เจ้าของร้านพิศวง - บทที่ 154 วินเซนต์รู้สึกจนปัญญา
บทที่ 154 : วินเซนต์รู้สึกจนปัญญา
ในตอนนี้ วินเซนต์มีรูปลักษณ์ที่ออกจะน่าสังเวชไปสักหน่อย ชุดบาทหลวงของเขาถูกเผาไหม้ไปหมดแล้วจากการเผชิญหน้ากับอัครสาวกเดือนเสี้ยวข้างแรมบัค ดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนมาใส่ชุดคลุมมีฮู้ดสีดำแทน
แน่นอนว่ามันย่อมเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับชุดบาทหลวงธรรมดาเหล่านั้น มันคงแปลกจริง ๆ หากชุดเหล่านั้นรอดมาได้จากการระเบิดของบุคคลระดับภัยพิบัติ
ส่วนชุดที่เขาสวมอยู่ตอนนี้นั้น…ต้องขอบคุณบัคที่ตอนนี้กลายเป็นเถ้าธุลีไปแล้วนั่นแหละ
ชุดดำที่อัครสาวกเดือนเสี้ยวข้างแรมสวมนั้นเป็นวัตถุเหนือธรรมชาติคุณภาพสูงที่ถูกเวทมนตร์เสริมพลังมามากกว่าสามสิบรอบ และวิชาในระดับภัยพิบัติมากมายที่มองไม่เห็นด้วยตามนุษย์ถูกใช้งานอยู่ในทุกมุมของผ้าคลุมตัวนี้อยู่ตลอดเวลา
วัตถุดิบของเสื้อคลุมตัวนี้เองก็ค่อนข้างพิเศษ และมีความสามารถด้านป้องกันที่น่าตื่นตะลึงซึ่งทำให้มันรอดมาได้อย่างไร้รอยขีดข่วนจากการระเบิดของบุคคลระดับภัยพิบัติได้
โชคร้ายที่บัคถูกวินเซนต์ระเบิดออกจากภายในในครั้งนั้น และชุดนี้ก็ไม่สามารถปกป้องเขาไว้ได้
มันคือชุดดำที่ฉีกออกมาจากร่างของบัคนี่เองที่ทำให้วินเซนต์หนีจากการตามล่าของโบสถ์แห่งจุดสูงสุดและเหล่าผู้มีพลังเหนือธรรมชาติมาได้ในตอนที่เขาอยู่ในสภาพที่อ่อนแอที่สุด
หลังจากใช้เวลาเกือบทั้งวันในการหลบซ่อนและปรับตัวแล้ว วินเซนต์ก็พอจะเข้าใจร่างกายใหม่ที่ถูก ‘แก่นแห่งดวงตะวัน’ ปรับเปลี่ยนมาและพลังใหม่ของเขาด้วย
‘แก่นแห่งดวงตะวัน’ ก็คือวัตถุขนาดจิ๋วที่ดูเหมือนดวงจันทร์ที่เขาได้รับมาจากเด็กสาวในความฝันของเขา หลังจากเปลี่ยนสภาพร่างกายอย่างสมบูรณ์แล้ว เขาก็ได้รับความรู้อันไร้ขอบเขตที่มันบรรจุไว้และเข้าใจการเปลี่ยนแปลงภายในร่างกายของเขา
อย่างแรกคือหนังสือเล่มนั้น คัมภีร์ตะวันได้กลายเป็นหนึ่งเดียวกับเขาไปแล้ว อักษรที่หลุดออกมาจากหน้าหนังสือนั้นคือพลังของดวงอาทิตย์
ในตอนนี้ เขายังควบคุมพลังเหล่านี้อย่างสมบูรณ์ไม่ได้ และตอนนี้เขาก็ใช้ได้เพียงสามอย่างเท่านั้น
อย่างแรกคือ ‘คำสรรเสริญแห่งดวงตะวัน’ นี่คือความสามารถที่เขาใช้มาตั้งแต่แรก ที่จริงแล้วเขาได้รับพลังนี้มาตั้งแต่ที่เขาได้รับคัมภีร์ตะวัน และนี่คือสิ่งที่ทำให้ไฮมานกลายเป็นตอตะโกไปในระหว่างลอบสังหารเขาอย่างไม่รู้ตัว
ในตอนที่วินเซนต์ถูกล้อมและหาทางหนีไม่ได้ เขาได้ใช้คัมภีร์ตะวันและความสามารถนี้อย่างเต็มที่ ในตอนนั้นเขาได้รับพลังงานที่ดวงจันทร์ประสาทให้กับเขาในรูปลักษณ์ของลูกบอลเพลิงยักษ์ที่สังหารวาเนสซา
