เจ้าของร้านพิศวง - บทที่ 132 คืนนี้ ดอกไม้ดอกหนึ่งได้เข้าร่วมการล่า
จี้จือซู่ได้รอการมาถึงของแอคเกอร์แมนอยู่สักพักแล้ว
นักล่าซึ่งยังไม่ได้รับการประเมินอย่างเป็นทางการแต่มีชื่อเสียงกว้างไกลแล้วว่าอยู่เหนือระดับภัยพิบัติผู้นี้จะกลายเป็นอำนาจต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของแมงมุมในตอนนี้ ยิ่งไปกว่านั้น เขาคงจะอยู่ในฐานะนักสู้ระดับท็อปของแมงมุมไปอีกนานต่อจากนี้ด้วย
การรับงานล่าค่าหัวไวลด์แล้วยกเลิกไปทำให้หลายคนมองเขาไม่ดีนัก บางคนคิดว่าเขาไม่มีความแข็งแกร่งที่พึงมีและมีดีแค่ท่าทาง
ทว่าเมื่อคิดดี ๆ แล้ว มันก็ง่ายที่จะเห็นว่าสมาคมแห่งสัจธรรมไม่ได้มอบภารกิจล่าค่าหัวที่สำคัญขนาดนี้ให้กับใครที่ไม่มีความสามารถพอจะทำมันได้ ก่อนที่แอคเกอร์แมนเลือกจะทิ้งภารกิจนี้ เป็นที่แน่ใจได้ว่าสมาคมแห่งสัจธรรมต้องมีหลักที่คิดได้ว่าแอคเกอร์แมนมีความสามารถพอจะทำงานนี้ได้
ดังนั้นก็คิดได้ว่าสมาคมแห่งสัจธรรมได้แพร่ข่าวนี้ออกไปเป็นการแก้เผ็ดที่แอคเกอร์แมนลอยแพพวกเขา
เมื่อมองในมุมนี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าแอคเกอร์แมนเป็นคนบ้าที่หาญกล้าท้าทายและลบเหลี่ยมสมาคมแห่งสัจธรรมได้
แต่ที่สำคัญที่สุด แอคเกอร์แมนถูกแนะนำมาโดยเจ้าของร้านหนังสือ และเพราะเช่นนั้น จี้จือซู่จึงเชื่อในความแข็งแกร่งของเขาอย่างไร้ข้อแม้
สิ่งที่เจ้าของร้านหนังสือพูดต้องถูกต้องแน่นอน…
ในตอนที่แอคเกอร์แมนมาถึง แมงมุมก็รวมตัวกันอยู่ในแหล่งกบดานเก่าของหมาป่าขาวแล้ว ในขณะที่นักล่าจากกลุ่มอื่น ๆ เตร่อยู่ข้างนอกแล้วล้อมพวกเขาไว้
แม้ว่านักล่าพวกนี้จะอ่อนด้อยกว่าแอคเกอร์แมนมากอย่างเห็นได้ชัดก็ตาม แต่ถ้าจะโจมตีวงกว้างให้พวกเขาแตกตื่นกันก็ไม่ใช่ความคิดที่ฉลาด
ทว่าวงล้อมนี้ไม่ใช่เรื่องยากอะไรสำหรับแอคเกอร์แมนผู้เชี่ยวชาญการปลอมตัวเลย เขาซ่อนออร่าและตัวตนของตัวเองแล้วย่องเข้าไปพบจี้จือซู่ได้
“ยินดีต้อนรับสู่แมงมุมค่ะ” ใบหน้างดงามของจี้จือซู่เผยรอยยิ้มสง่างามในขณะที่เธอโค้งคำนับให้กับนักล่าที่ดูธรรมดาตรงหน้าเธอ
เช่นเดียวกัน แอคเกอร์แมนก็คำนับเธอตอบอย่างนักล่า ดวงตาที่เจนจัดของผู้อายุมากกว่าของเขาประเมินแมงมุมสาวตรงหน้าเขา
