เจ้าของร้านพิศวง - บทที่ 165 ความฝันเดียวกัน
ร็อดนีย์แย้มยิ้มพลางมองนักบวช ‘โชคดี’ ทั้งเจ็ดที่ยืนอยู่รอบแท่นพิธีกลายเป็นกองเนื้อเละ ๆ ในพริบตา เลือดสาดกระเซ็นไปทุกทิศทางย้อมแท่นพิธีสีขาวจนแดงฉาน อวัยวะต่าง ๆ ที่ยังทำงานอยู่ก็ยังกระดุกกระดิกอยู่บนพื้น
ห้องภายในที่ถูกผนึกนี้เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดในพริบตา บรรยากาศของเหล่ารูปปั้นของอดีตพระสังฆราชที่รายล้อมอยู่ก็ดูจะเปลี่ยนจากเคร่งขรึมเป็นลี้ลับ
แฮ่ก…แฮ่ก…
สีหน้าหวาดกลัวและตื่นตระหนกเป็นสิ่งสุดท้ายที่อยู่บนใบหน้าของพวกเขาในขณะที่ดิ้นรน จนกระทั่งดวงตาของพวกเขาค่อย ๆ หม่นแสงลงเมื่อลมหายใจสุดท้ายออกจากร่างไป
ร็อดนีย์สาวเท้ายาว ๆ ไปที่แท่น และเฝ้ามองนักบวชคนสุดท้ายที่ยังพยายามประคองตัวให้ยืนอยู่ได้อย่างสนอกสนใจ
ส่วนผสมหลักของแก่นจันทร์ศักดิ์สิทธิ์คือชิ้นส่วนของอุปกรณ์เวทมนตร์ศักดิ์สิทธิ์ ‘เปลบุตรแห่งจันทรา’ ที่เมื่อได้รับการกระตุ้น มันจะเปลี่ยนสภาพของทั้งกายเนื้อและวิญญาณของบุคคลที่มันแฝงร่างอยู่ให้เหมาะสมแก่เป็นร่างสิงสู่ของเทพที่จะจุติลงมา
นี่คือ ‘ตัวอ่อน’
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าสายรกสีเงินที่วางอยู่เหนือแท่นที่ใจกลางห้องก็คือ ‘สายรก’
ห้องภายในทั้งห้องที่มีอักษรรูนจารึกไปทั่วนี้ เป็นแท่นพิธีในตัวมันเอง และในขณะเดียวกันมันก็เป็น ‘ครรภ์’
เมื่อ ‘ตัวอ่อน’ ‘สายรก’ และ ‘ครรภ์’ ต่างอยู่พร้อมหน้า ‘เทพเจ้า’ ก็จะจุติขึ้นจากตัวอ่อน!
ร็อดนีย์มีสีหน้าตื่นเต้นหลงใหลในยามที่เขามองภาพนี้ นี่คือเทพเจ้าที่แท้จริงที่ถูกบูชามาหลายพันปี
วันนี้เทพเจ้าจะจุติจากแดนนิมิตสู่โลกแห่งความจริงอย่างแท้จริง จะถูกเฝ้ามองและบูชาจากผู้คนโดยแท้จริงได้!
พรวด!
เส้นหนวดงอกออกมาจากอกของบาทหลวงแล้วดิ้นเร่าไปพลางยื้อยุดร่างของเขาออกจากกัน ดูพวกมันจะพยายามขยายรูที่พวกเส้นหนวดงอกออกมาให้กว้างขึ้น
อ่อก!
บาทหลวงผู้นั้นกระอักเลือดออกมาอย่างต่อเนื่อง เขาโบกไม้โบกมือสุดชีวิตราวกับพยายามคว้าบางสิ่ง เขาดิ้นรนอยู่ราว ๆ สิบห้านาที ก่อนที่สุดท้ายจะล้มตึงลงกับพื้นอย่างหมดเรี่ยวแรง
และเมื่อเขาล้มลง เส้นหนวดพวกนั้นก็ดูจะสูญสิ้นแรง จากนั้นไม่นาน พวกมันต่างอ่อนแรงแล้วร่วงลงไปกองกับพื้นเช่นกัน เมื่อมองใกล้ ๆ แล้ว เส้นหนวดลื่น ๆ ที่ชุ่มไปด้วยเลือดนั้นก็ดูเหมือนลำไส้
ความเงียบกลับมาปกคลุม นอกจากเหล่าซากศพที่นอนอยู่บนพื้นแล้ว ร็อดนีย์และสตรีศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นเพียงสองคนที่ยังมีชีวิตอยู่ในห้อง…
ในทีแรก ร็อดนีย์ยังคงจับจ้องเหล่าซากศพบนพื้นอย่างไม่วางตาด้วยสายตาโหยหาและคาดหวัง แต่ด้วยเวลาที่ผ่านไป ความตื่นเต้นบนใบหน้าของเขาก็ค่อย ๆ หายไป แล้วสุดท้ายก็แทนที่ด้วยความผิดหวังและโกรธเคือง
ทุกคนตายหมด…นั่นหมายความว่า…ไม่มีใครเลยที่สามารถทนต่อการมาถึงของดวงจันทร์ได้ พวกเขาทุกคนล้มเหลว!
