เจ้าของร้านพิศวง - บทที่ 166 คาเฟ่หนังสือในคืนนี้
แอนนีรู้สึกตัวชาเมื่อเธอได้ยินสิ่งที่อาเธนาพูด
คำพูดที่ว่า ‘พวกเธอทั้งบ้านก็ฝันแบบนั้นด้วยหรือเปล่า’ นั้นมีความหมายแฝงอย่างน้อยก็สองอย่าง
แรกสุดคือ เธอใช้คำว่า ‘พวกเธอทั้งบ้าน’ หมายความว่าเธอไม่ได้หมายถึงแค่แอนนี แต่เป็นทั้งครอบครัวของเธอ
อย่างที่สอง ‘ฝันแบบนั้น’ หมายถึงความฝันหนึ่งที่เจาะจง ซึ่งเป็นอย่างเดียวกับที่เธอฝัน
ทั้งหมดนี้หมายความว่าอาเธนารู้ หรือมีเหตุผลบางประการที่ทำให้เธอทึกทักว่าแอนนีและครอบครัวของเธอฝันแบบเดียวกันเมื่อคืนนี้
แต่ส่วนที่น่ากลัวและเข้าใจได้ยากที่สุดก็คือ เธอรู้ได้อย่างไร?
แอนนีสาบานว่าเธอเพิ่งตื่นได้แค่ราว ๆ สิบนาที และเธอก็แน่ใจว่าในระหว่างที่เธอใจลอยอยู่ เธอก็ไม่ได้ทำอะไรที่อาจเป็นเบาะแสให้เธอรู้ได้เลย
เว้นแต่ถ้าอาเธนาแอบติดอุปกรณ์ติดตามไว้ที่นี่…แต่เธอก็ไม่ใช่คนแบบนั้น แล้วต่อให้เธอทำอย่างนั้นจริง ๆ เธอก็ไม่สามารถรู้ได้ทันทีอยู่ดี!
การคาดเดาที่น่าตลกยิ่งกว่าเด้งขึ้นมาในใจของแอนนี และเธอก็รู้สึกถึงหัวใจที่เต้นรัวเร็วของเธอได้
เธอถามด้วยเสียงสั่น ๆ “เป็นอะไรเหรออาเธนา ทำไมถึงถามล่ะ?”
อาเธนาสัมผัสบางอย่างจากน้ำเสียงของแอนนีได้ แล้วตอบกลับเธอทันทีอย่างตื่นเต้น “พวกเธอก็เห็นวิหารแห่งกุศลกรรม คุณพ่อวินเซนต์ บาทหลวงเฒ่า แล้วก็ยมทูตนั่น…แล้วก็ไฟดวงใหญ่นั่นกันด้วยใช่ไหม!”
คำพูดของเธอฟังไม่ออกเล็กน้อย และแอนนีก็ทำได้เพียงนึกภาพน้ำลายกระเซ็นสายออกมาจากปากเพื่อนรักของเธอ ทว่าในตอนนี้ เธอเป็นห่วงสิ่งที่อาเธนาเพิ่งพูดออกมามากกว่า
เธอใช้คำว่า ‘ก็ด้วย’!
เธอก็ฝันถึงเรื่องพวกนั้นเหมือนกัน มันเป็นความฝันเดียวกันเลย!
“ใช่” แอนนีสั่นสะท้านไปทั่วร่าง เธอสูดหายใจลึก ๆ พยายามสงบตัวเองลงแล้วพูดต่อ “ใช่ จอร์จกับเด็ก ๆ สองคนก็ฝันแบบเดียวกัน”
แล้วเธอก็ได้ยินอาเธนาพูดว่า “ฉันก็ฝันแบบนี้เหมือนกัน ไม่ใช่แค่ฉันนะ พอลก็ด้วย!”
พอลคือสามีของอาเธนา
แอนนีรู้สึกว่าเรื่องชักจะไปกันใหญ่แล้ว คำว่าความบังเอิญไม่สามารถนำมาบรรยายเรื่องนี้ได้อีกต่อไป หรือจะเป็นวิญญาณแค้นของคุณพ่อวินเซนต์…แต่โบสถ์ยังเสนอค่าหัวให้เขาอยู่เลย นี่หมายความว่าวินเซนต์ยังไม่ตาย
มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?!
ที่ปลายสาย อาเธนาก็สะท้อนความไม่เชื่อของเธอออกมาเหมือนกัน “คุณพระคุณเจ้า มันเกิดอะไรขึ้นกันเนี่ย?!”
แอนนีกำหูโทรศัพท์แล้วถามออกมา “ในเมื่อเธอโทรมา เธอรู้อะไรบ้างไหม?”
