เจ้าของร้านพิศวง - บทที่ 143 อัครสาวกเดือนดับข้างแรม
วินเซนต์กำคัมภีร์ตะวันไว้แนบอกและมีหัวใจอันเต็มไปด้วยคำถามในขณะที่เขาเดินเข้าไปในวิหารอันเงียบเชียบท่ามกลางแสงจันทร์ที่ลอดผ่านกระจกสีสเตนกลาสที่แต่งแต้มสีไปทั่วชุดบาทหลวงของเขา
เพราะนี่เป็นเวลากลางคืน เขาจึงยังผูกผ้าปิดตาไว้บนหน้าเพื่อป้องกันการมองดวงจันทร์
ในอดีต เขารู้สึกว่านี่คือการแสดงความนอบน้อมที่จำเป็นเพื่อแสดงถึงความอ่อนน้อมของสาวก และเป็นราคาที่พวกเขาต้องจ่ายเพื่อให้ได้มาซึ่งการคุ้มครองและพลังของดวงจันทร์
แต่ตอนนี้ ความเคลือบแคลงเริ่มเติบโตขึ้น ผู้ศรัทธาควรรักษาความเคารพอย่างไร้ข้อแม้ต่อเทพเจ้าของตน แต่เมื่อไม่สามารถเห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงของเทพเจ้าของพวกเขาได้ มันก็จะดูแปลกไปนิดหน่อย
พวกเขาศรัทธาในดวงจันทร์และขานนามของดวงจันทร์ แต่ว่า…พวกเขาจะรู้ได้ยังไงว่าพวกเขาบูชาดวงจันทร์อยู่จริง ๆ?
วินเซนต์กดข่มความคิดน่าขยะแขยงของตัวเองที่เบ่งบานราวกับวัชพืชในหัวของเขาไป สูดลมหายใจลึก ๆ แล้วเขาก็พยายามสงบใจ ทิ้งความคิดของตนในขณะที่เขาเดินไปบนทางเดินยาวไปสู่ห้องสารภาพบาปที่อัครสาวกลำดับ 7 ประจำอยู่
โบสถ์ที่อัครสาวกลำดับ 7 พำนักนั้นใหญ่โตมาก ด้วยสิ่งก่อสร้างทรงโดมที่สื่อถึงความยิ่งใหญ่ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หน้าต่างสเตนกลาสอันประณีตบรรจงและรูปสลักสีขาวมีให้เห็นได้ทุกที่ และยังมีช่องแสงกลม ๆ ที่จุดบนสุดซึ่งทำให้ทุกคนที่เข้ามาได้อาบแสงจันทร์อีกด้วย
โถงหลักอยู่ที่ใจกลางของโบสถ์นี้สามารถจุคนได้มากกว่าพันคน ปีกซ้ายขวาเป็นที่พำนักนักบวช ห้องสารภาพบาปของอัครสาวกที่ดูแลสังฆมณฑลนั้นเป็นที่ที่คนธรรมดาไม่สามารถเข้าถึงได้ มีเพียงนักบวชเท่านั้นที่สามารถเข้ามาที่นี่ได้
โบสถ์แห่งจุดสูงสุดนั้นเป็นศาสนาที่แพร่หลายที่สุดในอาซีร์ และยังเป็นสถานที่ที่คนธรรมดาสามารถติดต่อกับผู้มีพลังเหนือธรรมชาติได้มากที่สุดด้วย
แต่ที่จริงแล้ว อัครสาวกนั้นจะยอมพบเพียงผู้มีพลังเหนือธรรมชาติเท่านั้น
โบสถ์แห่งจุดสูงสุดนั้นประกอบไปด้วยสังฆราช สตรีศักดิ์สิทธิ์ นักเทศน์ บาทหลวง แม่ชี และนักบวชฝึกหัดเมื่อเรียงจากยศใหญ่ไปน้อย
มีสังฆราชเพียงคนเดียวที่จะถูกเลือกโดยประกาศิตศักดิ์สิทธิ์ มีสตรีศักดิ์สิทธิ์สองคนที่สื่อถึงด้านสว่างและด้านมืดของดวงจันทร์และมีหน้าที่ถ่ายทอดพระวจนะ
อัครสาวกเจ็ดคนที่มีสมญาตามระยะต่าง ๆ ของดวงจันทร์จะมีพลังที่แตกต่างกันออกไป เดือนดับข้างขึ้น เดือนเสี้ยวข้างขึ้น เดือนครึ่งข้างขึ้น เดือนเพ็ญ เดือนครึ่งข้างแรม เดือนเสี้ยวข้างแรมและเดือนดับข้างแรม
วินเซนต์อยู่ในสังฆมณฑลของอัครสาวกเดือนดับข้างแรม
เหล่านักเทศน์ออกเดินทางทั่วดินแดน คอยเทศนาเผยแพร่ศาสนาของโบสถ์แห่งจุดสูงสุดทุกที่ที่พวกเขาไป ขอบเขตงานของพวกเขาไม่ค่อยต่างจากเหล่านักบวชมากนัก แค่ว่าพวกเขาเป็นเหมือนบาทหลวงธุดงค์