โครม!
ร็อดนีย์ทุบกำปั้นของเขาลงบนโต๊ะแล้วเรียกสตรีศักดิ์สิทธิ์ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก่อนจะออกคำสั่งด้วยสีหน้าที่ไร้อารมณ์ “เชอร์ริล เรียกกลุ่มต่อไปเข้ามาเลย”
“ค่ะ” สตรีศักดิ์สิทธิ์ถอยออกไปจากห้องแล้วแย้มยิ้มอย่างเมตตาอีกครั้งในขณะที่เธอไปเรียกนักบวชอีกกลุ่มเข้ามา
“ไม่เป็นไรนะ มันไม่เป็นไรเลย…” ร็อดนีย์เดินไปที่แท่นพิธีแล้วปลอบโยนสายรกที่สั่นระริกและส่งเสียงร้องออกมาเบา ๆ เลือดและเครื่องในบนพื้นถูกแท่นพิธีสีขาวดูดซับเข้าไปจนไม่เหลือสักหยด แล้วทุกอย่างก็กลับมาสะอาดเงาวับดังเดิม
ในเมื่อมี ‘ตัวอ่อน’ อีกตั้งเยอะแยะขนาดนี้ ก็น่าจะมีคนโชคดีสักคนแหละ
“เวลาไม่คอยใคร ดูเหมือนนี่คงถึงเวลาแจกจ่ายแก่นจันทร์ศักดิ์สิทธิ์ทีละมาก ๆ แล้ว…” ร็อดนีย์พึมพำกับตนเอง
—
แอนนี ทุธเทิลเป็นแม่บ้านธรรมดา ๆ คนหนึ่ง เธอมีลูกสองคนและสามีที่เป็นคนทำขนมปัง
ในมื้ออาหารเย็น ขณะที่เธอกำลังกล่อมลูก ๆ ของเธอให้ยอมกินข้าวอยู่นั้นเอง เธอก็ได้ยินรายงานข่าวจากโทรทัศน์ ในช่วงนี้ เกิดเหตุที่โบสถ์แห่งจุดสูงสุดเมื่อบาทหลวงผู้หนึ่งทุศีลใช้ระเบิดไม่ทราบที่มาระเบิดวิหารไปสองแห่ง และทำให้เกิดผู้บาดเจ็บล้มตายอย่างน้อย 1,700 ราย รวมไปถึงคุณพ่อเทอร์เรนซ์จากวิหารแห่งกุศลกรรมด้วย
“คนในสังฆมณฑลที่ 7 น่าจะรู้จักคุณพ่อเทอร์เรนซ์ดีนะครับ เขาเป็น…คนที่เหมือนพ่อของวินเซนต์ผู้หันหลังให้กับความเมตตาและเสียความเป็นมนุษย์ของเขาไป เขาตรงดิ่งไปที่วิหารแห่งกุศลกรรมหลังจากกระทำความผิดบาปแล้วลงมือสังหาร…”
แอนนีขมวดคิ้วแล้วหยิบรีโมตขึ้นเปลี่ยนไปช่องอื่น นี่เป็นครั้งที่สามแล้วที่เธอเห็นข่าวในลักษณะนี้
“เฮ้อ…” เธอถอนหายใจ
คุณพ่อวินเซนต์เคยช่วยครอบครัวของเธอมาก่อน ในตอนที่พวกเธอย้ายเข้ามาที่นี่ พวกเธอได้ยินเสียงกุกกักออกมาจากห้องใต้หลังคาและสงสัยว่าจะเป็นฝีมือวิญญาณร้าย
แต่หลังจากเชิญคุณพ่อวินเซนต์มาตรวจดู เขาก็ค้นพบว่าสาเหตุมันเกิดจากเศษขนมปังและขนมหวานอื่น ๆ จากร้านขายขนมปังทำให้พวกหนูมาแพร่พันธุ์แล้วอาศัยอยู่ในผนังบ้าน
คุณพ่อวินเซนต์ได้ช่วยงัดเปิดผนังบ้านออกแล้วเคลียร์พื้นที่ห้องใต้หลังคาเพื่อไล่พวกหนูพวกนั้นออกไป
