เจ้าของร้านพิศวง - บทที่ 161 ผนึกสะกดใจ
คอนกรีฟ…
ดวงตาของหลินเจี๋ยเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับรอยยิ้ม แล้วนิ้วของเขาก็เริ่มเคาะโต๊ะโดยไม่รู้ตัวขณะที่เขาจมในภวังค์ความคิด
ชายหนุ่มรู้ว่าเชอร์รี่พึ่งพาตนเองในการขึ้นถึงตำแหน่งสูงในหอการค้าแอชในช่วงไม่กี่ปีมานี้
แน่ล่ะว่ายังมีข่าวลือและบรรดาเรื่องเล่าในวงแม่บ้านว่าพ่อของเธอรักลูกนอกสมรสของเขามากกว่า หรือเรื่องที่เมียน้อยของเขาเป็นรักแท้
ในเวลาเดียวกัน ไม่ว่าใครก็จินตนาการได้ว่าการไต่เต้าของเชอร์รี่นั้นไม่ได้ราบรื่น แล้วเธอก็ยังมีพี่น้องหิวอำนาจอีกฝูงหนึ่งที่ต้องคอยกันท่าออกไปอีก
ยิ่งกว่านั้น หอการค้าแอชยังเป็นองค์กรธุรกิจที่ก่อตั้งขึ้นโดยหลายตระกูล แบ่งออกเป็นสามสาขาที่ดูแลโดยสามตระกูลที่คอยถ่วงดุลซึ่งกันและกัน
ดังนั้น หากเชอร์รี่อยากจะขยายอำนาจของเธอให้มากกว่านี้ เธอก็จะต้องเผชิญกับข้อจำกัดทั้งภายในและภายนอก
และในหมู่บุคคลภายในก็มีเจ้าหมอนี่ที่ชื่อคอนกรีฟนี่แหละที่ต่อต้านเธออย่างโจ่งแจ้งที่สุด
แน่นอนว่าคอนกรีฟมีเหตุผลและความสามารถที่จะทำเช่นนั้น ก่อนที่เชอร์รี่จะกลับไปในตระกูลแชปแมน คอนกรีฟก็เป็นคนที่มีโอกาสสูงสุดที่จะสืบทอดธุรกิจของครอบครัวและมีผู้สนับสนุนที่ภักดีจำนวนหนึ่งแล้ว
ถ้าไม่ใช่เพราะความสามารถลึกลับของเชอร์รี่และการไต่เต้าอย่างรวดเร็วของเธอ ก็คงถูกทิ้งไม่เหลือฝุ่นมาตั้งแต่แรก
กระทั่งในตอนนี้ อำนาจของคอนกรีฟก็ยังประมาทไม่ได้ แม้ว่าข้อได้เปรียบของเชอร์รี่จะมีล้นพ้น แต่เธอก็ทำได้แค่หยุดคอนกรีฟ แต่ไม่สามารถกำจัดเขาออกจากการยื้อแย่งอำนาจกันได้
เขาคือความเสี่ยงอยู่เสมอ และเชอร์รี่ก็ต้องคอยระวังการเคลื่อนไหวของเขา
และตอนนี้ การเจาะจงพูดถึงหนังสือที่เธอได้รับจากฝั่งคอนกรีฟนั้นหมายความว่าการโทรมาของเชอร์รี่นั้นไม่ได้เลื่อนลอยไร้จุดประสงค์
มันเป็นไปได้ว่าหนังสือเล่มนั้นบันทึกหรือพิสูจน์บางอย่างที่สามารถใช้ทำร้ายคอนกรีฟ หรือกระทั่งทำให้เขาเสียผู้ติดตามไปได้
ดังนั้นเชอร์รี่จึงติดต่อหาหลินเจี๋ยด้วยเรื่องนี้เป็นพิเศษ…
เธอทำเช่นนี้เพราะความเชื่อใจของเธอที่มีต่อเขา แต่ว่า…สถานะปัจจุบันของเชอร์รี่หมายความว่าเธอต้องมีคนมีความสามารถหลายคนอยู่ข้างกายเธอแล้ว แต่ไม่มีใครเลยที่ทำความเข้าใจหนังสือเล่มนี้ได้
ในขณะที่หลินเจี๋ยสามารถโอ่ว่าตนพอรู้อะไรบ้าง แต่การอ่านรหัสก็ไม่ได้อยู่ในขอบเขตความเชี่ยวชาญของเขาอยู่ดี
หลินเจี๋ยทำได้เพียงตอบอย่างอ้อม ๆ “ผมลองดูได้นะครับ แต่ผมก็ทำได้แค่ช่วยอย่างสุดความสามารถของผม ผมไม่ได้ดีเป็นพิเศษอะไรในด้านนี้เท่าไหร่”
เสียงของเชอร์รี่ร่าเริงขึ้นทันที “เยี่ยมไปเลยค่ะ! ขอบคุณม๊ากมากเลยนะคะ! ฉันจะเอาหนังสือไปที่นั่นเดี๋ยวนี้เลย!”
