เจ้าของร้านพิศวง - บทที่ 155 ร็อดนีย์ ไม่ใช่ว่าข้าก็เป็นเหมือนกันเหรอ
บทที่ 155 : ร็อดนีย์: ไม่ใช่ว่าข้าก็เป็นเหมือนกันเหรอ?
หลินเจี๋ยพูดให้กำลังใจ “อย่ายึดติดกับความแค้นนักนะครับ นี่เป็นเพียงอะไรที่ต้องทำให้เสร็จ แต่ไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างของคุณ ชีวิตไม่ได้มีแค่ปัจจุบันครับ มีสิ่งต่าง ๆ อีกมากมายที่รอให้ค้นพบในชีวิตมากกว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าคุณ ชีวิตของคุณจะมหัศจรรย์กว่านี้ถ้าคุณเปิดโลกของคุณให้กว้างขึ้นนะครับ…”
ชายหนุ่มชะงักถ้อยคำแล้วหัวเราะ “…แน่นอนว่าก่อนหน้านั้น เราต้องจัดการกับเจ้าพวกนั้นจากโบสถ์แห่งจุดสูงสุดและทำให้เหล่าผู้เสียชีวิตพักผ่อนอย่างสงบกันก่อนน่ะนะครับ”
วินเซนต์พยักหน้าด้วยใจที่แน่วแน่แล้ว เขาสูดหายใจลึก ๆ แล้วค่อย ๆ พลิกเปิดหนังสือ
ร่างของวินเซนต์สั่นไหวเล็กน้อยเมื่อหนังสือที่เต็มไปด้วยอักษรต้องห้ามอันลึกลับเปิดออกอย่างช้า ๆ
ในตอนนั้น ความรู้สึกไม่ชอบมาพากลพลันปะทุขึ้น และเขาก็ถูกห้อมล้อมโดยภาพหลอนที่ไม่อาจบรรยายได้อันทำให้เกิดความหวาดกลัวในทันที ความมืดปกคลุมทุกสิ่งอย่างตรงหน้าเขา ดูราวกับว่าเขาได้ตกจากเก้าอี้แล้วหล่นลงไปในห้วงอวกาศเมื่อความรู้สึกไร้น้ำหนักครอบคลุมร่างของเขา
ทัศนวิสัยของวินเซนต์หมุนคว้าง
เขาเบิกตาให้กว้างขึ้น แล้วสัมผัสของบาทหลวงคนนี้ก็ถูกโจมตีด้วยความร้อนอันมหาศาล
สีแดงลุกโชติช่วงได้แผดเผาดวงตาของเขา และเปลวเพลิงไร้ลักษณ์ขนาดมโหฬารก็ถูกอำนาจที่มองไม่เห็นกวนเสียจนราวกับมีชีวิตขึ้นมา
ที่ใจกลางเปลวเพลิงไร้ลักษณ์ที่กำลังกระจายตัวออกไปนั้นมีดวงไฟที่ล้อมรอบด้วยประกายแสงเล็ก ๆ นับไม่ถ้วนที่มีขนาดใหญ่จนบรรยายไม่ถูกอยู่!
พื้นผิวสีส้มด้าน ๆ นั้นเต็มไปด้วยจุดด่างดำดูน่าเกลียดและพายุอันรุนแรงที่พ่นเปลวเพลิงที่หมุนวนเป็นวงโค้งออกมาบนฟ้าจนดูราวกับเป็นเสาอันน่าสะพรึงกลัว
จุดสีดำเหล่านั้นขยับอย่างต่อเนื่องแต่ไม่มีรูปแบบที่ชัดเจน บางจุดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ชนเข้ากันพายุและกลืนกินซึ่งกันและกันจนกลายเป็นบ่อเพลิงขนาดยักษ์ ในขณะที่บางจุดเล็กลงเรื่อย ๆ จนในที่สุดก็กลายเป็นความว่างเปล่า
ดวงไฟทั้งดวงนั้นเต็มไปด้วยกลิ่นอายของการทำลายล้าง แก่นของมันก็ทลายลงอย่างต่อเนื่อง ไอหมอกร้อนฉ่าขยายตัว เปลวเพลิงก็ขยายตัวแลัวหดตัวกลับไปซ้ำ ๆ ราวกับมันกำลังสะกดกลั้นโทสะอันร้ายกาจแล้วกู่คำรามอย่างเงียบ ๆ ไปในจักรวาลอันเป็นนิรันดร์
นี่คือดวงอาทิตย์ที่กำลังใกล้จะถึงจุดจบ!
