เจ้าของร้านพิศวง - บทที่ 127 ขโมยหนังสือ
ทีแรกฮู้ดนั้นตกตะลึง และสุดท้ายเขาก็โวยออกมา “ผะ…ผมไม่ได้ทำอะไรเลยนะ คุณต่างหากที่ทำลายผลงานชิ้นเอกของผมน่ะ!”
ถึงมันจะเป็นการปล้น แต่เราก็ไม่ได้ทำอะไรเลยนะ…
คำพูดไร้เหตุผลนี้คือความพยายามอันไม่ปะติดปะต่อในการแก้ต่างให้ตัวเองของฮู้ด
หลินเจี๋ยหันมายิ้ม “อะไรนะครับ? พยายามอธิบายตัวเองหลังจากบุกเข้ามาเหรอครับ? คุณคือคนที่บุกรุกเข้ามาแล้วถูกจับได้นะครับ! ไม่ใช่ว่าผมลักพาตัวแล้วพาพวกคุณเข้ามาข้างในสักหน่อย ใช่ไหมครับ?”
“ฟังดูแล้วเหมือนว่าของพวกนั้นกับปืนของคุณจะเป็นของทำมือ นั่นแสดงว่าคุณค่อนข้างมีฝีมือ น่าเสียดายที่คุณเลือกทางผิดและต้องถูกสั่งสอนสักหน่อย”
“คุณควรจะดีใจนะครับที่คุณยังไม่ได้ทำอะไร ไม่อย่างนั้นคงไม่จบง่าย ๆ อย่างแค่การสอนแน่ ๆ”
พวกวัยรุ่นไร้ระเบียบและกระทำการโดยไม่สำนึกเป็นพวกที่หลินเจี๋ยรังเกียจที่สุด
ฮู้ดรู้สึกว่าร่างของตนเย็นเฉียบด้วยเหตุผลบางประการ แล้วเขาก็หยุดพูดเมื่อนึกถึงชุดเกราะที่พังไม่เหลือชิ้นดีของเขา
ไฟที่ชั้นล่างเปิดอยู่แล้ว…
คนกลุ่มหนึ่งที่สวม ‘ชุดเกราะส่วนตัว’ เหมือนกันนอนอยู่หน้าชั้นหนังสือ ทว่าชุดเกราะของพวกเขาไม่ได้ฉูดฉาดอย่างฮู้ดและกรอบโลหะอัลลอยด์ของพวกเขาดูดีกว่ามาก
หลินเจี๋ยแสกนสายตามองเร็ว ๆ แล้วนับคนได้หกคน รวมกับคนที่ปลายดาบแล้วก็รวมทั้งหมดเจ็ดคน
เยี่ยมเลย มันเป็นอาชญากรรมหมู่จริง ๆ ด้วย
ในตอนนี้ พวกเขาทั้งหมดต่างกุมหัวกลิ้งเกลือกอยู่บนพื้นพร้อมด้วยหนังสือที่เปิดอยู่วางระเกะระกะรอบตัวพวกเขา พวกเขาคงเจ็บปวดดูจากเสียงโอดครวญของพวกเขา
เมื่อมองดูแล้ว พวกเขาคงไม่ได้รื้อค้นชั้นหนังสือเพราะพวกเขาหาเงินที่เคาน์เตอร์ไม่เจอหรอก ยิ่งกว่านั้น คนที่เดินขึ้นไปและตอนนี้ถูกดาบจ่ออยู่ก็น่าจะเป็นหัวหน้าของพวกเขาด้วย
มูเอนยืนอยู่ตรงหน้าคนกลุ่มนั้น มองพวกเขาอย่างเงียบ ๆ เมื่อเธอได้ยินเสียงหลินเจี๋ยเดินลงมา เธอก็หันกลับมาด้วยสีหน้าไร้เดียงสา
“ทำได้ดีมากครับ” หลินเจี๋ยเอ่ยชม
มูเอนเหลือบมองกลุ่มผู้บุกรุกที่นอนพังพาบบนพื้น แล้วเหลือบมองหลินเจี๋ยที่ยิ้มแย้มแล้วกะพริบตาปริบ ๆ อยู่หลายครั้ง
หนูยังไม่ทันได้ทำอะไรเลยค่ะ…
หลังจากได้ยินเสียงเคลื่อนไหวที่ชั้นล่างและมาถึงสถานที่เกิดเหตุ สิ่งที่มูเอนเห็นก็คือเจ้าคนกลุ่มนี้ที่ร่วงลงไปกองพร้อมหนังสือในมือ ชักกระตุก กรีดร้องอย่างหวาดกลัวและพยายามจะตะกายหนีไป
ดังนั้น เธอผู้ใช้สติปัญญาที่เฉียบแหลมจึงรีบวิ่งไปปิดประตูหลักที่ถูกงัดออกเพื่อป้องกันไม่ให้คนพวกนี้หนีได้…
ในเมื่อเจ้านายชมเธอ แสดงว่าเธอต้องทำในสิ่งที่ถูกต้องแน่
เพราะเช่นนั้น เด็กสาวจึงพยักหน้าอย่างจริงจัง “เราควรทำยังไงต่อคะ?”
