เจ้าของร้านพิศวง - บทที่ 153 เก้าอี้หรรษาของแม่มด
บทที่ 153 : เก้าอี้หรรษาของแม่มด
มูเอนรออยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะเรียกอีกฝ่าย “วัลเพอร์กิส”
วัลเพอร์กิสสะดุ้งไปครู่หนึ่งแล้วหยุดแกว่งเท้าบนผิวน้ำและยกมันขึ้น จากนั้นเธอก็ยืนตัวตรงแล้วกระแอมให้คอโล่ง “มีอะไรเหรอมูเอน?”
ถ้ามูเอนไม่ได้เห็นมากับตา เธอคงไม่เคยจินตนาการมาก่อนว่าหญิงสาวผู้เอนตัวอยู่บนจันทร์เสี้ยวลวงตาในท่ามือเท้าคางเมื่อครู่จะเป็นคนเดียวกับแม่มดบรรพกาลผู้ลึกลับและสง่างามก่อนหน้านี้
การมองสีแดงบนแก้มของวัลเพอร์กิสจางหายไปแบบเรียลไทม์นั้นราวกับความน่าตื่นตะลึงจากการดูการแสดงเปลี่ยนหน้าของงิ้วเสฉวน และในตอนนี้มูเอนก็ได้รับความเข้าใจที่ลึกล้ำยิ่งกว่าว่าสิ่งมีชีวิตที่มีความรู้สึกนั้นเป็นอย่างไร
แต่มันก็ช่างแปลกเหลือเกิน…
มูเอนบอกได้ว่าวัลเพอร์กิสนั้นอารมณ์ดีเพราะเจ้านายของเธอพูดว่า ‘ดวงจันทร์เป็นเด็กสาวผู้อ่อนเยาว์และงดงาม’ แต่ว่า…
มูเอนรู้อย่างผิวเผินว่าวัลเพอร์กิสนั้นที่จริงแล้วมีระดับสูงกว่าดวงจันทร์และดวงอาทิตย์จากกฎที่ปกครองดินแดนแห่งนี้
แค่ว่าเธอได้เล่นบทดวงจันทร์ด้วยตนเองอยู่พักหนึ่ง เพราะเธอเกิดเบื่อขึ้นมาในระหว่างกาลเวลาอันยาวนาน
ดังนั้นพูดแล้ว เธอก็สามารถถูกเรียกว่าดวงจันทร์ได้เหมือนกัน
วัลเพอร์กิสนั้นงดงามจริง ๆ ความงามของเธอเกินขีดจำกัดของมนุษย์ สมบูรณ์แบบและสามารถทำให้ใครก็ตามรู้สึกตะลึงในความทึ่งได้
แต่เธอเกี่ยวอะไรกับคำว่า ‘เด็กสาว’?
เด็กสาวประดิษฐ์คิดอยู่นานแต่ก็ยังเคลือบแคลง
เหล่าแม่มดบรรพกาลเป็นชีวิตที่มีสติปัญญาแรกสุดที่เกิดจากจุดเริ่มต้นของบรรพกาลอันโกลาหลของอาซีร์ พวกเธอครอบครองอำนาจมหาศาลและควบคุมทุกสิ่งบนโลก
ทว่าในด้านอายุแล้ว เธอก็คงอายุใกล้เคียงกับโลกนี้แหละ
ไม่มีใครรู้ว่าร่างที่แท้จริงของแม่มดบรรพกาลเป็นอย่างไร รูปลักษณ์ปัจจุบันของวัลเพอร์กิสนั้นเป็นแค่การบูรณาการตัวเธอเองเข้ากับสังคมมนุษย์เท่านั้น เธอกลายเป็นผู้หญิงเพื่อเน้นย้ำถึงความสามารถพิเศษในการสร้างทุกสิ่ง จากมาตรฐานของมนุษย์แล้ว เธออายุเท่ากับบรรพชนเมื่อหลายหลาย…หลายรุ่นก่อน