เหตุผลที่ทำไมนักเทศน์ถึงอยู่ระดับสูงกว่าบาทหลวงนั้นก็เพราะพวกเขาเป็นนักสู้ของโบสถ์แห่งจุดสูงสุดและเป็นบาทหลวงที่ต่อสู้ได้ เทียบกับบาทหลวงที่เชี่ยวชาญการรักษาแล้ว นักเทศน์นั้นเป็นที่โปรดปรานของคนระดับสูงมากกว่า เพราะฉะนั้นบาทหลวงจึงเหมือนสินค้าที่ทำงานไม่ตรงตามสเปกแล้วถูกส่งออกไปสอนศาสนาให้กับแค่คนธรรมดา
ส่วนแม่ชีและเหล่านักบวชฝึกหัดนั้น พวกนี้เป็นเพียงผู้มีพลังเหนือธรรมชาติที่มีความสามารถต่ำลงไปอีก แม้ว่าจำนวนของพวกเขาจะมีมาก แต่ในเวลาส่วนใหญ่แล้วพวกเขาก็จะถูกมองข้ามไป
วินเซนต์วางมือของตัวเองลงบนประตูไม้ของห้องสารภาพบาป ลังเลนิดหน่อยก่อนจะผลักมันเปิดอย่างช้า ๆ
แอ๊ด…
เสียงประตูเปิดถูกขับให้เด่นขึ้นมาจากความเงียบของทางเดินที่ว่างเปล่า
ห้องสารภาพบาปนั้นเป็นห้องเล็ก ๆ ที่แทบไม่มีอากาศหายใจ เว้นเพียงหน้าต่างบานเล็ก ๆ ที่อยู่เหนือเพดานที่มีแสงจันทร์สีเงินซีดฉายลงมาส่องให้เห็นอัครสาวกชุดแดงที่ยืนอยู่หน้าสุด
อัครสาวกเดือนดับข้างแรมที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งใหม่นี้เป็นสุภาพสตรีนามวาเนสซา เธอมีผมสีเกาลัดตรงยาว ใบหน้าอ่อนหวานอันงดงาม และรอยยิ้มที่ดูจะเต็มไปด้วยไออุ่น
เหมือนกับวินเซนต์ เธอเองก็ผูกผ้าปิดตา แต่นั่นไม่ได้ทำให้ความชวนให้ใจสงบที่เธอมีต่อคนรอบตัวลดน้อยลงเลย
นี่คือพลังของอัครสาวกเดือนดับข้างแรม ‘อาณาเขตแห่งความเงียบ’ แน่นอนว่านี่เป็นเพียงผลพื้นผิวจากการรั่วไหลของพลังเท่านั้น ในตอนที่พลังถูกเรียกใช้อย่างจริงจัง มันจะมีความสามารถสั่งการไร้เสียงที่ร้ายแรง ทำให้อีเธอร์ในบริเวณกว้างหยุดทำงานและไม่สามารถถูกใช้ได้ หากอยู่บนสมรภูมิแล้วนี่มันก็อาวุธร้ายแรงชัด ๆ
อัครสาวกเดือนดับข้างแรมคนก่อนพลีชีพไปอย่างเคราะห์ร้ายในขณะต่อสู้กับสัตว์มายาที่บุกรุกเข้ามา ดังนั้นเหล่าสตรีศักดิ์สิทธิ์และพระสังฆราชจึงเลือกตั้งอัครสาวกลำดับ 7 ขึ้นมาใหม่จากเหล่านักเทศน์และประสาทพลังให้กับเขา
วินเซนต์ก้มหัวลงแล้วเข้ามาในห้อง เขาโค้งและพูดด้วยเสียงสั่น ๆ “พระคุณเจ้าครับ ผมผิดบาปแล้ว”
วาเนสซายังใหม่ในบทบาทของเธอเอง และนี่เป็นครั้งแรกที่มีบาทหลวงมาสารภาพบาปและขอไถ่บาปกับเธอ
ทว่านี่ไม่ได้ผิดปกติอะไรนัก ศาสนาที่ศรัทธาดวงจันทร์นั้นแพร่หลายมากและหาได้ไม่ยากที่สมาชิกสมณเพศจะมาสารภาพบาปต่อผู้มีระดับสูงกว่าและขออภัยโทษ
“คุณพ่อวินเซนต์ คุณผิดบาปอย่างไรหรือ?” วาเนสซาถามด้วยรอยยิ้มเมตตา
“พูดความจริงต่อดวงจันทร์เถิด สำนึกผิดอย่างจริงใจและแก้ไขหนทางของคุณด้วยจิตใจที่ตื่นตัว ดวงจันทร์จะเมตตาอยู่เสมอ”
วินเซนต์รู้จักคำเหล่านี้ดีมาก เขาพูดคำเดียวกันนี้กับสาวกไม่รู้กี่ครั้งแล้ว แต่ตอนนี้เขาพบว่ามันแปลกเอาการที่ต้องมาเป็นคนฟังเสียเอง…
วินเซนต์กำจัดความคิดเหล่านี้ไปแล้วตั้งมั่นที่การแสดงของเขา เจ้าของร้านหนังสือพูดถูก เขาไม่สามารถแสดงความลังเลใด ๆ ออกมาได้ ในฐานะบาทหลวงที่มีความศรัทธาสุดใจต่อโบสถ์ เขาต้องรายงานความผิดปกติเหล่านี้ทั้งหมดออกมาอย่างซื่อตรงเพื่อไม่ให้ใครสงสัยได้ว่ามีอะไรผิดไป…
วินเซนต์พูดตามสคริปต์ที่เขาคิดขึ้นมา “ชะ…ช่วงนี้ผมรู้สึกกระสับกระส่ายมากเลยครับ”
รอยยิ้มบนใบหน้าของวาเนสซาวูบไหวเล็กน้อย “กระสับกระส่ายเหรอ?”
