เจ้าของร้านพิศวง - บทที่ 139 แก้วแตก
เดบราไม่มีชื่อ เธอเป็นมือสังหารโดยบริสุทธิ์ และถูกฝึกมาตั้งแต่ถูกรับไปเลี้ยง เครื่องมือสำคัญชิ้นเดียวที่เธอได้รับนับตั้งแต่เกิดมาก็คือมีดที่ใช้งานได้เล่มหนึ่ง
แม้จะถูกฝึกมาอย่างโหดร้ายมาหลายปี ถูกดัดแปลงร่างกายจนกลายเป็นสิ่งมีชีวิตขมุกขมัวเพื่อเพิ่มความสามารถในการพรางตัวของตัวเองอย่างมากก็ตาม แต่เดบราก็ยังไม่ถือโทษอะไรและมองข้ามมันไป เธอภูมิใจที่สามารถใช้ความแข็งแกร่งของตัวเองเพื่อองค์กรได้
เธอไม่มีคุณสมบัติพอที่จะรู้ชื่อจริง ๆ ขององค์กร และทำได้เพียงจำสัญลักษณ์ของมันไว้ ดาบยาวหนึ่งเล่มที่โอบล้อมด้วยเปลวเพลิง
เดบรารักองค์กรของเธออย่างมาก เธอรู้ว่าองค์กรแข็งแกร่งแค่ไหนจากทรัพยากรมากมายที่มี และการที่พวกเขาผลักดันสร้างเส้นทางแห่งแสงสว่างและคุณธรรมอย่างสม่ำเสมอ
พวกเขามีศัตรูมากมาย และพวกเขาจะสร้างศัตรูกับทั้งโลกที่เหลือ แต่เหตุผลของพวกเขานั้นเที่ยงแท้แน่นอน และพวกเขาจะได้รับชัยชนะในท้ายที่สุด!
ด้วยเหตุนี้ เดบราจึงเต็มใจที่จะเป็นก้อนหินไร้นามที่จะกรุยทางให้องค์กรของเธอเหยียบข้ามไปเพื่อสร้างโลกใบใหม่
นี่คือเป้าหมายในชีวิตของเธอ ทุกความเจ็บปวดและการเสียสละนั้นเพื่ออุดมการณ์อันยิ่งใหญ่ แม้มันจะหมายถึงเธอต้องตายก็ตาม!
ดังนั้น เมื่อเธอได้รับภารกิจให้ลอบสังหารไวลด์ เธอจึงรับมันมาโดยปราศจากความลังเล
เธอทำกระทั่งยอมเข้ารับการดัดแปลงครั้งที่สองอันเจ็บปวดสุดขีดที่จะทำให้ตัวเองกลายเป็นภูตเงาที่แท้จริง ระหว่างความเป็นจริงและแดนนิมิตนั้นมีช่องว่างที่พิเศษมากอยู่ นั่นคือ ‘แดนแห่งเงา’ ที่เหล่าภูตเงาทั้งหลายสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้ชั่วคราว
ปกติแล้วภูตเงานั้นไม่มีนิสัยรุนแรงและใช้เวลาทั้งหมดในชีวิตในการกระโดดไปมาระหว่างเงาต่าง ๆ ราวกับแพลงก์ตอนกินอาหาร รวมตัวกันแล้วสร้างชีวิตใหม่อย่างต่อเนื่อง
พวกมันแปลกแยกไปจากโลกจริงและมีเพียงนักเวทไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถบงการมันได้ ทว่าพวกเขาก็ทำได้เพียงให้เงาของตัวเองเปลี่ยนรูปร่างไป หรือให้ภูตเงาออกไปจากเงาเท่านั้นเอง
ทว่าภูตเงานั้นไม่สามารถออกมาจากในแดนแห่งเงาได้ เหมือนเช่นที่ปลาก็ไม่สามารถออกมาจากน้ำได้นานโดยไม่ตาย
การอัญเชิญสิ่งมีชีวิตเหล่านี้มาไม่ได้มีประโยชน์มากนัก และเมื่อเวลาผ่านไป ภูตเงาก็ไม่กลายเป็นที่สนใจของใคร
เดบราเป็นผลการทดลองที่ผิดพลาดของการทดลองใหม่เกี่ยวกับแดนแห่งเงาขององค์กร และการทดลองก็รวมถึงการบังคับรวมร่างมนุษย์เข้ากับภูตเงา
ตัวตนอย่างเธอนั้นถูกองค์กรตั้งชื่อว่า ‘ด้วงเงา’ ส่วนโลกภายนอกเรียกมือสังหารที่ลึกลับเหล่านี้ว่า ‘มือสังหารเงา’
เธอสามารถเดินทางสลับไปมาระหว่างโลกจริงและเงาได้อย่างอิสระ แต่ทุกครั้งที่เธอเข้าไปในแดนแห่งเงา เธอก็ต้องทนต่อความเจ็บปวดราวกับวิญญาณจะแหลกสลายทุกครั้งไป
ด้วงเงามากมายสติแตกแล้วฆ่าตัวตายเพราะเหตุนี้
แต่ทุกอย่างนั้นคุ้มค่าแล้ว! ใครก็ตามที่ขวางทางองค์กรอยู่ต้องตาย!