เมื่อประสบเหตุการณ์เช่นนี้ มันเป็นเรื่องธรรมดาหากจะเลือกติดต่อคนใกล้ชิด
แต่หลักเหตุผลทั่วไปชี้แนะว่าคำถามแรกที่ควรถามน่าจะเป็น ‘ควรทำอย่างไร’ ต่อสถานการณ์นั้นมากกว่าจะมาถามเพื่อนว่าเธอฝันแบบเดียวกันหรือเปล่า?
การถามคำถามเชิงชี้นำแบบนั้นหมายความว่าอาเธนาคงจะมีข้อมูลสำคัญบางอย่างอยู่!
อาเธนาลดเสียงของตัวเองลง แสร้งเพิ่มบรรยากาศลึกลับขึ้น “ไม่ใช่แค่เธอกับฉันหรอกนะ แต่มีอย่างน้อยก็ร้อยคนแล้วที่ฝันเรื่องเดียวกันในเวลาเดียวกันน่ะ!”
อย่างน้อยก็ร้อยคน?! ดวงตาของแอนนีหรี่เล็กลง
ตัวเลขนั้นน่าตกใจ แล้วเธอก็ถามทันที “เธอรู้ได้ยังไง?”
“เค้าบอกฉันมาว่าตอนนี้มีคนเตรียมจัดประชุมลับผู้ที่ฝันเรื่องนี้เพื่อถกเถียงกันอยู่ ฉันยังได้ยินมาด้วยนะว่าคนที่ฝันแบบนี้ทุกคนต่างเป็นคนที่คุณพ่อวินเซนต์เคยช่วยมากันทั้งนั้นเลย”
อาเธนาพูดต่อ “เธอคิดว่าสิ่งที่เราเห็นในความฝันเป็นความจริงไหม?”
“ประชุมลับเพื่อถกเถียงกันเหรอ? กี่โมง? ที่ไหน? กี่คน? พวกเขาคิดจะทำอะไร?”
“6 โมงเย็นวันนี้ที่คาเฟ่หนังสือเปิดใหม่ที่ซอย 23 ฉันได้ยินมาว่าคนที่น่าจะไปมีแค่ราว ๆ โหลนึงเห็นจะได้” อาเธนาพึมพำ “ส่วนเพื่ออะไร…ฉันจะไปรู้ได้ยังไงล่ะ…”
เธอหยุดพูดแล้วกระซิบ “แต่ฉันก็ได้ยินด้วยนะว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจเขตกลางเข้าร่วมด้วย เห็นได้ชัดว่าเขารู้ข้อมูลวงในของโบสถ์แห่งจุดสูงสุดที่เกี่ยวกับคุณพ่อวินเซนต์อยู่บ้าง”
แอนนีตระหนกทันใด “มีเจ้าหน้าที่ตำรวจเขตกลางเข้าร่วมการชุมนุมนี้ด้วยเหรอ?”
“ใช่แล้ว!” อาเธนาตอบกลับ “นั่นแหละสาเหตุที่ฉันเริ่มจะเชื่อความฝันนี้แล้ว คนดี ๆ อย่างคุณพ่อวินเซนต์จะเป็นอย่างที่ข่าวประโคมว่าเขาเป็นได้ยังไงกันล่ะ!”
แล้วเธอก็ถามขึ้น “แล้ว…พวกเธอจะไปกันไหม?”