อย่างที่สองคือ ‘ครอบงำฐานันดร’ นี่คือเหตุผลเบื้องหลังการกดข่มโดยธรรมชาติต่อพลังศักดิ์สิทธิ์ของดวงจันทร์ เนื่องมาจากพลังส่วนใหญ่ของดวงจันทร์นั้นมาจากดวงอาทิตย์ มันรุนแรงเป็นพิเศษในเมื่อเทพจอมปลอมที่โบสถ์แห่งจุดสูงสุดนับถือนั้นไม่ได้มีรากฐานของตัวมันเอง และพลังที่มันขโมยมาทั้งหมดนั้นก็เป็นราวกับถังใส่น้ำมันที่รอวันจุดไฟ
บัคตายไปเนื่องจากความสามารถนี้ การตายของวาเนสซาส่วนใหญ่แล้วก็เป็นผลมาจาก ‘ครอบงำฐานันดร’ ด้วยเช่นกัน
อย่างที่สามคือ ‘ร่างเพลิงมฤตยู’ หลังจากได้รับ ‘แก่นแห่งดวงตะวัน’ มา วินเซนต์ก็ไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไปแล้ว
หัวใจของเขาถูกแทนที่โดยแก่นแห่งดวงตะวัน ร่างกายของเขาในตอนนี้ราวกับเป็นดวงอาทิตย์ เป็นการรวมตัวกันของลาวาที่เดือดปุด หมอกที่ร้อนจัด เปลวสุริยะและจุดมืดแห่งดวงอาทิตย์ ในขณะที่อวัยวะภายในของเขาคือทองคำแข็งที่ร้อนระอุ
อวัยวะภายในอื่น ๆ ของเขาไม่มีอยู่อีกต่อไปแล้ว หรือก็คือมันถูกแทนที่ไปแล้ว
การใช้ความสามารถนี้ก็จะทำให้เขาดูเหมือนดวงอาทิตย์รูปร่างคนหรือเปลวเพลิงมีชีวิต
แต่แน่นอนว่าภายใต้สถานการณ์ทั่วไป วินเซนต์ก็ยังคงรูปลักษณ์คนธรรมดาของเขาไว้ได้อยู่
แต่เดิมแล้ว คัมภีร์ตะวันที่เจ้าของร้านหนังสือให้เขามานั้นไม่ได้แข็งแกร่งขนาดนั้น แต่หลังจากได้รับแก่นแห่งดวงตะวันมา มันก็เหมือนกับเชื้อเพลิงที่เติมเข้าไปในกองไฟที่ตอนนี้ลุกไหม้อย่างไร้การควบคุม
แก่นแห่งดวงตะวันเพียงอย่างเดียวนั้นก็ดันเขาขึ้นไปอยู่ในระดับสัตว์ประหลาดในทันทีได้แล้ว
ระดับสัตว์ประหลาดนั้นไม่สามารถดูแคลนได้ จากการจำแนกประเภท APDS ของสมาคมแห่งสัจธรรมแล้ว ระดับสัตว์ประหลาดนั้นหมายถึงระดับของผู้มีพลังเหนือธรรมชาติที่สามารถก่อให้เกิดความแตกตื่นของกลุ่มคนเป็นวงกว้างได้
การนิยามอย่างกว้าง ๆ นี้รวมไปถึงคนอย่างจี้จือซู่ ผู้นำองค์กรนักล่าคนใหม่รวมไปถึงอัครสาวกที่เหลืออีกห้าคนในโบสถ์แห่งจุดสูงสุดด้วย พวกเขาเหล่านี้ต่างเป็นผู้ที่คนต่างรู้จักดีและเหนือชั้นกว่าผู้มีพลังเหนือธรรมชาติส่วนใหญ่ไปไกลโขแล้ว
ทว่าภายใต้สถานการณ์ส่วนใหญ่แล้ว มันไม่ยากสำหรับวินเซนต์เลยที่จะเข้าถึงระดับล่างของระดับภัยพิบัติหากเขาใช้ความสามารถนี้
แค่ว่านี่อาจจะทำให้เขาเข้าสู่สภาวะอ่อนแอเป็นการชั่วคราว
ยิ่งกว่านั้น มันคงไม่ทำให้เขาสามารถฟื้นตัวได้ในเวลาแค่วันเดียวเช่นนี้หรอก ในเหตุหน้าสิ่วหน้าขวานก่อนหน้านี้ เขาได้ใช้ ‘แก่นแห่งดวงตะวัน’ ในการเติมพลังให้กับตัวเขาเอง ทำให้มันหดตัวลงไปนิดหน่อย หากเรื่องอย่างคนทั่วไปแล้ว นี่เหมือนการลดอายุขัยของตนเองเพื่อแลกกับการระเบิดพลังออกมาชั่วคราว
แต่มันไม่พอหรอก!