หลินเจี๋ยเหลือบมองอุปกรณ์สื่อสารของเขาที่ยังต่อสายอยู่ “รอก่อนแล้วกัน ผมต่อสายหาตำรวจแล้ว คนพวกนี้เป็นยังไงครับ?”
แน่นอนว่ามูเอนบอกได้ว่าคนพวกนี้เป็นนักวิชาการจากสมาคมแห่งสัจธรรม และพวกเขาก็ดิ่งตรงไปที่ชั้นหนังสือ หมายความว่าพวกเขาน่าจะมาจากฝ่าย ‘ผู้แสวงหาความจริง’
ทว่ามันก็พูดได้ว่าพวกเขายิงปืนใส่เท้าตัวเองในครั้งนี้ เพราะมูเอนสามารถสัมผัสถึงความน่ากลัวสุดขีดที่รั่วไหลออกมาจากหนังสือพวกนี้ได้
“พวกเขามาขโมยความรู้ค่ะ อ้อ…แต่ชีวิตของพวกเขาไม่น่าจะมีอันตรายนะคะ” ผู้ช่วยสาวตอบกลับ
“ขโมยความรู้…หนังสือ โอ้! คุณหมายถึงการขโมยหนังสือสินะครับ?” หลินเจี๋ยจ้องเจ้าพวกนี้อย่างงุนงง
การใช้คำของมูเอนในสถานการณ์นี้แปลก แต่หลินเจี๋ยนั้นชินกับระดับความเข้าใจที่ตื้นเขินของเด็กสาวคนนี้แล้ว และเพราะฉะนั้นเขาจึงแปลความหมายได้ด้วยตนเอง
ดวงตาของฮู้ดเบิกกว้างอย่างตกใจเมื่อเขาได้ยินสิ่งที่พูด ด้วยเส้นเลือดที่ปูดโปนบนหน้าผาก เขากำมือแน่นแล้วประกาศ “มันคือการสกัด ไม่ใช่การขโมย! นี่คือหลักความเชื่อของฝ่าย ‘ผู้แสวงหาความจริง’ ของเรา มันเป็นเรื่องของสมาคมแห่งสัจธรรม จะเรียกมันว่า…”
ป้าบ!
ฝ่ามือของหลินเจี๋ยผนวกกับอุปกรณ์สื่อสารตบเข้าใส่หลังศีรษะของเจ้าหมอนี่ “เมื่อกี้ว่าไงนะครับ?”
ฮู้ดเงียบไป…
“เดี๋ยวนะ” ดวงตาของหลินเจี๋ยหรี่ลง “สมาคมแห่งสัจธรรม?”
ปี๊บ!
ในที่สุดการโทรของหลินเจี๋ยก็ต่อติดในตอนนี้เอง เขาทำท่าให้มูเอนเงียบเสียง แล้วแนบอุปกรณ์สื่อสารเข้าใกล้หูของเขาและฟังเสียงอันนอบน้อมของคล็อด
“คุณหลินมีคำแนะนำอะไรเหรอครับ?”