เฮ้ ๆ อย่าทำเหมือนกับว่าเราแก้ปัญหานี้ได้แล้วสิ นี่คุณหนูน้อยนี่ฟังที่เราพูดจบหรือเปล่าเนี่ย?
หลินเจี๋ยถอนหายใจด้วยสีหน้าบูดบึ้งบนใบหน้า มันฟังเหมือนกับเธอไม่ได้สนใจนักว่าหนังสือนี้จะเขียนอะไรไว้และแค่อยากจะมาที่นี่เฉย ๆ อย่างนั้นแหละ เฮ้อ…นิสัยเด็กจริง ๆ
แต่ในฐานะผู้ใหญ่ที่มีความรับผิดชอบ หลินเจี๋ยก็ต้องเองตัวเองไปข้องเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ดี
“เดี๋ยวนะครับ คุณได้รับหนังสือนั่นมาจากคอนกรีฟเหรอ? แล้วยังเป็นอะไรที่สำคัญกับเขาและอาจทำให้เขาเจ๊งไม่เป็นท่าด้วยเหรอครับ?” หลินเจี๋ยถาม
เชอร์รี่ตอบกลับ “ช่ายเลย…จากรายงานของแหล่งข่าวฉันนะ มันเป็นไปได้สูงมากเลยว่าหนังสือเล่มนี้จะบรรจุสิ่งที่สามารถเป็นข้อหาให้คอนกรีฟได้ และมันสำคัญกับเขากว่าพวกผู้สนับสนุนคนอื่น ๆ อีกน้า”
“อีกอย่าง มันอาจจะเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวผิดปกติของเขาในช่วงนี้ด้วย…”
“ฉันเคยเห็นว่าเนื้อหาของหนังสือนี่ถูกเขียนด้วยภาษาโบราณอย่างหนึ่ง เพราะงั้นฉันเลยคิดถึงคุณขึ้นมาเลยค่ะ”
แล้วเธอจึงพูดเสริม “เขาน่ะชอบขัดสินค้าของฉันอยู่เรื่อยเลยช่วงนี้ แล้วทำให้พวกมันหายไป แต่มันก็ถูกทำอย่างลับ ๆ จนแหล่งข่าวของฉันเก็บข้อมูลอะไรไม่ได้เลยไปช่วงหนึ่งค่ะ”
หลินเจี๋ยพึมพำ “อย่าเพิ่งลำพองใจนักนะครับ ไม่มีเหตุผลเลยถ้าเขาจะไม่เตรียมการระแวดระวังไว้ก่อน ถึงแม้ว่าสถานะของคุณจะค่อนข้างเสถียรแล้วก็ตาม แต่การที่คุณไม่สามารถจัดการกับเขาได้อย่างสมบูรณ์หมายความว่าเขายังได้รับการสนับสนุนที่เหนียวแน่นอยู่นะครับ”
“อย่าประมาทเขานัก ถ้าเขาเป็นคนโง่จริง ๆ คงไม่มีเหตุผลให้คนอื่นมาสนับสนุนเขาแน่ครับ”
เขานิ่งไปครู่หนึ่งแล้วเลิกคิ้ว “จากน้ำเสียงของคุณแล้ว ผมเดาว่าคุณได้รับหนังสือนั้นมาโดยไม่ลำบากอะไรเท่าไหร่ใช่ไหมครับ?”