เธอดูอายุน้อย แต่มีสายตาที่มั่นคงและเฉียบขาดเหมือนหมาป่าเดียวดายที่ซ่อนอยู่ในพงหญ้า เฝ้ามองเหยื่อของมันอย่างอดทน การจ้องอย่างไม่กะพริบตาแบบนี้ทำให้คนขนลุกได้ไม่ยากเลย
นี่คือนักล่าที่ยอดเยี่ยมและแข็งแกร่งขึ้นจากสงคราม
แต่สิ่งที่ทำให้เขาแปลกใจระคนเบิกบานนั้นคือดวงตาของจี้จือซู่ที่ดูกระจ่างใส ไม่มีสัญญาณใดที่บ่งบอกว่าเลือดอสูรมีผลต่อตรรกะของเธอเลย
แอคเกอร์แมนสัมผัสได้อีกเช่นกันว่าระดับของนักล่าสาวผู้นี้ใกล้กับระดับที่เขาเป็นในตอนแรกที่เขาเลื่อนระดับมาได้มาก นั่นหมายความว่าจี้จือซู่นั้นใกล้ได้ระดับภัยพิบัติแล้ว ขาดแค่เพียงก้าวเดียวเท่านั้น
นี่ก็หมายความว่าความเข้มข้นของเลือดอสูรในร่างของเธอก็สูงเด่นเป็นพิเศษด้วยเช่นกัน
น่าแปลกที่ไม่มีความผิดปกติใด ๆ กับรูปลักษณ์ของเธอเลย และกระทั่งบรรยากาศรอบตัวเธอก็ดูไม่เป็นภัยด้วย!
แอคเกอร์แมนตัวสั่นอย่างตื่นเต้นเมื่อคิดถึง ‘เส้นทางใหม่’ ที่เจ้าของร้านหนังสือเคยพูดถึง กลับกลายเป็นว่านี่คือเส้นทางใหม่ที่แท้จริง ไม่ใช่แค่สำหรับเขา แต่เป็นเส้นทางสำหรับนักล่าคนอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน
ไม่จำเป็นต้องถูกทรมานโดยเลือดอสูร และไม่ต้องมีชะตาที่จะต้องเป็นบ้าแน่นอนอีกต่อไป…
จี้จือซู่สังเกตความเปลี่ยนแปลงของสีหน้าของแอคเกอร์แมนได้และเข้าใจได้ทันทีว่าในใจเขาคิดอะไรอยู่ “ฉันเดาว่าคุณคงสัมผัสมันได้แล้วสินะคะ?”
แอคเกอร์แมนพยักหน้าแล้วสูดหายใจลึก ๆ “นี่คือพลังที่คุณหลินมอบให้คุณเหรอ?”
“ใช่ค่ะ” จี้จือซู่ตอบด้วยสายตามั่นคง “พลังที่จะควบคุมเลือดอสูร”
แอคเกอร์แมนไม่สามารถคุมอารมณ์ของเขาได้แล้วพูดปนสำลัก “เจ้าของร้านหนังสือจงเจริญ นี่จะเป็นหนทางที่จะช่วยชีวิตนักล่าทุกคน…โอ้พระเจ้า พ่อผม แม่ผม อาจารย์ผม เพื่อน ๆ ของผมต่างตายเพราะเลือดอสูร ผมมองกระดูกของพวกเขาค่อย ๆ บิดเบี้ยวไป ในขณะเดียวกับที่เส้นผมและดวงตางอกออกมาจากทั่วตัวพวกเขาโดยทำอะไรไม่ได้เลย ความสิ้นหวังแบบนั้นมันทรมานใจจริง ๆ”
เขาพล่ามอยู่สักพักก่อนที่จะตระหนักได้ว่าเขาเสียอาการ จึงรีบสงบจิตใจลง แล้วเขาก็ชี้ที่ศีรษะตนเองด้วยรอยยิ้มเจื่อน ๆ “ผมเองก็ได้รับผลของมันเหมือนกัน อารมณ์ของผมถูกขยายความเข้มข้นขึ้นหลายเท่าและผมก็คุมมันไม่ได้เลย มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนผมเป็นบ้าไปแล้วจริง ๆ”