ช่างเงียบงันและน่าเศร้า วินเซนต์สะเทือนใจอย่างหนัก ท่ามกลางความตกตะลึงของเขา เขาถูกดึงดูดเข้าหาดวงไฟยักษ์นั้น ร่างของเขาก็ลุกเป็นไฟ ทำให้ตัวเขาดูดซับพลังจากเปลวเพลิงอย่างต่อเนื่องแล้วสร้างความเชื่อมโยงที่เกือบจะมองไม่เห็นขึ้นมา
เขาพลันตระหนักขึ้นได้ว่านี่คือจุดจบของวิถีแห่งดวงอาทิตย์ การล่มสลายของมัน การจบสิ้นของมัน…
นี่คือจุดจบของมัน!
ทว่าดวงอาทิตย์จะไม่ตายลง เมื่อดวงอาทิตย์ดวงหนึ่งกำลังจะถึงจุดจบ มันสื่อว่าดวงอาทิตย์อีกดวงกำลังจะถือกำเนิดขึ้นมาสาดส่องแสงอันไม่มีวันทำลายได้ให้แก่จักรวาล!
นี่คือ ‘ทัณฑ์นิรันดร’ เหรอ?
วินเซนต์สะท้านทั้งกายและใจ แค่ด้วยความชำนาญต่อพลังใหม่ของเขาในตอนนี้ เขาก็มีคุณสมบัติเกินพอที่จะฆ่าคนในระดับภัยพิบัติได้แล้ว อย่าว่าแต่ตอนที่เขาเชี่ยวชาญมันอย่างสมบูรณ์เลย
พูดได้ว่าหากเขาสามารถบรรลุถึงแก่นแห่งดวงตะวันและคัมภีร์ตะวันได้อย่างสมบูรณ์ล่ะก็ มันจะเทียบได้กับการจุติขึ้นสู่ระดับเหนือนภาซึ่งเป็นจุดสูงสุดของลำดับขั้นพลังเท่าที่โลกรู้จักแล้ว
ทว่าเจ้าของร้านหนังสือได้เปิดประตูให้วินเซนต์ได้เห็นโลกใหม่ทั้งใบ ซึ่งนั่นทำให้วินเซนต์ตระหนักได้ว่าเขามองโลกแคบแค่ไหนเมื่อได้เห็นเส้นทางอันกว้างใหญ่กว่าที่ถูกแสดงตรงหน้าเขา
เส้นทางนั้นจะยังคงทอดยาวไปเรื่อย ๆ ตราบใดที่ตัวเขาเองยังไม่หยุดก้าวต่อ วินเซนต์สัมผัสได้ถึงเจตจำนงอันเบาบางของดวงอาทิตย์ตรงหน้าเขาได้ แต่ดวงอาทิตย์นั้นไม่ได้มีความฉลาดและกระแสสติของมันก็เรรวนไปด้วยชิ้นส่วนความคิดที่ไม่ปะติดปะต่อ
วินเซนต์ตื่นตระหนกทันใด หากเราสามารถสร้างการเชื่อมต่อกับดวงอาทิตย์ได้จริง ๆ จะเกิดอะไรที่ต่างออกไปหรือเปล่านะ? เราจะได้เป็น…เทพแห่งดวงตะวันตัวจริงไหมนะ?
หรือว่า…หรือว่านี่คือสิ่งที่เจ้าของร้านหนังสือหมายถึงจากคำว่า ‘เราควรหาอะไรทำเพิ่มเพื่อให้เราสามารถพึ่งพิงมันได้ในชีวิตในอนาคต’?!
วินเซนต์รู้สึกว่าตัวเองในตอนนี้เข้าใจสิ่งที่เจ้าของร้านหนังสือสื่อถึงแล้ว
ในเวลาเดียวกัน ความรู้สึกกลัวอย่างลึกล้ำก็แล่นไปทั่วร่างเขา
ที่แท้ระดับเหนือนภานั้นไม่ใช่ขีดจำกัด แต่เป็นเพียงขอบเขตไกลสุดที่มนุษย์ผู้เล็กจ้อยไร้ค่าสามารถจินตนาการถึงได้ ในจักรวาลอันกว้างใหญ่นั้น ขอบเขตพลังดูจะขยายตัวอย่างไร้ที่สิ้นสุด
แล้วเจ้าของร้านหนังสือผู้นี้ที่สามารถพอจะหยิบยื่นความรู้ระดับนี้ออกมาได้อย่างสบายใจเฉิบนั้นอยู่ในระดับไหนกัน?
เป็นไปได้ไหมว่าจะเป็นหนึ่งในระดับอื่น ๆ พวกนั้น?
