้คนได้รับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดได้หรอกครับ” อาจารย์หลินไม่ลืมที่จะสั่งสอนผู้บุกรุกนี่สักหน่อยในขณะที่พาเขาลงชั้นล่าง
ทว่า…นี่ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมแก่การเคี่ยวซุปไก่ เขาจึงหยุดตัวเองไว้เพียงเท่านี้
เขาหยิบอุปกรณ์สื่อสารออกมาแล้วติดต่อคล็อด ลูกศิษย์ของโจเซฟผู้ซึ่งบังเอิญว่าเป็นตำรวจ