วินเซนต์ตอบอย่างเขิน ๆ “ครับ ผมรู้สึกกระวนกระวาย รำคาญใจและทำสมาธิไม่ได้อยู่บ่อย ๆ ผมรู้สึกหายใจลำบาก แล้วร่างของผมก็จะสั่นสะท้าน แล้วผมก็หูตาฝาดอยู่บ่อย ๆ ด้วย…”
“เดี๋ยวนะ” รอยยิ้มน้อย ๆ ของวาเนสซายังคงหลงเหลือ “นี่ไม่ใช่บาปนะคะคุณพ่อ”
วินเซนต์ส่ายหน้า “โปรดฟังผมเถอะครับ ทีแรกผมก็คิดว่าเป็นเพราะช่วงนี้ผมงานยุ่ง แต่มันร้ายแรงกว่าที่ผมคิดเยอะเลยครับ”
หลังจากอธิบายอาการของเขาอย่างละเอียดแล้ว เขาก็โพล่งออกมาอย่างตื่นกลัว “พระคุณเจ้าครับ ผะ…ผมได้เห็นดวงจันทร์ในภาพหลอนครับ! ผมผิดบาปไปแล้วครับ!”
สีหน้าของวาเนสซามีการเปลี่ยนแปลง ดวงตาของเธอก็เย็นเยียบขึ้นเล็กน้อย แต่เธอก็ปรับกลับเป็นภาพลักษณ์เป็นมิตรและชวนให้ใจสงบอย่างรวดเร็วในขณะที่ปลอบใจวินเซนต์ “คุณได้เห็นดวงจันทร์เหรอคะ? คุณแน่ใจเหรอคะว่าสิ่งที่คุณเห็นคือดวงจันทร์?”
“ผะ…ผมไม่เคยเห็นมันมาก่อน แต่ผมเคยได้ยินคำบรรยายของมันมาก่อนครับ มันน่าจะเป็นดวงจันทร์และมันอยู่ในน้ำครับ” แล้ววินเซนต์ก็ถามขึ้นว่า “พระคุณเจ้าครับ ผมควรทำยังไงดีครับ? หรือผมไม่เคร่งในศรัทธามากพอ…”
วาเนสซายังยิ้มและตอบกลับ “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ นั่นไม่ใช่ดวงจันทร์ที่แท้จริง และเป็นแค่จินตนาการของคุณเท่านั้น คุณไม่เคยได้เห็นดวงจันทร์มาก่อนถูกไหม?”
“อย่าห่วงมันไปเลย คุณก็แค่ต้องการการพักผ่อนดี ๆ คุณอยู่ในกลุ่มที่ได้รับแก่นจันทร์ศักดิ์สิทธิ์ไปเมื่อสักพักก่อน ใช้มันให้มากกว่านี้นะคะถ้ารู้สึกกระสับกระส่าย ฉันแน่ใจว่าคุณได้ประสบความมีประสิทธิภาพของมันมาแล้ว หากคุณคิดว่าตนเองไม่เคร่งในศรัทธาพอ ก็ให้มันนำทางคุณสู่การคุ้มครองของดวงจันทร์เถอะค่ะ”
วินเซนต์ทำเหมือนตนได้รับการโน้มน้าวสำเร็จแล้ว แล้วคุยกับวาเนสซาต่อสักพักก่อนที่เขาจะขอตัวลา
รอยยิ้มของวาเนสซาหายไปในตอนที่เธอมองเขาจากไป
“นำรายงานการจับตามองวินเซนต์มาให้ฉัน” เธอออกคำสั่งอย่างเย็นชา “ช่วงนี้เขาทำอะไรอยู่?”
บริวารคนหนึ่งพลันปรากฏข้างตัวเธอแล้วส่งเทียนขี้ผึ้งสีขาวให้เธอเล่มหนึ่ง
วินเซนต์ไม่ได้ตระหนักเลยว่าตัวเองและสมาชิกสมณเพศคนอื่น ๆ ที่ได้รับแก่นจันทร์ศักดิ์สิทธิ์ไปนั้น ที่แท้แล้วถูกจับตามองอยู่อย่างลับ ๆ ผ่านตรานักบวชของพวกเขา