เราทำได้แค่ปัดป้องการโจมตีของคนระดับภัยพิบัติไปได้แค่คนเดียว แต่โบสถ์ยังมีสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งด้านสว่างและด้านมืด รวมถึงพระสังฆราชในระดับเหนือนภาอย่างร็อดนีย์อยู่!
พวกเขาแค่ถอยไปเพราะความกลัวในตอนนี้เท่านั้น ถ้าพวกเขาตั้งหลักได้แล้วตระหนักว่าเราไม่ได้แข็งแกร่งอย่างที่เราดูจะเป็นล่ะก็…พวกเขาจะพยายามฆ่าเราทุกวิถีทางแน่ ๆ!
พลังของเราแค่คนเดียวนั้นห่างไกลคำว่าเพียงพอมาก!
หลังจากทบทวนอยู่คืนหนึ่ง โทสะอันพลุ่งพล่านของเขาก็เย็นตัวลง แล้ววินเซนต์ก็สงบลงมากกว่าเมื่อก่อนมาก
เขารู้ดีมากว่าความได้เปรียบในตอนนี้ของเขานั้นเป็นเพียงภาพลวงตาชั่วประเดี๋ยว
โชคดีที่สุดท้ายแล้ววินเซนต์ก็มาถึงร้านหนังสือจนได้
หลังจากที่ก้าวเข้ามาแล้วได้ยินคำพูด ‘ยินดีต้อนรับ’ ของเจ้าของร้านหนังสือ วินเซนต์ก็อดผ่อนลมหายใจโล่งอกไม่ได้ ทุกเส้นประสาทที่หลุดลุ่ยของเขา (แม้ว่าเขาจะไม่เหลือเส้นประสาทแล้วก็ตาม) ผ่อนคลายลงทันที แล้วชายหนุ่มก็รู้สึกคลื่นแห่งความอ่อนแรงที่กวาดไปทั่วร่างของเขา
แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าความรู้สึกปลอดภัยนี้มาจากไหนก็ตาม แต่แค่คิดถึงรอยยิ้มที่อบอุ่นและเมตตาของเจ้าของร้านหนังสือก็ทำให้ตัวเขารู้สึกสบายใจได้แล้ว แม้ว่าจะถูกศัตรูล้อมอยู่ทุกทิศทุกทางก็ตาม
เขามาที่นี่ครั้งสุดท้ายก็เพิ่งผ่านไปไม่กี่วัน แต่มันดูเหมือนผ่านไปชั่วชีวิตหนึ่ง
วินเซนต์ดึงฮู้ดของเขาลงแล้ว ‘มอง’ มา
ดวงตาของเขาระเหิดไปแล้วในตอนที่เขาได้รับแก่นแห่งดวงตะวัน และตอนนี้ตัวเขาก็มีเพียงแสงและความร้อน การลืมตาของเขาจะทำให้เกิดแสงระเบิดออกมาจากตา ดังนั้นเขาจึงหลับตาไว้แล้วสวมผ้าปิดตากลับไป
เหมือนทุกครั้ง เจ้าของร้านหนังสือยังคงนั่งอยู่ที่เคาน์เตอร์แล้วพลิกหน้าหนังสืออ่าน คำว่า ‘ยินดีต้อนรับ’ นั้นเป็นเพียงปฏิกิริยาตอบสนองล้วน ๆ และตอนนี้เขาก็ปิดหนังสือแล้วมองขึ้นมา
เมื่อเขาเห็นวินเซนต์ หลินเจี๋ยก็ขมวดคิ้วแล้วนั่งตัวตรง “ยินดีต้อนรับกลับครับคุณพ่อ…คุณดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่นะครับ”
หลินเจี๋ยเลือกใช้คำอย่างระมัดระวัง วินเซนต์ดูสภาพไม่ค่อยดีเท่าไหร่และกระทั่งโทรมเล็กน้อย ยิ่งกว่านั้นเขายังดูเกร็งมากและแผ่บรรยากาศแน่วแน่ราวกับมีเปลวเพลิงถูกจุดขึ้นในตัวเขา
จากประสบการณ์ของหลินเจี๋ยแล้ว มีเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้ใครสักคนเปลี่ยนแปลงได้ขนาดนี้
นั่นคือความแค้น!