เดบรารู้ว่าชื่อของเฮริสนั้นอยู่ในลิสต์รายชื่อหนึ่ง
เขาเป็นเครื่องมืออื่นที่ต่างจากเธอ แต่มีประโยชน์และใช้งานยากกว่าเธอมาก เพราะฉะนั้นค่าใช้จ่ายในการวางแผนขององค์กรจึงสูง เฮริสควรจะใช้กระจกมนตราเพื่ออัญเชิญสัตว์มายาระดับเหนือนภาที่องค์กรต้องการมา แล้วเขาก็ควรจะกลืนกินลัทธิสีชาดแล้วกลายเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ยิ่งกว่าเดิมให้กับองค์กร
ทว่าเพราะการแทรกแซงของไวลด์ เฮริสจึงตายแล้วกลายเป็นเครื่องเซ่นบวงสรวง ยิ่งไปกว่านั้น หมาป่าขาวและลัทธิสีชาดยังถูกทำลาย และกลุ่มนักล่าที่ควรจะถูกกลืนกินก็กลายเป็นองค์กรนักล่าใหม่เอี่ยมขึ้นมา
แผนที่องค์กรใช้เวลาเป็นปี ๆ เพื่อบรรจงสร้างขึ้นมาต่างพังไม่มีชิ้นดี!
นี่คือข้อมูลที่เดบราได้รับมา เธอต้องกำจัดทุกเสี้ยนหนามเพื่อองค์กร และเพราะฉะนั้น…ไวลด์ต้องตาย!
‘เสียงแห่งกรรม’ จะสลายความคิดและจิตใจของไวลด์ ในตอนแรกเริ่มมันจะรู้สึกเหมือนมีฝูงมดไต่ไปทั่วผิวของเขาก่อนจะคืบคลานเข้าไปในเยื่อหุ้มสมองและตัวสมอง ความรู้สึกคันอย่างสุดขีดจะทำลายเจตจำนงของเขา ทำให้เริ่มเกาจนฉีกหนังศีรษะของตัวเองออก ฉีกเข้าไปในกะโหลกแล้วสุดท้ายก็ขุดเอาสมองที่แห้งสนิทไปแล้วของเขาออกมา แล้วตอนนั้นเขาจึงจะเป็นอิสระจากความเจ็บปวด
นี่คือสิ่งที่เดบราคิดไว้และดื่มด่ำกับการดิ้นรนอย่างไร้หนทางของเหยื่อของเธอในจินตนาการ เพราะถึงอย่างไรเสีย เธอก็อยู่ห่างจากความสำเร็จแค่เพียงก้าวเดียว
นี่คือการลอบสังหารสไตล์เธอ การโจมตีที่เข้าเป้าอย่างสะอาดสะอ้านโดยไม่ยืดเยื้อ การที่ไวลด์กำลังรับแขกที่เป็นคนธรรมดานั้นไม่ได้อยู่ในขอบเขตการคิดของนักฆ่าสาวเลย แต่เธอก็แค่ต้องซ่อนตัวแล้วใส่ยาพิษเมื่อเธอสบโอกาสก็เท่านั้น
ทว่าในขณะที่เธอกำลังรอคอยอย่างอดทนนั้นเอง เธอพลันเห็นชายหนุ่มที่ดูธรรมดาคนนั้นหยิบเหรียญจากในกระเป๋าเสื้อผ้าแล้วดีดมันด้วยรอยยิ้ม
ปิ๊ง!
เหรียญที่หมุนคว้างนิ่งกลางอากาศไปครู่หนึ่ง แกนหมุนที่ถูกสลักไว้บนหน้าของมันก็ดูราวกับรูม่านตา แล้วเหรียญก็ดูราวกับลูกตาที่จู่ ๆ ก็มีชีวิตขึ้นมา
ความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูกเกาะกุมหัวใจของเดบราราวกับเธอถูกบางสิ่งที่มองไม่เห็นจับจ้อง ราวกับเธอกำลังถูกมือที่ไร้รูปร่างกำไว้จนแน่น ในพริบตานั้น เธอรู้สึกกดดันอย่างรุนแรงและกลัวอย่างสุดขั้วหัวใจ
หนีไป!