จี้จือซู่เข้าใจได้ว่าแอคเกอร์แมนรู้สึกอย่างไร ก่อนที่เธอจะได้รับเลือดและสัตว์อสูรมา เธอก็ประสบกับความทรมานอย่างต่อเนื่องจากภาพหลอนเหมือนกัน
“ทุกอย่างจะมีแต่ดีขึ้นค่ะ เจ้าของร้านหนังสือจะมอบหลักคำสอนให้กับนักล่าอย่างเรา ๆ ภายใต้การคุ้มครองของเขา เราจะได้รับชีวิตใหม่ค่ะ”
จี้จือซู่ปลอบใจแอคเกอร์แมนในขณะที่พยายามสร้างความเชื่อใจและแบ่งปันความพลังและคำแนะนำที่เธอได้รับมาจากหลินเจี๋ยด้วย
ทั้งสองต่างมีมติเอกฉันท์ในการแลกเปลี่ยนคำสรรเสริญเกี่ยวกับเจ้าของร้านหนังสือแล้วกลายเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันในทันที
เรื่องนี้ดำเนินไปจนพวกนักล่าที่ล้อมแมงมุมอยู่โจมตีในกำบังของความมืดในที่สุด
จนตอนนี้ มีองค์กรนักล่าขนาดใหญ่อยู่ในนอร์ซินเพียงสามองค์กร รวมหมาป่าขาวเดิมด้วย ตอนนี้องค์กรที่เหลืออยู่สององค์กรได้เข้าร่วมการตั้งวงล้อมและเข้าโจมตีครั้งนี้ด้วย
พวกเขาบุกเข้ามาอย่างกระเหี้ยนกระหือรือจนแนวป้องกันด้านนอกของแหล่งกบดานรับไม่ไหวและแตกออกในทันที
แอคเกอร์แมนยืนขึ้นแล้วเตรียมจะสร้างค่ำคืนที่น่าจดจำให้กับเจ้าพวกอวดดีที่กล้ามาขวางทางของขวัญอันเลิศล้ำจากร้านหนังสือพวกนี้
ทว่าจี้จือซู่หยุดเขาไว้และเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา “ให้พวกเขามาเถอะค่ะ ฉันเตรียมเซอร์ไพร์สไว้ให้พวกเขาแล้ว”
แอคเกอร์แมนดูงุนงง แล้วเขาก็เห็นจี้จือซู่ยกแขนขึ้นข้างหนึ่ง เถาวัลย์เส้นบางยื่นออกมาพันรอบแขนเพรียวบางของเธอก่อนที่ดอกกุหลาบสีแดงที่ดูบอบบางดอกหนึ่งจะผลิบานออกอย่างรวดเร็ว
แอคเกอร์แมนตัวแข็งทื่อ จากนั้นก็กลืนน้ำลายอย่างประหม่าพร้อม ๆ กับชี้นิ้วสั่น ๆ ไปที่กุหลาบที่แขนเธอ
เรื่องน่าขนลุกที่แอคเกอร์แมนเผชิญมาจากการไปเยือนร้านหนังสือครั้งแรกของเขายังคงเป็นแผลใจที่ลืมไม่ลงในใจอยู่
เขาไม่เคยจินตนาการเลยว่าเจ้าของร้านหนังสือจะมอบเมล็ดพันธุ์แห่งความปรารถนาให้จี้จือซู่