แอนนีลังเลนิดหน่อยแล้วเหลือบมองสามีของเธอ “ขอฉันคิดดูก่อนนะ”
เธอมีความรู้สึกราง ๆ ว่าตัวเลือกนี้อาจจะสำคัญยิ่งยวด และอาจส่งผลมหาศาลต่อชีวิตของเธอได้
“ตามนั้น! คิดให้ดี ๆ แล้วบอกผลการตัดสินใจของเธอให้ฉันรู้ด้วยนะ ฉันลงชื่อไปแล้วและจะรับหน้าที่ดูแล!” อาเธนาว่า “ฉันคุ้นเคยกับซอย 23 นาน ๆ ทีก็ไปซื้อแผ่นดิสก์ที่ร้านสื่อวีดิทัศน์นั้นอยู่ ร้านหนังสือที่ดูวังเวงข้าง ๆ นั่นดูจะไม่มีลูกค้าเท่าไหร่ แต่ร้านสื่อวีดิทัศน์ดันกลายเป็นคาเฟ่หนังสือไปซะแล้ว…”
แอนนีมีความคิดมากมายในใจในขณะที่เธอฟังเพื่อนของเธอเม้ามอย
—
อันที่จริงแล้ว การประมาณของทั้งแอนนีและอาเธนานั้นผิดไปมหันต์
มีคนมากกว่าสองสามร้อยคนที่ฝันเรื่องเดียวกันเมื่อคืนนี้ วินเซนต์ได้ใช้พลังของมูเอนเพื่อขยายแดนนิมิตของเธอจนสุด เพื่อที่จะได้ครอบคลุมถึงทุกคนที่เขาเคยติดต่อด้วย
และจากการที่เขาเป็นบาทหลวงมาหลายทศวรรษ ผู้คนที่เขาช่วยเหลือไว้นั้นมีจำนวนมากกว่าสามพันคน
“ในหมู่พวกเขา คงมีประมาณพันคนที่เลือกจะเชื่อมัน พวกที่เหลือส่วนใหญ่คงเคลือบแคลง บางคนอาจเลือกจะเงียบไว้ ในขณะที่คงมีสองสามคนที่รายงานต่อโบสถ์”
วินเซนต์ประเมินสถานการณ์โดยอิงจากปฏิกิริยาของทุกคนจากในแดนนิมิต
เรื่องทั้งหมดนี้อยู่ในขอบเขตการคาดเดาของเขา ผู้คนพันกว่าคนนี้จะเป็นสาวกกลุ่มแรกของศาสนาใหม่
แต่เขาก็นำคนเป็นพันคนทันทีไม่ได้หรอก และการเลือก ‘อัครสาวก’ เพื่อเผยแพร่คำสอนก็เป็นขั้นตอนที่จำเป็น
ใช่แล้ว การประชุมลับในคาเฟ่หนังสือที่ต่อขยายมานั้นก็เพื่อคัดเลือกอัครสาวก
ในหมู่ผู้เข้าร่วมหลายโหลนี้ จะมีสิบคนที่ถูกเลือกให้เป็นอัครสาวกแห่งศาสนาของเทพเจ้าแห่งดวงตะวัน
ส่วนเจ้าหน้าที่ตำรวจเขตกลางนั้นก็มาที่นี่เพื่อแสดงจุดยืนที่เป็นมิตรของเหล่าอัศวินจากหอพิธีกรรมต้องห้าม
ความจริงที่จะถูกเปิดเผยนั้น แน่นอนว่าก็คือข้อมูลที่พวกเขารวบรวมมาที่สามารถล้มโบสถ์แห่งจุดสูงสุดได้
วินเซนต์ออกจากความฝันแล้วลืมตามองคล็อดที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขา
คล็อดเพิ่งได้รับรายงานจากลูกน้องที่ทำภารกิจนอกเครื่องแบบปะปนในหมู่คนธรรมดาอยู่ เขายื่นรายชื่อผู้เข้าร่วมและรายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับคนที่จะเข้าร่วมการชุมนุมแล้วตบบ่าวินเซนต์ “จากนี้ไปก็จะขึ้นกับการดำเนินการของคุณแล้วนะครับ”
วินเซนต์หลับตาลงสูดหายใจลึก แล้วก็พยักหน้า “ผมจะไม่ทำให้เจ้าของร้านหลินผิดหวังครับ”
—
เชอร์รี่กำลังอารมณ์ดี เธอฮัมเพลงพลางเดินไปกระโดดไปในระหว่างเดินทางไปที่ร้านหนังสือ
“วู้ฮู้!”
เท้าของเธอกระโดดข้ามหลุมบ่อบนถนน แล้วเธอก็หมุนตัวมาเร่ง “เร็วเข้าเบลล่า! ฉันรอจะพบคุณหลินอีกครั้งไม่ไหวแล้ว!”
คิ้วโก่งของเชอร์รี่และเขี้ยวที่โผล่ออกมาเล็กน้อยนั้นดูน่ารักเป็นพิเศษ ทำให้เธอดูน่ารักกว่าเดิมเป็นกอง
เบลล่าที่ตามหลังมาพร้อมด้วยกระเป๋าหนังใบโตอันประณีตส่งเสียงเรียกอย่างค่อนข้างจนใจ “นายหญิงคะ คุณหลินไม่หนีไปไหนหรอกค่ะ โปรดใจเย็นลงหน่อยเถอะนะคะ…”
เชอร์รี่ใช้มือเท้าเอวแล้วเงยหน้าขึ้น “ฉันไม่ใจเย็นลงหรอก ฉันแค่อยากให้เขารู้ว่าฉันคิดถึงเขาแค่ไหนน่ะ”
สายตาของเธอเลื่อนไปที่กระเป๋าหนัง แล้วมุมปากของเธอก็ยกขึ้น “ของขวัญของฉันจะต้องดีที่สุดและไม่มีอะไรเทียบได้ มันจะทำให้เขาสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่อัดแน่นของฉันแน่ ๆ!”