ภายใต้สายตาของมูเอนผู้งุนงงและจมในภวังค์ความคิด สีหน้าของวัลเพอร์กิสก็ค่อย ๆ แข็งทื่อขึ้น
แม้ว่าเธอจะไม่รู้ว่าเด็กคนนี้คิดอะไรอยู่ก็ตามที แต่เธอสามารถสัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดไป และคงจะดีกว่าถ้าเธอไม่รู้ว่าคืออะไร
เธอรักษารอยยิ้มไว้แล้วตัดสินใจแกล้งทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“มูเอนหรือ? นี่เป็นเรื่องเกี่ยวกับวินเซนต์ใช่ไหม? ข้าก็ได้ยินมาเหมือนกัน”
วัลเพอร์กิสก้าวออกมาจากจันทร์เสี้ยวอย่างสง่างามแล้วถามอย่างสำรวม “เห็นไหม ข้าบอกเจ้าแล้วว่าเขาคาดการณ์มันไว้แล้ว และรอเพียงให้เจ้าเคลื่อนไหว”
“เขาจักเห็นด้วยกับสิ่งที่เรากำลังจักทำต่ออย่างแน่นอน อันที่จริงแล้ว เขานั่นแหละที่ช่วยเราเกี่ยวกับเรื่องของวินเซนต์ นี่คือจุดประสงค์ของเขา”
“เมื่อวินเซนต์มา เราก็จักสามารถร่วมมือกับเขาเพื่อเริ่มแผนขั้นที่สองได้”
มูเอนพยักหน้า “เพื่อความยุติธรรม โบสถ์แห่งจุดสูงสุดต้องถูกโค่นล้มอย่างขุดรากถอนโคนค่ะ…”
วัลเพอร์กิสเอื้อมมือออกมาลูบใบหน้าของมูเอน “ในเมื่อเจ้ามิอยากสร้างศาสนาใหม่และไม่อยากถูกบูชาโดยผู้อื่น วินเซนต์จักเป็นคนที่เหมาะสมที่สุด เจ้าปล่อยให้ศาสนาแห่งดวงตะวันแทนที่โบสถ์แห่งจุดสูงสุดเสียเถิด”
“มันต้องมีศาสนาใหม่ด้วยเหรอคะ?” มูเอนถาม
วัลเพอร์กิสคิดไม่ถึงว่าจะได้รับคำถามแบบนี้จากมูเอน เธอถามอย่างแปลกใจ “เจ้าคิดเช่นไรหรือ?”
วัลเพอร์กิสโยนคำถามกลับไปให้เด็กสาวเพื่อช่วยให้เธอคิด
เพราะถึงอย่างไร วัลเพอร์กิสก็ได้ยกแดนนิมิตของเธอให้มูเอนและให้รับช่วงต่อพลังของเธอไปแล้ว เหมือนเป็นศิษย์ของเธอนั่นแหละ
มูเอนเอียงคอคิดถึงการตายอย่างโหดร้ายของบาทหลวงเฒ่าและเหล่าอัครสาวกอันมาจากความเขื่อมั่นที่มั่นคงในความศรัทธาของพวกเขา
ทั้งสองกรณีนั้นมีความเชื่อเดียวกันและทั้งคู่ต่างเชื่ออย่างตาบอด แต่ความแตกต่างระหว่างทั้งสองนั้นราวกับฟ้ากับดิน
มูเอนเป็นกังวลว่าศาสนาใหม่จะจบลงในสถานการณ์เดียวกับโบสถ์แห่งจุดสูงสุด ดังนั้นเธอจึงออกความเห็นของตนเอง
จะดีกว่าไหมถ้าไม่มีโบสถ์อยู่เลย?