ยิ่งกว่านั้น วินเซนต์เพิ่งจะจากไปไม่กี่วัน แล้วชุดบาทหลวงของเขาก็หายไปแล้วในตอนที่เขากลับมา
แค่การที่โบสถ์ใช้สารที่ให้ผลร้ายยังไม่เพียงพอที่จะทำให้บาทหลวงที่เลื่อมใสอยู่หลายปีหันหลังให้ความเชื่อของเขาได้หรอก เห็นได้ชัดว่าเขาอาจจะได้เผชิญกับอะไรที่ร้ายกาจกว่านั้นมา
ก่อนหน้านี้หลินเจี๋ยได้แนะนำให้วินเซนต์ซ่อนความจริงแล้วรายงานสถานการณ์ของตัวเองไปก่อนเพื่อลองเชิง พูดทางทฤษฎีแล้ว นี่มีความเสี่ยงต่ำที่สุด แต่มันไม่ถึงกับเป็นไปไม่ได้สำหรับวินเซนต์ที่จะเผชิญปัญหาในระหว่างนี้
และบางทีมันก็อาจจะเกิดขึ้นจริง โบสถ์อาจจะจับได้และพยายามควบคุมเขา หรือบางทีอาจจะทำอะไรที่วิปริตยิ่งกว่านั้นที่ทำให้เขาเกิดความแค้นอย่างลึกล้ำขึ้นมา
ซึ่งนั่นทำให้สุดท้ายเขาก็ทรยศต่อโบสถ์แล้วหนีมายังร้านหนังสือ
หลินเจี๋ยวางหนังสือของเขาลง พับแขนแล้วคาดเดา “คุณออกมาแล้ว…โบสถ์แห่งจุดสูงสุดทำอะไรกับคุณและคนรอบ ๆ ตัวคุณหรือเปล่าครับ?”
มูเอนถือวิสาสะรินชาสองถ้วยแล้ววางไว้บนเคาน์เตอร์
“ผมขออภัยที่ใช้เวลาค่อนข้างนานครับ” วินเซนต์หน้าเบ้ ปิดประตูก่อนที่จะเข้าไปหาที่นั่ง
เขาอดไม่ได้ที่จะแอบเหลือบมองมูเอน ในตอนนี้ที่พวกเขาได้อยู่ในระยะใกล้ขนาดนี้ ก็ยิ่งแน่ใจเข้าไปใหญ่ว่านี่คือเด็กสาวที่ปรากฏในความฝันของเขา และมีความรู้สึกคุ้นเคยระหว่างพวกเขา
ราวกับเป็น…สมาชิกคนหนึ่งของครอบครัวที่เขาสามารถเชื่อใจได้อย่างเต็มที่
สำหรับวินเซนต์ที่เพิ่งเสียคนใกล้ชิดไป นี่เหมือนกับการพบโอเอซิสกลางทะเลทราย และนี่ทำให้หัวใจที่เปี่ยมความแค้นของเขาถูกปลอบประโลมได้บ้าง
หากเป็นเช่นนั้น งั้นเธอก็คงเป็นดวงจันทร์ที่แท้จริง…
ในตอนนี้ มูเอนเองก็ได้สบกับสายตาของวินเซนต์ที่อยู่เบื้องหลังผ้าสีดำ แล้วเธอก็พยักหน้าให้ ซึ่งมองได้ว่าเป็นการยืนยันอย่างเป็นทางการ
“ฟู่….” วินเซนต์หายใจออกอย่างแรง เจ้าของร้านหนังสือคงจะช่วยเธออยู่อย่างลับ ๆ และจงใจให้คอลินที่ร้านข้าง ๆ คิดว่ามีบางอย่างผิดปกติ
และนี่ก็นำไปสู่การพยายามปัดรังควานของวินเซนต์ที่ร้านหนังสือซึ่งพัฒนาไปเป็นการชี้นำทางก้าวต่อก้าวที่ทำให้เขาค้นพบธาตุแท้ของโบสถ์แห่งจุดสูงสุด