วินเซนต์รู้สึกว่ามีสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวบางอย่างซ่อนอยู่เบื้องหลังร่างมนุษย์ของเจ้าของร้านหนังสือ
หลินเจี๋ยเห็นใบหน้าของวินเซนต์ถมึงทึงไปเมื่อเขา ‘อ่าน’ หนังสือ
เมื่อตอนนี้วินเซนต์ดูจะใจเย็นลงแล้วเล็กน้อย หลินเจี๋ยก็กระแอมให้คอโล่งแล้วจึงพูดว่า “ผมบอกคุณให้ฉวยโอกาสเพราะว่าที่จริงแล้ว คุณไม่สามารถทำอะไรได้ด้วยพลังของตัวคุณเองหรอกครับ”
“ต่อให้ผมจะพูดเกินจริงไปหน่อย เมื่อคุณจะไปปะทะตรง ๆ กับโบสถ์แล้วเริ่มต่อสู้กลับก็ตาม บางทีคุณอาจเอาชนะพวกเขาได้สิบคน แต่ก็แค่สิบคนเท่านั้นครับ โบสถ์แห่งจุดสูงสุดนั้นมีทั้งนักบวชและสาวกนับไม่ถ้วนเลย”
“ยิ่งกว่านั้นมันก็อันตรายเกินไปครับ การแลกชีวิตอันมีค่าของคุณกับพวกกเฬวรากสองสามคนนั้นเป็นเรื่องไม่จำเป็นเอาเสียเลย…”
วินเซนต์ผงะไป แล้วทำเพียงนั่งฟังนิ่ง ๆ กับที่อย่างเหม่อลอย
ในตอนนี้ ความหนาวเยือกพลันทำให้วินเซนต์ดีดกลับมาสู่ความเป็นจริง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อเย็น ๆ เขาดูหวาดกลัว
เขาที่ยังเหม่อลอยพยักหน้าอย่างประหม่า “ครับ คุณพูดถูกแล้ว”
หลินเจี๋ยเหลือบมองอดีตบาทหลวงแล้วรู้ว่าเขารู้แจ้งแล้ว จึงพูดต่อ “เห็นได้ชัดว่าแนวความคิดนี้ไม่ได้ผลหรอกนะครับ แต่ไม่ใช่ว่าคุณมีไพ่ตายใบใหญ่ที่สุดที่จะเอาไปใช้กับโบสถ์แห่งจุดสูงสุดได้แล้วเหรอครับ?”
วินเซนต์ตอบกลับทันที “แก่นจันทร์ศักดิ์สิทธิ์!”
เจ้าของร้านหลินพูดถูก มันเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะล้มโบสถ์แห่งจุดสูงสุดด้วยลำพังตัวคนเดียว สิ่งที่สำคัญกว่านั้นในตอนนี้คือการเปลี่ยนสถานการณ์แล้วทำลายความเชื่อผิด ๆ ของโบสถ์แห่งจุดสูงสุดต่างหาก
โชคไม่ดี แก่นจันทร์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดที่เขามีถูกทำลายไปในการระเบิดดวงไฟยักษ์และไม่เหลืออะไรแล้ว…
เขาบอกเรื่องนี้กับหลินเจี๋ย แต่รายหลังนั้นทำเพียงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “แค่ส่วนเดียวไม่เป็นไรหรอกครับ สิ่งที่เป็นคือที่มา ส่วนผสมและหลักฐานต่างหาก”
“และกระทั่งทั้งหมดที่ว่ามานี้ก็ยังไม่สำคัญ สิ่งที่จำเป็นคือต้องให้มวลประชาเชื่อคุณต่างหากครับ”
หลินเจี๋ยพับแขนของเขาเป็นท่าถนัด “มันต้องมีช่องทางพิเศษที่พวกเขาจะไปหาวัตถุดิบสำหรับของพวกนี้มาได้”
“ถ้าอย่างนั้น หอการค้าแอชและบริษัทพัฒนาทรัพยากรโรลล์จะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับมันแน่นอนครับ ผมจะให้พวกเขาช่วยตรวจสอบ…ส่วนเรื่องเปิดเผยสู่สาธารณชนอย่างไรจะทำให้โบสถ์แห่งจุดสูงสุดสั่นคลอนได้นั้น ผมคิดว่าบาทหลวงอย่างคุณน่าจะรู้ดีกว่าผมนะครับ”
“อ๊ะ จริงด้วย พูดถึงมันแล้ว โบสถ์แห่งจุดสูงสุดต้องคิดหาวิธีปิดปากคุณอยู่แน่…พวกเขาอาจจะได้ข้อสรุปในเร็ว ๆ นี้นะครับ”
หลินเจี๋ยใช้ฝ่ามือกุมหน้าผากตัวเองแล้วต่อสายหาคล็อด “สวัสดีครับ คุณตำรวจใช่ไหมครับ? โบสถ์แห่งจุดสูงสุดกำลังจะมีปัญหานะครับ”
—
“วินเซนต์กลับไปที่ร้านหนังสือจริง ๆ ด้วย เจ้าระดับเหนือนภาที่โผล่มาจากไหนไม่รู้นั้นดูจะเป็นผู้วางแผนที่แท้จริง”
เพราะถึงอย่างไร บาทหลวงธรรมดา ๆ จะสามารถได้รับพลังที่แข็งแกร่งขนาดนั้นพร้อมทิศทางการพัฒนาตนเองในขณะที่เพิ่มพูนความเคลือบแคลงต่อแก่นจันทร์ศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไร?