มูเอนยังไม่สามารถหาคำตอบได้ เรื่องทั้งหมดช่างซับซ้อนเกินไป
“มิใช่ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต้องการสาวกหรอก แต่เป็นผู้คนต่างหากที่ต้องการจะมีความเชื่อ”
วัลเพอร์กิสพูดต่อด้วยรอยยิ้ม “ความเชื่อเล็กจ้อยของมนุษย์นั้นมิมีผลใดต่อดวงอาทิตย์หรือดวงจันทร์เลย ทว่ามนุษย์นั้นต้องการที่พึ่งทางใจและความคุ้มครอง และนี่คือเหตุผลที่มีโบสถ์อยู่”
“อย่างน้อยที่สุด เหล่าสาวกจากโบสถ์แห่งจุดสูงสุดก็ชาชินกับชีวิตเช่นนี้แล้ว หากเจ้าทำลายมันแล้วมิได้สร้างศาสนาใหม่ขึ้นมา เหล่าผู้ศรัทธาจักแตกสลายในชั่วข้ามคืน”
“เจ้าต้องให้พวกเขาเข้าใจว่าพวกเขามิได้ถูกความเชื่อของพวกเขาหลอก แต่เป็นคนเลวต่างหากที่หลอกพวกเขา…”
มูเอนงุนงง และสีหน้าว่างเปล่าของเธอก็แสดงออกมา
วัลเพอร์กิสระเบิดเสียงหัวเราะ เธอดันให้มูเอนนั่งลงบนจันทร์เสี้ยวลวงตาแล้วพูดขึ้น “เจ้าสัตว์ร้ายนั่นก็แค่ได้ใส่ชุดสวย ๆ เท่านั้น แต่มนุษย์ใช้มันทำในสิ่งเลวร้ายที่พวกเขาต้องการ”
“คำพูดที่ประโคมสอนความเชื่อ…ไม่สิ บทคำสอนของโบสถ์แห่งใหม่นั้น ให้เจ้านายหลินของเจ้าเป็นคนคิดสิ เขาดูเก่งเรื่องนี้มากเลยนะ”
“ทั้งหมดที่เจ้าต้องทำก็แค่ทำในสิ่งที่เจ้าควรทำ นั่นแหละทั้งหมดแล้ว”
มูเอนปรับตัวให้มั่นคงบนจันทร์เสี้ยวที่แกว่งไปมาเบา ๆ แล้วถามขึ้น “คุณเป็นแม่มดบรรพกาลไม่ใช่เหรอคะ? ทำไมคุณต้องมาสนใจสิ่งที่มนุษย์คิดด้วยล่ะ?”
เธอสัมผัสดวงจันทร์ลวงตาแล้วรู้สึกว่ามันเหมือนกับ…เก้าอี้โยกเก่า ๆ ตัวหนึ่ง
วัลเพอร์กิสไม่รู้ถึงคำวิจารณ์ไร้เสียงในใจของเด็กสาวประดิษฐ์ และมุมปากของเธอก็กระตุก “ข้าได้ตกลงร่วมกันกับเผ่าพันธุ์มนุษย์มาก่อนว่าข้าจักปกป้องสิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอเหล่านี้ยามท้องฟ้ามืดมิด ข้ามิอาจผิดสัญญานั้นได้”
“โอ้ ว่าไปแล้ว โบสถ์แห่งจุดสูงสุดในยามนี้ควรจะอยู่ในสถานะตื่นตระหนกแล้ว พวกเขาน่าจะกำลังหนีอย่างหวาดกลัวอยู่ ถ้าพวกเขารู้ว่าพวกเขากำลังเผชิญหน้ากับสิ่งใดอยู่น่ะนะ”
“ทว่าพวกเขาผู้มีความเชื่อมั่นในความเชื่อของตนนั้นขาดปัญญาและจักเป็นเพียงผู้ไร้ความสามารถและมีโทสะเท่านั้น พวกเขาจักใคร่กำจัดภัยใหญ่หลวงนี้ด้วยความกลัว และไม่นานพวกเขาก็คงไล่ตามวินเซนต์มาถึงร้านหนังสือแน่”
—