มิน่า…มิน่าเธอถึงมั่นใจนัก เธอเตรียมการไว้อย่างพิถีพิถันสำหรับเรื่องทั้งหมดนี้แล้ว การล้อมโจมตีทั้งหมดนี่เป็นเพียงฉากบังหน้า และกับดักที่แท้จริงกำลังจะทำงาน…
จี้จือซู่ลูบดอกกุหลาบที่เอนไหวบนแขนของเธออย่างนุ่มนวล ภายในดอกกุหลาบ ลูกตาที่เต็มไปด้วยความโลภและความกระหายเลือดลอบมองออกมา
รากของกุหลาบนั้นหยั่งลงดิน ในหนึ่งสัปดาห์นี้ มันได้แพร่ไปทั่วแหล่งกบดานนี้ทั้งหมดแล้ว
และในความมืดด้านนอก ฝันร้ายที่ไม่มีทางลืมได้อย่างแท้จริงสำหรับผู้ล้อมโจมตีก็เริ่มขึ้นแล้ว
พวกเขาต่อสู้อย่างกระหยิ่มยิ้มย่องเข้าไปในแหล่งกบดานในขณะที่นักล่าของแมงมุมถอยหนี แต่ในตอนที่การล่าสังหารกำลังจะเกิดขึ้นนั้นเอง พื้นก็เริ่มสั่นไหว
ในทีแรก เหล่าผู้บุกรุกคิดว่ามันเป็นแผ่นดินไหว แต่ไม่นานนัก เถาวัลย์เส้นยักษ์ที่หนาปึ้กก็คืบคลานมาจากทุกสารทิศ ปกคลุมผนังและพื้น แขนขาและดวงตางอกออกมาจากอะไรที่เหมือนเนื้อเน่า ๆ บนเถาวัลย์ที่ยุกยิกนี้ ก่อให้เกิดภาพที่น่าสะอิดสะเอียน
ของพวกนี้ดูเหมือนพืชและมนุษย์ถูกเย็บชิ้นส่วนติดกันอย่างน่าคลื่นเหียน
และก่อนที่ผู้บุกรุกจะทันรู้ตัว เถาวัลย์พวกนี้ก็เลื้อยมาถึงตัวแล้วรัดมือเท้าพวกเขาไว้ โอบอุ้มพวกเขาอย่างรักใคร่แล้วมุดเข้าไปในทุกช่องว่างในร่างของพวกเขา
และหากผู้โจมตีเหล่านี้มีใครที่ยังมีสติอยู่ล่ะก็ พวกเขาจะได้เห็นสีหน้าสิ้นหวังสุดขีดของเพื่อนพ้องของเขาในขณะที่สิ่งปริศนาคืบคลานอยู่ใต้ผิวหนังของพวกเขาแล้วบิดร่างพวกเขาในทางที่เกินจินตนาการจะนำพา
แต่จนถึงจุดนี้ พวกเขาก็จะพบว่าตนไม่เหลือความปรารถนาใด ๆ แล้ว ทำได้เพียงต้องอดทนต่อความเจ็บปวดเจียนตาย และกรีดร้องในขณะที่พวกเขาถูกฉีกเป็นชิ้น ๆ
ราวกับนรกอย่างแท้จริง…
จี้จือซู่ที่ยึดชัยภูมิที่สูงอันได้เปรียบกว่ายิ้มในขณะที่เธอมองผู้โจมตีถูกกัดกินและสังหารในคุกแห่งเลือดเนื้อ แล้วเลือดเนื้อเหล่านั้นก็รวมตัวกันเป็นดอกไม้ขนาดยักษ์ที่ผลิกลีบบานออก เผยให้เห็นคมเขี้ยวและปากที่ส่งเสียงเรอออกมาอย่างอิ่มหนำ เมล็ดพันธุ์แห่งความปรารถนาได้กลืนกินเลือดเนื้อแล้วเปลี่ยนไปเป็นสัตว์ประหลาดที่น่าสะพรึงกลัวอย่างสุดซึ้งแล้ว
เศษเนื้อแปะติดตามผนังและพื้นแหล่งกบดานทั่วไปหมด แล้วนาม ‘ผู้ถักทอฝันร้าย’ ก็แพร่กระจายไปในหมู่นักล่าหลังจากการสังหารหมู่ในคืนนี้