หนีไปสิ!
หนีไปซะเดี๋ยวนี้เลย!!!
สัญชาตญาณกรีดร้องใส่เธอ กระตุ้นให้เธอหนีจากที่นี่ อันตรายใหญ่หลวงกำลังมาแล้ว
ทว่าเดบราไม่มีโอกาสได้ตอบโต้ เธอไม่มีทางตอบโต้มันได้เลย
เหรียญที่หยุดนิ่งกลางอากาศครู่หนึ่งนั้นร่วงลงแล้วกระทบเข้ากับขอบแก้วน้ำของไวลด์ มันคงไปโดนจุดเปราะบางของแก้วเข้าเพราะมีรอยร้าวตื้น ๆ ปรากฏขึ้นแล้วขยายไปทั่วทั้งแก้ว
เพล้ง!
แก้วถูกเหรียญกระแทกให้แตกเป็นพัน ๆ ชิ้นในพริบตาและเศษแก้วโปร่งใสชิ้นเล็กจ้อยก็ปลิวไปทั่วทุกทิศ น้ำในแก้วกระจายออก รดลงบนโต๊ะไปครึ่งตัวและเศษแก้วทั้งหมดที่อยู่บนนั้น ทว่าด้วยเหตุผลบางประการ เงาของเศษแก้วเหล่านี้ดูจะสั่นไหวพร้อมกับเสียงสั่น ๆ เล็กน้อย
อ๊าาาาาาาา…!!
เดบรากรีดร้องอย่างเงียบ ๆ เมื่อ ‘เสียงแห่งกรรม’ ลอดผ่านช่องว่างระหว่างโลกจริงและแดนแห่งเงาแล้วหยดลงบนตัวเธอ
สิ่งที่มาจากโลกจริงจะไม่มีผลต่อเธอหากเธอเป็นภูตเงาที่แท้จริง
และถ้าเธอเป็นมนุษย์จริง ๆ ล่ะก็ ‘เสียงแห่งกรรม’ ก็จะทำเพียงกัดกร่อนจิตใจของเธอโดยไม่ทำร้ายเธอไปมากกว่านั้น
น่าเสียดายที่ไม่มีคำว่า “ถ้า”
เธอเป็นสิ่งมีชีวิตสังเคราะห์ที่ได้รับผลจากทั้งในโลกจริงและแดนแห่งเงา และเพราะเธอมีลักษณะส่วนหนึ่งของภูตเงาอยู่ ทุกส่วนของร่างกายของเธอจึงเป็นอวัยวะที่ใช้ความคิดได้ทั้งสิ้น
ความรู้สึกแสบคันเหมือนมีฝูงมดไต่ไปทั่วแผ่ซ่านไปทั่วร่างกายของเธอ ฝังลึกเข้าไปในตัวเธอทีละนิด ความเจ็บปวดนั้นแย่เสียยิ่งกว่าการสลับเปลี่ยนระหว่างโลกจริงและแดนแห่งเงาเสียอีก และนั่นทำให้นักฆ่าสาวอยากจะบดขยี้และฉีกตัวเองเป็นชิ้น ๆ
เดบราเริ่มแหลกสลาย ดูดซับตัวเองและสร้างร่างใหม่ กลายเป็นลูปที่เต็มไปด้วยเสียงกรีดร้องในความเงียบ
เงาที่แตกกระจายนั้นไม่ได้ดึงดูดความสนใจของใครเลย
เดบราไร้หนทางออกจากที่นี่ ความมืดมิด ความสิ้นหวัง และความเจ็บปวดนี้จะติดตามเธอไปตลอดกาล…ไร้จุดจบหรือบทสรุป
กิ๊ง…กิ๊ง…กิ๊ง…
เหรียญกระทบพื้น เด้งอยู่หลายทีก่อนจะกลิ้งนิดหน่อยแล้วร่วงลง ปรากฏเป็นด้านเคราะห์ร้ายที่ไม่ได้ทำจุดสีแดงเอาไว้
“เอ่อ…”
ริมฝีปากของหลินเจี๋ยกระตุกในขณะที่เขาจ้องโต๊ะที่เต็มไปด้วยเศษแก้ว เขาไม่รู้ว่าเรื่องกลายเป็นแบบนี้ไปได้ยังไง สีหน้าของไวลด์เครียดขึ้งในขณะที่เขาผุดลุกขึ้นกะทันหัน แล้วมองเงาของแก้วอย่างครุ่นคิด