เจ้าของร้านพิศวง - บทที่ 171 หนังสือหนังมนุษย์
หลินเจี๋ยยังไม่ทันได้เห็นเนื้อหาของหนังสือ แต่หน้าของชายหนุ่มก็ซีดลงแล้ว…
หมู่บ้านที่มีประเพณีทำกลองหนังมนุษย์นั้นทำลงไปเพราะความอาลัยและให้เกียรติต่อผู้ตาย หนังที่พวกเขาใช้นั้นมาจากแผ่นหลังของคนเพิ่งตาย และกลองก็ถูกใช้เพื่อเรียกวิญญาณเหล่านี้ในพิธีกรรมพิเศษ
พวกเขาเชื่อว่าวิญญาณออกจากร่างกายทางแผ่นหลัง และเพราะเช่นนั้นหนังส่วนหลังของบุคคลจึงมีคุณสมบัติทางจิตวิญญาณที่สามารถทำงานเป็นทางผ่านให้ดวงวิญญาณไปสู่ปรโลกได้
หนังมนุษย์ทั้งหมดนี้จะถูกจัดเตรียมโดยพ่อหมอเฒ่าของหมู่บ้านโดยใช้มีดพิธีกรรม เป็นขั้นตอนการดำเนินการที่ศักดิ์สิทธิ์และเชี่ยวชาญ
ดังนั้น ในขณะที่ประเพณีนี้ฟังดูแปลก ๆ แต่ที่จริงแล้วมันก็เป็นการก่อร่างของประเพณีดั้งเดิมต่อความตายซึ่งไม่ได้ก่อให้เกิดมุมมองที่ไม่ดีจากผู้อื่นเท่าไหร่นัก…
แน่นอนว่านี่เป็นเพียงความเห็นส่วนตัวของหลินเจี๋ยเท่านั้น ชายหนุ่มวิจัยเรื่องพื้นบ้านและประเพณีต่าง ๆ มาหลายต่อหลายปี และได้ประสบกับจารีตแปลก ๆ จนตัวเองไม่ตกใจเท่าไหร่แล้ว
ทว่าสำหรับบุคคลทั่วไป แค่คิดถึงของแบบนี้ก็อาจจะทำให้ขนลุกขนพองกันได้บ้าง
ในขณะเดียวกัน หนังสือเล่มนี้แตกต่างออกไป มันมาจากคอนกรีฟ
นี่คือชายผู้ลอบทำธุรกิจกับโบสถ์แห่งจุดสูงสุดในการสร้าง ‘แก่นจันทร์ศักดิ์สิทธิ์’ เพื่อผลกำไร และสิ่งนี้ต้องไม่มีความหมายเชิงวัฒนธรรมอยู่อย่างแน่นอน
ดังนั้น เรื่องที่หนังเหล่านี้จะมาจากคนเป็นหรือคนตายก็ยังไม่แน่ชัด
จากการที่เชอร์รี่บรรยายถึงนิสัยของคอนกรีฟ หลินเจี๋ยก็คิดว่าอย่างหลังน่าจะมีความเป็นไปได้มากกว่านิดหน่อย
ความคิดที่ว่าแผ่นหนังนี้อาจจะมาจากผู้บริสุทธิ์ ทำให้หนังสือเล่มนี้ให้ความรู้สึกที่หนักอึ้งขึ้นในมือของหลินเจี๋ย
โบสถ์แห่งจุดสูงสุดที่ใช้ส่วนผสมเสพติดบางอย่างในการควบคุมประชาชนและสังหารคนเป็นผักปลาโดยใช้ ‘เทพ’ ที่ว่านั่นเป็นฉากบังหน้า และคอนกรีฟซึ่งเป็นผู้เย็บหนังสือจากหนังของมนุษย์ต่างก็เป็นผู้ก่ออาชญากรรมร้ายแรงที่อยู่เหนือความรู้ความเข้าใจของมนุษย์ทั่วไป
องค์กรชั่วร้ายที่มีจุดประสงค์เลว ๆ กับฆาตกรวิปลาสอีกหนึ่งคน…หลินเจี๋ยคิดในใจพลางพลิกเปิดหนังสือหนังมนุษย์เล่มนั้น…
เบลล่าให้คำอธิบายอย่างละเอียดตามหลังมาซึ่งยืนยันความคิดของหลินเจี๋ย “เราไม่เข้าใจข้อความในหนังสือเล่มนี้เลยค่ะ แต่หลังจากศึกษาอย่างละเอียดแล้ว เราก็พบว่าหนังสือเล่มนี้ทั้งเล่มทำมาจากผิวหนังของมนุษย์”
“หน้าปกทำจากแผ่นหลังของชายฉกรรจ์ ใช้สองชิ้นเย็บต่อกัน ส่วน ‘กระดาษ’ ทุกหน้านั้น เพื่อรักษาผิวสัมผัสที่บางและนุ่ม พวกเขาได้ใช้เด็กทารก…”
เมื่อถึงจุดนี้ เบลล่าก็ตระหนักว่าชายหนุ่มที่เคาน์เตอร์นั้นนิ่งสนิท และทั้งร้านหนังสือก็เงียบเสียจนสามารถได้ยินได้แม้แต่เสียงเข็มหมุดตก
หัวใจของเบลล่าเต้นแรงในขณะที่มองหลินเจี๋ยซึ่งจ้องหนังสือที่เปิดอยู่โดยไม่พูดสักคำ
แต่เธอไม่รู้ว่าเธอเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า? เบลล่าเห็นว่าดวงตาสีดำของเจ้าของร้านหนังสือนั้นดูจะเต็มไปด้วยเจตนาอันรุนแรง ราวกับเมฆดำที่ก่อตัวก่อนจะเกิดพายุขนาดยักษ์
“คุณหลินคะ?”