เชอร์รี่หันไปมองมันอีกครั้งแล้วตระหนักทันทีว่าหลินเจี๋ยกำลังเตือนเธอกลาย ๆ ว่าหนังสือเล่มนี้อาจจะเป็นกับดัก
จริงด้วย…เบลล่าแค่รายงานการกระทำที่ผิดปกติของคอนกรีฟ และแหล่งข่าวของเธอก็ได้หนังสือเล่มนี้มาแค่ไม่กี่วันจากนั้น ความเร็วของการดำเนินเรื่องทั้งหมดนี้เร็วไปหน่อย
ภายใต้สถานการณ์อื่น เธอคงสงสัยแล้วแน่ ๆ ว่านี่เป็นการจัดฉากหรือเปล่า?
แต่ความดูแคลนของเธอต่อคอนกรีฟนั้นลึกล้ำเสียจนเธอไม่คิดถึงมันมากนัก
อีกสิ่งที่ต้องรู้ไว้ก็คือ ผู้ให้ข่าวของเธอเป็นบุคคลที่เชื่อถือได้มากที่สุดในฝั่งคอนกรีฟ แต่เดิมแล้วผู้ให้ข่าวคนนี้เป็นคนสนิทที่คอนกรีฟเชื่อใจ แต่ในภายหลังเขาก็ถูก ‘ผนึกสะกดใจ’ ของเชอร์รี่ล้างสมองจนกลายเป็นผู้ภักดีที่ตายยากของเธอไป
‘ผนึกสะกดใจ’ คือความสามารถที่หลินเจี๋ยมอบให้เธอเมื่อสามปีก่อน
ตราบใดที่เธอสามารถติดต่อกับผู้อื่นได้ในระดับหนึ่ง (ระดับจะขึ้นกับความแข็งแกร่งทางจิตใจของอีกฝ่าย) เชอร์รี่จะสามารถบังคับให้อีกฝ่ายมีความคิด ‘เห็นใจ’ ‘รักใคร่’ ‘อดทน’ ‘เคารพ’ ‘ภักดี’ และความคิดแง่บวกในลักษณะคล้าย ๆ กันนี้ต่อเชอร์รี่ได้
หรือบางทีมันก็ไม่จำเป็นว่าจะเป็นแง่บวกเสมอไปหรอก แต่มันจะอยู่ในแง่มุมที่เชอร์รี่จะได้ประโยชน์เสมอ
ชื่อเล่น ‘แม่มดแชปแมน’ ของเธอก็มีส่วนที่มาจากเรื่องนี้ด้วย เพราะคนส่วนใหญ่ที่มีปฏิสัมพันธ์กับเธอจะ ‘ติดเชื้อ’ ต่อ ‘เสน่ห์’ ของเธอไปอย่างไม่รู้ตัว
แหล่งข่าวผู้นี้ก็เช่นกัน ดังนั้นเชอร์รี่จึงไม่ได้เคลือบแคลงในความสามารถหรือความภักดีของเขา
เชอร์รี่ลังเล “มันก็ไม่ได้ยากนักจริง ๆ แหละค่ะ แต่ว่า…”
แต่ถ้านี่เป็นกับดักจริง มันก็หมายความว่ามีบางอย่างผิดปกติกับคนให้ข่าวของเรา
เมื่อมองจากมุมมองที่กว้างกว่าเดิมแล้ว กับดักนี้ก็ค่อนข้างชัดเจนและผู้ให้ข่าวคนนั้นก็เป็นส่วนหนึ่งของมันสมองฝั่งคอนกรีฟ ไม่มีทางเลยที่เขาจะไม่มีส่วนในแผนระดับนี้
นั่นก็หมายความว่า มีความเป็นไปได้ว่าคอนกรีฟกลับมาควบคุมเขาได้อีกครั้งและเปลี่ยนเขาให้เป็นสายลับสองหน้า
หลินเจี๋ยส่ายหน้าแล้วพูดว่า “คงจะดีกว่าถ้าเราจะหวังในสิ่งที่ดีที่สุด แต่เตรียมพร้อมสำหรับสิ่งที่แย่ที่สุดไว้นะครับ”
“คุณได้พิจารณาไว้ไหมครับว่าในเมื่อคุณไม่เข้าใจเนื้อหาของหนังสือ มันอาจจะเป็นไปได้ว่าเขาเขียนข้อมูลเท็จที่อาจใช้เล่นงานคุณได้ลงไปแทนน่ะครับ?”
สีหน้าของเชอร์รี่มืดดำลง แล้วเธอก็ขมวดคิ้ว “ถ้าหนังสือเล่มนี้สามารถล้มเขาได้อย่างหมดจดจริง ๆ แล้ว ฉันจะศึกษามันต่อ…”
ดวงตาของหลินเจี๋ยหรี่ลง แล้วเขาก็พูดขัด “งั้นมันก็อาจเป็นอันตรายต่อคุณได้นะครับ!”