มันช่างเป็นการเคลื่อนไหวอันลึกล้ำและมองการณ์ไกลเสียจริง
แต่พูดถึงเพื่อนบ้านแล้ว…ดูเหมือนว่าร้านสื่อวีดิทัศน์จะไม่มีอยู่ที่ข้างร้านอีกต่อไป และเราก็สัมผัสถึงชีวิตใด ๆ ภายในไม่ได้เลยด้วย
จริง ๆ ด้วย ร้านหนังสือได้กำจัดชายธรรมดาคนนั้นไปแล้วหลังจากใช้ประโยชน์จากเขาเสร็จ
“โบสถ์แห่งจุดสูงสุดใช้แก่นจันทร์ศักดิ์สิทธิ์เพื่อควบคุมสมาชิกสมณเพศครับ แล้วก็…” วินเซนต์หลับตาลง “บาทหลวงเฒ่าที่เหมือนเป็นพ่อของผมและเป็นคนชำระบาปให้ผมก็ถูกพวกเขาฆ่าตาย…”
“เขาตายเพราะผม มันคงไม่จบแบบนี้ถ้าตอนนั้นผมฉลาดกว่านี้”
แต่ทว่ามันไม่มีคำว่า ‘อะไรจะเกิดขึ้นถ้า…’ อีกต่อไปแล้ว และวินเซนต์ก็ไม่กล้าคิดด้วยว่าเรื่องจะเป็นยังไง
ในตอนที่เขาไปถึงในตอนนั้น อัครสาวกเดือนเสี้ยวข้างแรมก็ตามเขามาไม่นานหลังจากนั้น เห็นได้ชัดว่าเขาตรงดิ่งมาที่วิหารแห่งกุศลกรรม หมายความว่าจุดประสงค์ของพวกเขาคือบาทหลวงเฒ่าแต่แรกแล้ว
หากวินเซนต์ไม่ได้ไปที่นั่น พวกเขาก็อาจจะใช้บาทหลวงเฒ่าเป็นตัวประกัน และผลที่ตามมาก็อาจแย่กว่านี้…
หลินเจี๋ยหน้าซีด แม้ว่าชายหนุ่มจะคาดเดาเรื่องที่แย่ที่สุดไว้แล้ว แต่เขาก็ไม่ได้จินตนาการเลยว่าโบสถ์แห่งจุดสูงสุดจะเหี้ยมโหดได้ขนาดนี้
ฆ่าคนอย่างไม่แยกแยะ ไร้ซึ่งความเคร่งครัด
แต่เมื่อคิดไปไกลกว่านั้นและรวมกับสิ่งที่เขาได้รู้มานาน ๆ ครั้งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้แล้ว หลินเจี๋ยก็เข้าใจว่าโบสถ์แห่งจุดสูงสุดนั้นเป็นศาสนาที่ใหญ่ที่สุดในนอร์ซินและสามารถพูดได้ว่าน่ากลัวกว่าบริษัทพัฒนาทรัพยากรโรลล์ในบางแง่มุม
พวกเขาผูกขาดทางความเชื่อและมีจำนวนศาสนิกชนมากมาย การฆ่าใครสักคนแล้วอ้างว่าเหยื่อเป็นผู้ทุศีลนั้นอาจจะทำให้ได้รับคำชื่นชมและเสียงเชียร์กลับมาด้วยซ้ำ
“ผมเสียใจที่ได้ยินแบบนั้นครับ” หลินเจี๋ยว่าพลางดันแก้วชาไปหา สังเกตได้ว่าวินเซนต์ดูไม่อยากพูดถึงมันเลย
เพราะถึงอย่างไร ต่างคนก็มีหนทางที่ต่างกันในการจัดการความสุขและความทุกข์
จากสีหน้าของวินเซนต์แล้ว หลินเจี๋ยบอกได้ว่าสิ่งที่วินเซนต์ต้องการในตอนนี้ไม่ใช่การปลอบใจ แต่เป็นการตรวจสอบและสนับสนุนแทน