แม้ว่าเขาจะทำสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับงานของเขาเลยก็ตาม บาทหลวงผู้เมตตานั้นก็ทำเพียงหัวเราะแล้วบอกว่า “เขาต้องรับใช้ผู้มีศรัทธาในที่ใดก็ตามที่ดวงจันทร์ส่องสว่างถึง”
แอนนีไม่อาจลืมภาพที่บาทหลวงที่เปรอะฝุ่นทั่วใบหน้าจากการทำความสะอาดห้องใต้หลังคา หยิบยาเบื่อหนูออกมาแล้วพูดติดตลกว่านี่คือโฉมหน้าของน้ำมนต์ได้…
คนผู้เมตตาและเอาใจใส่อย่างคุณพ่อวินเซนต์จะสามารถระเบิดวิหารสองหลังและฆาตกรรมชายที่เหมือนพ่อบุญธรรมของเขาได้ลงคอได้อย่างไรกัน
เธอไม่อยากจะเชื่อว่าคุณพ่อวินเซนต์จะเป็นคนแบบนั้น แต่ความศรัทธาในโบสถ์แห่งจุดสูงสุดทำให้เธอลังเลใจ
แอนนีส่ายหน้า เธอเป็นแค่คนธรรมดาที่มีเรื่องให้ต้องกังวลในแต่ละวันมากพอแล้ว เรื่องแบบนี้มันไกลตัวเธอเกินไป และไม่มีอะไรที่เธอสามารถทำได้เลย ต่อให้เธอจะเลือกเชื่อเขาก็ตามที
“แม่จ๋า แม่จ๋า แม่ แม่…” ลูกน้อยสองคนของเธอดึงชายเสื้อเธอ อ้อนขอออกไปเล่นอีกแล้ว
“ก็ได้ ก็ได้จ้า”
แอนนีปลอบเจ้าตัวน้อยทั้งสองลงแล้วยิ้มให้สามีของเธอ ในบรรยากาศที่สงบสุขและอบอุ่นนี้ ครอบครัวทั้งสี่ก็เตรียมตัวเข้านอนอย่างเคย
…
“นี่เราอยู่ไหนกันเนี่ย?”
แอนนีมองไปรอบ ๆ อย่างตกตะลึง ถนนที่เงียบงันนั้นไร้ผู้คน ค่ำคืนมืดมิด ไกลออกไปเหมือนจะมีเสียงดังออกมาให้ได้ยินราง ๆ
ทว่าแอนนีจำได้ว่าเธอน่าจะหลับไปแล้วนี่…
งั้น…เราก็ฝันอยู่สินะ?
แอนนีเดินไปข้างหน้าอย่างเหม่อลอย สัมผัสความคุ้นเคยได้อย่างจาง ๆ เธอมองขึ้นไปแล้วเห็นป้ายชื่อของวิหารแห่งกุศลกรรม
วิหารแห่งกุศลกรรม?!
ในที่สุดเธอก็จำได้แล้ว! ไม่ใช่ว่าที่นี่คือถนนแถว ๆ วิหารแห่งกุศลกรรมที่คุณพ่อเทอร์เรนซ์พำนักเหรอ?
รายงานข่าวนั้นพูดถูกเรื่องที่ผู้คนในสังฆมณฑลที่ 7 รู้จักคุณพ่อเทอร์เรนซ์ดี คนในอายุรุ่นเดียวกับแอนนีมักจะมารักษาตัวที่วิหารแห่งกุศลกรรมเมื่อสมัยที่พวกเขายังเด็ก
ความทรงจำอันเลือนรางชัดเจนขึ้นมาในทันที ทำให้แอนนีอยากจะเคาะประตูโดยสัญชาตญาณ
แต่ก่อนที่เธอจะทันได้ขยับ ร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นที่หางตา ทำให้แอนนีถึงกับสะดุ้งโหยง!