ฟังดูกระปรี้กระเปร่าแม้จะดึกดื่นขนาดนี้…ดูเหมือนการเป็นตำรวจในนอร์ซินนั้นจะลำบากจริง ๆ
ทว่าหลินเจี๋ยก็คิดว่าคงเป็นเพราะคล็อดนั้นทุ่มเทให้กับงานเมื่อเขาระลึกถึงเจ้าหน้าที่ง่อย ๆ สามคนที่เคยมาเยือนร้านของเขา
หลินเจี๋ยเหล่มองฮู้ดที่จ้องอย่างเชือดเฉือนไปที่เพื่อนเขาแล้ว จากนั้นก็เริ่มอธิบายสถานการณ์ให้คล็อดฟัง
“เฮ้ คล็อด ขอโทษที่รบกวนคุณดึกดื่นขนาดนี้นะครับ แต่มันสะดวกกว่าในเมื่อคุณเป็นศิษย์ของคุณโจเซฟนะครับ”
“คืออย่างนี้ครับ เมื่อกี้นี้มีคนบุกเข้ามาในร้านหนังสือของผมกลางดึกครับ”
“อะไรนะ?!” เสียงอุทานอย่างตกใจดังมาจากฝั่งคล็อด ตามด้วยเสียงเบา ๆ ของระเบิดและเสียงกรีดร้องในพื้นหลัง
คล็อดดูจะขยับเครื่องมือสื่อสารออกไปห่างจากตัวเองเล็กน้อยในขณะที่เขาตวาดคำสั่ง “ทีมที่สองขึ้นหน้า ทีมที่สามล้อมข้างหลังไว้ ทีมแพทย์อยู่ไหน? ช่วยคนเจ็บก่อน เดี๋ยวนี้!”
“ไอ้พวกเวรพวกนี้ต้องตายวันนี้แหละ! จับพวกมันได้เมื่อไหร่ ฉันจะยัดถุงเท้าพวกมันเข้าไปใน…”
เสียงที่ปนเปกันชวนให้สับสนดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ
ริมฝีปากของหลินเจี๋ยกระตุก ดูเหมือนเขาจะเสนอหน้าเข้าไปในระหว่างปฏิบัติการของตำรวจเสียแล้ว
นอร์ซินดูสงบมาก…แต่คล็อดดูเดือดมากจนพ่นภาษาดอกไม้ออกมาเป็นสาย เฮ้อ…เขาคงติดนิสัยนี้จากคุณลุงโจเซฟมาแหง
สักพักหลังจากนั้น คล็อดก็หยิบเครื่องมือสื่อสารขึ้นอีกครั้งแล้วสูดหายใจลึก ๆ “แค่ก… ขออภัยครับคุณหลิน ช่วงนี้เราเพิ่งค้นพบการเคลื่อนไหวใหม่ของ ‘งานเลี้ยงโลหิต’ แล้วล่าพวกมันจนเจอจุดซ่องสุมที่หนึ่งแล้วเราก็ถูกลอบโจมตีครับ ตอนนี้เรากำลังล่าสมาชิกบางคนของพวกมันที่พยายามหนีอยู่ครับผม”
“โอ้…”
งานเลี้ยงโลหิตเหรอ?