“คุณจะทำอะไรต่อไปครับ? ผมช่วยคุณได้อย่างสุดกำลังนะ อืม…ผู้ช่วยของผมด้วย” หลินเจี๋ยพูดอย่างจริงจัง
“โบสถ์แห่งจุดสูงสุดต้องซ่อนความลับที่เกินคาดคิดยิ่งกว่านี้แน่ถ้าพวกเขาทำเรื่องแบบนี้ได้”
“พวกเขาไม่ได้หลอกลวงแค่เพียงนักบวช แต่รวมถึงศาสนิกชนผู้ภักดีทั่วนอร์ซินด้วย”
“ผู้คนมากมายต้องถูกฆ่าอย่างเงียบ ๆ และตอนนี้… เราก็อาจจะเป็นพวกเดียวที่รู้ความจริงก็ได้นะครับ”
การสังหารคนที่ทั้งชั่วร้ายและทำเมื่อไหร่ก็ได้แบบนี้…โบสถ์นี้นี่มันรังโจรชัด ๆ แค่คิดก็น่าตกใจแล้วที่พวกเขาจะมีฐานะที่ยิ่งใหญ่ในนอร์ซินมาหลายต่อหลายปีได้
มูเอนพยักหน้าและพูดอย่างเอาจริงเอาจังด้วยคำพูดที่สอดคล้องกับทั้งวัลเพอร์กิสและหลินเจี๋ย “พวกเขาเชื่อในดวงจันทร์ของปลอม สัตว์ร้ายที่ขโมยพลังและชื่อของดวงจันทร์ไปใช้ซ่อนตัวและทำเรื่องชั่วค่ะ”
“เราต้องให้ประชาชนรู้ความจริงแล้วโค่นโบสถ์แห่งจุดสูงสุดลง นี่คือความยุติธรรมค่ะ”
หลินเจี๋ยเหลือบมองมูเอนอย่างประหลาดใจ
อา…สหายที่น่ารักมูเอนได้เรียนรู้วิธีพูดอย่างคล่องแคล่วและเติมคำในช่องว่างเพื่อสร้างเป็นภาพรวมที่สมบูรณ์ของเรื่องที่เกิดขึ้นได้แล้ว เป็นนักเรียนที่มีแววจริง ๆ
หลินเจี๋ยคิดว่ามูเอนคงได้แอบอ่านหนังสือ ‘ยุคมืด: การรุ่งเรืองและการล่มสลายของอัลฟอร์ด’ ที่เขาวางไว้ในห้องทำงานเป็นประจำ
สิ่งที่เธอพูดนั้นคล้ายกับข้อความในหนังสือ และเพราะเช่นนั้นหลินเจี๋ยจึงไม่พูดสวนเธอ
“นี่คือความยุติธรรม” วินเซนต์พูดซ้ำลอดไรฟัน “ผมจะทำให้พวกมันต้องชดใช้แน่ ๆ ครับ!”
หลินเจี๋ยถอนหายใจ ความแค้นนั้นเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังจริง ๆ เมื่อไม่กี่วันก่อนเขายังเป็นบาทหลวงผู้ซื่อตรงและอ่อนโยนอยู่เลย แต่ตอนนี้เขาดูเหมือนจะเต็มไปด้วยโทสะและเพลิงแค้นไปแล้ว
“อย่าหลงในความแค้นนะครับ และอย่าให้ความโศกเศร้าครอบงำสติของคุณด้วย”
หลินเจี๋ยเอื้อมไปที่ชั้นหนังสือในขณะที่เขายังคงเทศนา “ใจเย็นลงก่อนนะครับ แล้วพยายามคิดหาหนทาง ตอนนี้ความสามารถปัจจุบันของคุณยังห่างไกลจากคำว่าเพียงพอ คุณต้องคว้าโอกาสไว้ครับ…”
วินเซนต์สูดหายใจเฮือก สงบลาวาเดือดภายในร่างที่จะปะทุออกมาอยู่แล้ว “คว้า… โอกาสเหรอครับ?”