เธอมองร่างที่โซเซมาทรุดลงที่หน้าประตูอย่างตื่นตระหนก ร่างของคนคนนั้นไหม้เกรียมและชุ่มเลือด รูโบ๋ชุ่มเลือดปรากฏบนจุดที่ดวงตาควรจะอยู่ แต่แอนนีจำใบหน้านี้ได้
คุณพ่อวินเซนต์!
แอนนีตะครุบมือปิดปากของเธอในขณะที่ดวงตาเบิกกว้างอย่างไม่อยากเชื่อ
แต่สิ่งที่เกิดตามมานั้นเปลี่ยนการรับรู้ทั้งหมดที่เธอเคยรับรู้มาก่อนโดยสิ้นเชิง…
—
วันถัดมา
แอนนีตื่นขึ้นแต่เช้าแต่ยังนอนอยู่บนเตียง เหม่อมองเพดานด้วยสายตาว่างเปล่า…
เธอไม่รู้ว่าความฝันนั่นหมายความว่าอย่างไร แต่อัครสาวกเดือนเสี้ยวข้างแรมที่ดูน่ากลัว คุณพ่อเทอร์เรนซ์ที่ล่วงลับ และคุณพ่อวินเซนต์ที่ร่ำไห้อย่างไร้เสียงท่ามกลางเปลวเพลิงนั้นต่างเป็นภาพสดใหม่ในใจเธอ
ความรู้สึกชวนหนาวสันหลังแล่นผ่านใจเธอ หรือว่า…หรือนี่จะเป็นความจริงที่แท้จริง?
“แง! แม่จ๋า ช่วยด้วย! หนูกลัว!” พวกเด็ก ๆ โยเยตื่นขึ้นพลางเล่าฝันร้ายของพวกเขาด้วยเสียงฟังไม่ได้ศัพท์
เส้นขนบนผิวหนังของเธอลุกชันในขณะที่เธอฟังลูก ๆ ของเธอบรรยาย คำพูดที่เด็ก ๆ ใช้นั้นต่างกัน แต่ในภาพรวมแล้ว พวกเขาประสบความฝันที่เหมือนกับเธอทุกประการ!
ไม่มีทางที่จะเป็นความบังเอิญไปได้เลย!
หรือนี่จะเป็นวิญญาณแค้นของคุณพ่อวินเซนต์?
แต่ทำไมคุณพ่อวินเซนต์ในความฝันถึงมีสภาพแบบนั้นล่ะ?
อะไรคือเหตุผลที่เขากระทำการทุศีลกันแน่?
วิหารอื่น…
ทุกอย่างที่เกิดในความฝันนั่นเป็นความจริงเหรอ?
แอนนีผู้ใจลอยนำลูก ๆ ของเธอไปที่ห้องนั่งเล่น แล้วเธอก็เห็นสามีของตัวเองกำลังนั่งใจลอยอยู่ที่โซฟา สีหน้าว่างเปล่าของเขาทำให้เธออดถามไม่ได้ “จอร์จ คุณก็ฝันเรื่องนั้นเหมือนกันเหรอ?”
จอร์จชะงัก แล้วสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นจริงจัง “พวกคุณก็ฝันถึงมันเหมือนกันเหรอ?”
ผู้ใหญ่ทั้งสองมองหน้ากัน ตระหนักว่ามีบางอย่างผิดปกติ แล้วสันหลังของพวกเขาก็พากันหนาวเยือก
จอร์จกลืนน้ำลายแล้วฝืนยิ้ม “อย่าเพิ่งลนลานกันก่อนนะ บางทีเราอาจต้องไปโบสถ์กัน…”
ทว่าเสียงของเขาในช่วงท้ายลากยาว ถ้าทุกอย่างในความฝันเป็นความจริง ถ้าอย่างนั้นโบสถ์แห่งจุดสูงสุดจะยังเชื่อถือได้อยู่ไหม?
กริ๊ง กริ๊ง!
โทรศัพท์ในห้องนั่งเล่นส่งเสียงร้อง แอนนีจึงเดินไปรับสาย ผู้ที่โทรมาคือเพื่อนรักของเธอ อาเธนา
เธอก็เป็นผู้ศรัทธาของโบสถ์แห่งจุดสูงสุดและเคยถูกคุณพ่อวินเซนต์ช่วยไว้ในอดีตเช่นกัน
สตรีวัยกลางคนร่างท้วมเอ่ยถามอย่างลังเล “แอนนี เธอ…พวกเธอทั้งบ้านก็ฝันแบบนั้นด้วยหรือเปล่า?”