หลินเจี๋ยขมวดคิ้ว เขาดูจะเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน หลังจากคิดสักพัก หลินเจี๋ยก็นึกขึ้นได้ว่าไวลด์เคยพูดชื่อนี้มาก่อน
ในการมาเยือนและยืมหนังสือครั้งแรกของเฒ่าไวลด์ เขาเคยพูดว่า “ช่วงนี้ ผมได้รับคำเชิญเข้าร่วมจากองค์กรชื่อ ‘งานเลี้ยงโลหิต’”
หลินเจี๋ยเคยถามส่ง ๆ ว่ามันเป็นองค์กรแบบไหน แล้วการอธิบายคร่าว ๆ ของเฒ่าไวลด์ก็มีแค่ว่าเป็นกลุ่มคนว่างจัดที่ไม่มีอะไรทำนอกจากนัดเล่นสนุกกันไปวัน ๆ แล้วแลกเปลี่ยนความคิดกัน
หลินเจี๋ยรู้สึกว่าองค์กรนี้ไม่น่าเชื่อถือเท่าไหร่และฟังดูเหมือนจะมีการขายเชิงลำดับชั้นโดยไร้เจตนาบริสุทธิ์ ดังนั้นหลินเจี๋ยจึงแนะนำให้ปฏิเสธไป แล้วไวลด์ก็ทิ้งความคิดนั้นไป
หลินเจี๋ยไม่เคยคาดฝันเลยว่าจะได้ยินชื่อองค์กรนี้อีก
และตอนนี้ ธรรมชาติของมันก็ยิ่งเลวร้ายไปใหญ่ การคาดเดาเดิมของหลินเจี๋ยคือมันเป็นแผนการขายแบบแบ่งลำดับขั้น แต่มองดูแล้ว นี่มันองค์กรผู้ก่อการร้ายชัด ๆ!
ยิ่งกว่านั้น มันยังเป็นองค์กรผู้ก่อการร้ายที่กล้าปะทะกับหน่วยตำรวจเขตกลางด้วย จากเสียงที่ดังเข้ามาในการสนทนาแล้ว เหมือนว่าการต่อสู้จะดุเดือดจริง ๆ
โชคดีที่เราบอกให้เฒ่าไวลด์ปฏิเสธไป ไม่อย่างนั้นเราคงมีลูกค้าที่ภักดีน้อยลงอีกคนแหง…
“แต่เรื่องพวกนี้ไม่สำคัญครับ” คล็อดพูดต่อ “สถานการณ์ฝั่งคุณเป็นยังไงบ้างครับคุณหลิน?”
หลินเจี๋ยได้สติกลับมาแล้วตอบกลับ “มีผู้บุกรุกที่บุกเข้ามาเจ็ดคน เรียกตัวเองว่าสมาคมแห่งสัจธรรมครับ ผมจับพวกเขาได้แล้ว และคิดดูแล้ว ผมก็คิดว่าคงดีกว่าถ้าจะปล่อยพวกเขาให้พวกคุณจัดการ”
“สมาคมแห่งสัจธรรมเหรอครับ? อย่าบอกนะครับว่าเป็น ‘ผู้แสวงหาความจริง’?” คล็อดอุทาน
หลินเจี๋ยเพิ่งได้ยินชื่อนี้ไปเมื่อครู่ “ใช่ครับ ‘ผู้แสวงหาความจริง’ นั่นแหละ”
คล็อดพูดไม่ออก สถานการณ์ที่อาจารย์ของเขาพยายามหยุดก็ยังเกิดขึ้นอยู่ดี ร้านหนังสือและสมาคมแห่งสัจธรรมได้เผชิญหน้ากันแล้ว และตอนนี้พวกเขาก็หวังได้เพียงว่าสมาคมแห่งสัจธรรมจะรอดไปได้ครบสามสิบสอง
“เข้าใจแล้วครับ ตอนนี้ผมยังปลีกตัวไปจากที่นี่ไม่ได้ ไว้ผมไปหาคุณในตอนกลางวันแล้วช่วยคุณจัดการพวกเขาได้ไหมครับ?”
“แน่นอนครับ” หลินเจี๋ยตอบกลับ
หลังจากพูดเป็นพิธีกันอีกสองสามประโยค เขาก็จบการสนทนาแล้วกวาดสายตามองเจ้าพวกนักเลง แล้วดวงตาของเขาก็มองที่ฮู้ดซึ่งเป็นคนเดียวที่ยังดูมีสติในที่สุด
“เอาล่ะ เราจะแค่รอให้ตำรวจมาพาพวกคุณไปนะครับ”
“ในระหว่างนั้น ผมมีคำถามอยากถามสักหน่อย”