เชอร์รี่รู้สึกขนลุกไปทั่วทั้งร่างของเธอ ถ้าไม่มีคุณหลินอยู่ล่ะก็ เธอคงดูแคลนคอนกรีฟจากบุคลิกนิสัยของเธอและคงทึกทักเอาว่านี่เป็นโอกาสดีที่จะกำจัดคู่แข่งของเธออย่างหมดจดแน่นอน
แล้วเธอก็คงพยายามถอดรหัสมัน และถ้าคู่ปรับของเธอฉลาดแล้วเปลี่ยนสถานการณ์โดยอ้างว่าหนังสือเล่มนี้เป็นของเธอขึ้นมา มันก็จะสร้างปัญหาหนักหน่วงให้เธอได้จริง ๆ
นั่นไม่สมเป็นระดับของคอนกรีฟเลย…
หลินเจี๋ยบอกได้จากความเงียบของเชอร์รี่ว่าเธอคงเป็นกังวลเล็กน้อยหลังจากตระหนักรู้เรื่องนี้ได้ ดังนั้นเขาจึงปลอบใจเธอ “แต่นี่ก็เป็นแค่การคาดเดาของผมนะครับ ให้ผมดูหนังสือเล่มนั้นก่อนเถอะครับ และร้านของผมก็น่าจะปลอดภัยอยู่”
อื้อ มันปลอดภัยจริง ๆ ในเมื่อตอนนี้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจที่รู้จักกันอยู่
เชอร์รี่เห็นด้วยอย่างเต็มใจ “ฉันก็ตั้งใจอย่างนั้นมาตั้งแต่แรกแล้วล่ะค่ะ แค่มองเรื่องพวกนี้ตอนนี้แล้ว คอนกรีฟอาจจะวางแผนใส่ความฉันอยู่จริง ๆ ด้วย…”
แล้วเธอก็ยิ้มเยาะ “ได้เลย ฉันจะทำให้เขาเข้าใจความหมายที่แท้จริงของความเจ็บปวดเอง”
หลินเจี๋ยขมวดคิ้ว คิดกับตนเองว่าน้ำเสียงแบบนี้ไม่ได้ประสงค์ดีเลย การใช้ชีวิตเป็นปี ๆ อย่างอู้ฟู่และประคบประหงมนั้นเปลี่ยนคุณหนูน้อยคนนี้ไปมาก และมอบด้านที่ไร้ความปรานีให้กับเธอ…
ในครั้งก่อน เขาเคยให้หนังสือ ‘การสื่อสารแบบสันติวิธี: ภาษาแห่งชีวิต’ ให้กับเชอร์รี่โดยหวังว่ามันจะทำให้เมล็ดพันธุ์แห่งความรักเมล็ดน้อยในใจของคุณหนูน้อยผู้ประสบเคราะห์ร้ายจากทางบ้านได้เติบโต และเพื่อสอนเธอว่าความรุนแรงนั้นเป็นทางเลือกสุดท้ายเสมอ
แต่เมื่อมองเรื่องในตอนนี้แล้ว ดูเหมือนว่าเชอร์รี่จะโตมาแบบออกนอกลู่นอกทางไปนิดหน่อย
เขากระแอมให้คอโล่ง แล้วตัดสินใจช่วยเชอร์รี่ให้ระลึกถึงเจตนารมณ์ดั้งเดิมของเขา
“คุณยังจำคำพูดที่ผมพูดกับคุณเมื่อครั้งก่อนได้ไหมครับ?”
เชอร์รี่พยักหน้า “แน่นอน! คุณบอกฉันให้สื่อสารกับคนอื่นโดยใช้คำพูดที่เปี่ยมด้วยรักและปัญญา ไม่ใช่ความรุนแรง…เว้นแต่ฉันไม่มีทางเลือกอื่น”
นั่นคือสิ่งที่เขาเคยพูดเมื่อสมัยก่อน ไม่ใช่ว่าคำแนะนำนี้ตรงไปตรงมามากเหรอ?
หลินเจี๋ยหัวเราะแห้ง ๆ “ดูเหมือนคุณจะจำมันได้อย่างชัดแจ๋วเลยนะครับ”