ในความเป็นจริงแล้ว โบสถ์แห่งจุดสูงสุดในตอนนี้ไม่ได้อยู่แค่ในสถานะหวาดกลัว พวกเขากลัวจนปัญญาบินหายไปหมดแล้ว
ทั้งหมดเกิดขึ้นในคืนเดียว…ไม่สิ แค่ครึ่งคืนเท่านั้น วิหารหลักของทั้งสังฆมณฑลถูกถล่มลงพื้น และอัครสาวกสองคนก็กลายร่างเป็นดอกไม้ไฟ หนึ่งในนั้นคือหัวหน้าสำนักงานสอบสวนและเป็นหนึ่งในสองผู้แข็งแกร่งที่สุดของโบสถ์ด้วย
แม้ว่าพวกเขาจะอยากหยุดไม่ให้ข่าวแพร่ไปแค่ไหน แต่มันก็เป็นไปไม่ได้ เพราะเหตุนี้กินระยะกว้างเหลือเกิน…มีแค่คนธรรมดาเท่านั้นแหละที่จะถูกหลอกได้ด้วยเหตุผลโง่ ๆ อย่างแก๊สระเบิด
ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติและองค์กรทั้งหมดต่างได้รับข่าวกันหมดแล้ว
ผู้คนที่ไม่รู้อะไรมากคงคิดว่าดวงจันทร์ได้ระบายโทสะลงมาแล้วลงทัณฑ์สวรรค์ใส่พวกเขา
พวกที่คิดว่าตัวเองรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นคิดว่าเรื่องทั้งหมดนี้เกิดจากผู้ทุศีลที่ได้รับพลังเกี่ยวกับกฎเกณฑ์
ส่วนผู้ที่รู้เรื่องจริง ๆ นั้น… นี่เป็นทัณฑ์สวรรค์และโทสะแห่งเบื้องบนจริง ๆ แต่เป็นดวงอาทิตย์ที่ส่งมันลงมาแล้วใช้ดวงจันทร์เป็นเครื่องบังหน้า
โบสถ์แห่งจุดสูงสุดออกประกาศจับสูงสุดออกมาทันที
สังคมผู้มีพลังเหนือธรรมชาติทั่วนอร์ซินลุกฮือทันที แม้ว่าขุมอำนาจใหญ่ต่าง ๆ อาจเลือกเฝ้าดูสถานการณ์ก็ตาม แต่ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติไร้สังกัดได้เริ่มเคลื่อนไหวแล้ว…
เพราะถึงอย่างไร ต่อให้พวกเขานำแค่เบาะแสไปบอกได้ พวกเขาก็จะได้รับรางวัลอย่างงาม
ในรุ่งเช้าธรรมดาของวันเดียวกัน ในขณะที่เหล่าคนธรรมดากำลังคุยกันเรื่องแก๊สระเบิดเมื่อคืนก่อนนั้นเอง เกลียวคลื่นต่าง ๆ ได้สั่นกระเพื่อมอยู่ในโลกของผู้มีพลังเหนือธรรมชาติแล้ว
ทว่าวินเซนต์ผู้เป็นจุดสนใจของทั่วนอร์ซินนั้นอยู่ที่ใจกลางการระเบิดตลอดทั้งคืน ในวันที่สอง เขาซ่อนออร่าของตัวเองแล้วเริ่มหนี
เปลวเพลิงเหล่านั้นมีผลต่อพลังศักดิ์สิทธิ์ของดวงจันทร์
เหล่าสมาชิกของโบสถ์แห่งจุดสูงสุดไม่กล้าเข้าใกล้มันเลย และคงไม่มีใครจินตนาการด้วยว่าวินเซนต์จะยังอยู่ที่ศูนย์กลางการระเบิดตลอดทั้งคืน
และด้วยเหตุนี้ วินเซนต์จึงรอดไปจากช่วงเวลาที่อันตรายที่สุดโดยการซ่อนในความมืด
กลับมายังปัจจุบัน วินเซนต์มองขึ้นไป สายตาของเขาหยุดลงที่หน้าต่างร้านหนังสือ
เขาสูดหายใจลึก ๆ แล้วผลักประตูเข้าไปในร้าน