“เรื่องทั้งหมดนี้ถูกเอ่ยถึงในรายงานของวาเนสซาก่อนที่นางจะตาย เจ้าของร้านหนังสือคนนี้ต้องเป็นลิ่วล้อของเทพปีศาจสักตนแน่!”
“หากสิ่งที่พวกนั้นเล็งอยู่คือการทำให้โบสถ์แห่งจุดสูงสุดสั่นคลอนและกลืนอำนาจแทนที่ล่ะก็ เรื่องคงไม่จบเท่านี้แน่!”
เขาเป็นคนในระดับเหนือนภา แล้วยังไง?
ไม่ใช่ว่าข้าก็เป็นเหมือนกันเหรอ?
พระสังฆราชร็อดนีย์หรี่ตามองยอดคทาของเขา ส่วนที่แต่เดิมหลอมละลายไปได้ปรากฏกลับขึ้นมาใหม่อีกครั้งแล้ว เพียงแค่ว่ามันดูหม่นหมองลงกว่าเก่าเล็กน้อย
เขาไม่มีทางเลือกนอกจากใช้อุปกรณ์เวทมนตร์ศักดิ์สิทธิ์ ‘เปลบุตรแห่งจันทรา’ ซึ่งคล้ายคลึงกับบุตรหลานของดวงจันทร์และรับพลังส่วนหนึ่งของมันมา
เขาทำท่าทางให้ผู้รายงานกลับไป ก่อนที่จะพึมพำเรียก “เชอร์ริล”
“ค่ะ”
หญิงงามที่สวมชุดแม่ชีสีขาวเอ่ยตอบ เธอมีออร่าที่ศักดิ์สิทธิ์และสูงส่งหาใครเทียบ แต่ในตอนนี้ เธอกำลังตั้งครรภ์และบนใบหน้าของเธอก็มีออร่าแห่งผู้เป็นมารดา
ร็อดนีย์ถาม “บัคเป็นอย่างไรบ้าง?”
เชอร์ริลลูบท้องของเธอแล้วพูดยิ้ม ๆ “กำลังไปได้สวยเลยค่ะ ดิฉันจะนำเขาออกมาจากความมืดแล้วนะคะ”
ในขณะที่เธอพูดนั้น สีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไป เธอกุมท้องของเธอไว้ในขณะที่เลือดจำนวนมากทะลักออกมาจากช่องนิ้วมือของเธอ เหงื่อเย็น ๆ ปกคลุมหน้าผากของเธอ ทว่าสีหน้าเจ็บปวดของแม่ชีสาวนั้นก็เจือปนด้วยความยินดี “ชีวิต…และความตาย…วนซ้ำ…และผู้วายชนม์…ได้รับ…อ๊า!”
เชอร์ริลร่วงลงไปกองกับพื้น ท้องที่บวมโย้ของเธอถูกมือจากด้านในฉีกกระชากออก มันเป็นมือของผู้ชายที่โตแล้วอย่างชัดเจน
จากนั้น บัคที่ได้รับการคืนชีพก็คลานออกมาจากในท้องของเชอร์ริล แล้วจากนั้นเชอร์ริลที่ถูกฉีกร่างออกเป็นสองส่วนก็หงายมือขาวซีดทั้งสองของเธอออก
มือทั้งสองยันลงไปบนพื้น ค้ำร่างที่เหลืออยู่ของเธอราวกับว่าลุกขึ้นยืนจากท้องที่ถูกฉีกนั้น ผิวของเชอร์ริลเริ่ม ‘พลิกกลับด้านตัวเอง’ จากด้านใน ก่อให้เกิดเป็นลักษณ์ของอีกหนึ่งสตรี
สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งด้านมืด แองเจลินา
เหมือนเช่นคำที่ใช้ในพิธีชำระบาป เราเป็นหนึ่งเดียวกับดวงจันทร์ เกิดภายใต้ด้านสว่าง ตายภายใต้ด้านมืด ทุกครั้งที่ดวงจันทร์เดินครบหนึ่งวัฏจักรแห่งแสงและความมืด วงจรการเกิดและตายก็จะวนซ้ำ และผู้วายชนม์ก็จะได้รับชีวิตใหม่!
บัคคุกเข่าลงตรงหน้าร็อดนีย์ด้วยดวงตาที่ฉาบด้วยความบ้าคลั่ง แล้วเขาก็ประกาศว่า “ครั้งนี้ผมจะไม่ล้มเหลวแน่นอนครับ!”