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับ เอ้า รับนี่ไปครับ” หลินเจี๋ยพูดพลางดันหนังสือเล่มหนึ่งไปหา “คุณควรใจเย็นลงก่อนนะครับ”
ในขณะที่วินเซนต์ตะลึงไปครู่หนึ่ง หลินเจี๋ยก็ได้ผลักหนังสือไปตรงหน้าวินเซนต์แล้วพูดขึ้น “สิ่งที่คุณต้องทำก่อนคือดึงสติของตัวเองไว้แล้วหาจุดประสงค์ของคุณให้เจอครับ”
“ตอนนี้คุณมีเป้าหมายที่หนักแน่นแล้ว แต่คุณจะพบว่าตัวเองทำอะไรไม่ถูกหลังจากที่คุณล้างแค้นสำเร็จ คุณเข้าใจไหมครับ?”
“คุณต้องหาอะไรทำมากกว่านี้ เรื่องที่คุณจะสามารถพึ่งพิงมันในชีวิตในอนาคตของคุณได้”
หลินเจี๋ยทอดมองไปไกลแล้วยิ้มอย่างผู้รู้แจ้ง “เพราะถึงอย่างไร… แม้แต่ค่ำคืนที่มืดมิดที่สุดยังมีจุดจบ และดวงอาทิตย์จะเคลื่อนสู่ฟ้าครับ”
อืม สภาพจิตใจของคุณพ่อวินเซนต์ในตอนนี้คงเหมือนการติดอยู่ในหล่มที่มองไม่เห็นโดยไม่รู้ว่ามีอะไรผิดไปสินะ
ในระหว่างที่หลินเจี๋ยกำลังพูดปลอมประโลมจิตใจอยู่นั้น เขาก็คิดว่าวินเซนต์คงสิ้นหวังหมดหนทางโดยสมบูรณ์แน่ ๆ หากเขาไปแก้แค้นทั้งอย่างนี้
การแก้แค้นนั้นเป็นเรื่องหนึ่ง แต่เขาต้องไม่สูญเสียตัวเองไปในระหว่างนั้นด้วย
ดังนั้น สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือให้วินเซนต์มองไปไกลขึ้นก่อน หลินเจี๋ยเลือกที่จะใช้หนังสือ ’ดวงอาทิตย์ก็เคลื่อนขึ้น’ เขียนโดยเฮมมิ่งเวย์ในฉบับอักษรเบรลล์
การอ่านหนังสือทำให้คนปราดเปรื่องขึ้น แม้ว่าตัวเนื้อเรื่องมันจะให้ความรู้สึกหดหู่เล็กน้อยก็ตาม แต่แก่นเรื่องของมันคือความโหยหาต่ออิสรภาพ ความยุติธรรมและการเป็นตัวของตัวเอง และจิตวิญญาณที่อดทนไม่ย่อท้อ
หลินเจี๋ยเชื่อว่าวินเซนต์จะเข้าใจความหมายที่อยู่ในมันได้
วินเซนต์หยิบหนังสือขึ้นมาแล้วไล้นิ้วของเขาไปบนหน้าปกในขณะที่เขาฟังคำแนะนำของเจ้าของร้านหนังสือ ลึก ๆ แล้วเขาก็อดรู้สึกตกใจระคนสับสนไม่ได้
สายตาของเขาทอดลงมาบนชื่อหนังสือที่เป็นอักษรอันบิดเบี้ยว ทำให้เขาชะงักและความเคลือบแคลงก็คืบคลานเข้ามาในใจของเขาในเวลาอันไม่เหมาะไม่ควร
คุณอยากให้ผมใจเย็นลงจริง ๆ เหรอครับ? ไม่ใช่ว่าคุณกำลังเชียร์ให้ผมล้มโบสถ์แห่งจุดสูงสุดลงแทนหรอกเหรอ?
ทุกสิ่งที่เขาเห็นก็คือข้อความที่เขียนเป็นชื่อหนังสือ ‘ทัณฑ์นิรันดร’
วินเซนต์รู้สึกเคว้งคว้างอย่างบอกไม่ถูกแล้วเอ่ยถาม “ผมควรหา…อะไรทำเพิ่มเพื่อให้ผมสามารถพึ่งพิงมันได้เหรอครับ?”
หลินเจี๋ยจิบชา รู้สึกราวกับว่าเขาเพิ่งช่วยเหลือลูกแกะหลงทางได้
เขาพยักหน้าอย่างให้กำลังใจ “ใช่แล้วครับ คุณไม่ลองอ่านมันดูหน่อยเหรอ?”