หลินเจี๋ยพยักหน้า แล้วจากนั้นก็ยิ้มน้อย ๆ “พูดต่อสิครับ”
สันหลังของเบลล่าถึงกับหนาวเยือกเมื่อเธอมองรอยยิ้มที่เหมือนปกติของหลินเจี๋ย ความคิดหนึ่งเด้งขึ้นมาในหัวของเธอ
…คุณหลินโกรธแล้ว!
แต่หลินเจี๋ยขอให้เธอพูดต่อ เบลล่าถือว่ามันเป็นคำเตือนและไม่ได้คิดคำนึงอะไรมากไปกว่านี้ เธอกระแอมให้คอโล่งแล้วอธิบายให้จบ
แต่ด้วยเหตุผลบางประการ เธอจึงลดเสียงของตัวเองลงโดยไม่รู้ตัว
สายตาของหลินเจี๋ยเบนไปมองหน้าหนังสือ
แน่ล่ะว่าเขาโกรธ!
หนังสือหนังมนุษย์เล่มนี้เกิดจากอาชญากรรมวิปริตนับไม่ถ้วน และระดับความโหดร้ายนั้นชวนให้ใจหาย…
“ฮู่…”
หลินเจี๋ยสูดลมหายใจลึก ปรับอาการของตนกลับมาในขณะที่นั่งลงอ่านเนื้อหาของหนังสือ
“หือ?”
ทันทีที่เขาเห็นข้อความแรก หลินเจี๋ยก็มองออกว่านี่เป็นอักขระแบบเดียวกับที่จารึกอยู่บนดาบศักดิ์สิทธิ์ที่ชายหนุ่มเก็บไว้ที่ชั้นบน
ในขณะเดียวกัน มันก็เป็นภาษาที่เอลฟ์ใช้กันโดยทั่วไป
นี่คือภาษาในยุคที่สองที่สาบสูญไปแล้วในลำธารอันยาวไกลในยุคมืด ไม่แปลกใจเลยที่เชอร์รี่จะหาใครมาแปลหนังสือเล่มนี้ไม่ได้เลยแม้ว่าเธอจะมีเงินถุงเงินถังก็ตาม
แน่นอนว่านั่นอาจจะเป็นได้ว่าหญิงสาวไม่สามารถให้คนรู้เรื่องหนังสือเล่มนี้มากเกินไปด้วย ถ้าเธอขยายขอบเขตให้กว้างกว่านี้ เชอร์รี่ก็อาจจะหานักภาษาศาสตร์ที่เหมาะสมได้ก็ได้
อย่างเช่นเฒ่าไวลด์เป็นต้น
แต่ว่าตอนนี้เขากำลังแทรกซึมเข้าไปใน ‘งานเลี้ยงโลหิต’ และคงไม่มีเวลาว่าง
มันก็ยังนับเป็นโชคดีที่หลินเจี๋ยได้รับความทรงจำของแคนเดลามาในแดนนิมิต แม้ว่าส่วนใหญ่จะยังขาดหาย แต่อย่างน้อยภาษาที่ใช้ก็อยู่ในความทรงจำนั้นด้วย
หลินเจี๋ยอ่านมันอย่างระมัดระวัง แล้วก็ค้นพบว่าเนื้อหาของหนังสือเล่มนี้ต่างจากสิ่งที่เขาจินตนาการไว้มาก
มันไม่ใช่มนต์ดำที่คนอื่น ๆ มักโยงมันเข้ากับหนังสือหนังมนุษย์แบบนี้
อักษรที่เขียนด้วยสีแดงเลือดนั้นเหมือนคนคนหนึ่งกำลังพูดคนเดียวมากกว่า เป็นคำถามที่ไร้คำตอบ เป็นคำตอบที่ไร้คำถาม บทพูดคนเดียว และบางทีก็มีคำสั่งง่าย ๆ เขียนอยู่ด้วย
พูดง่าย ๆ ก็คือ มันเหมือนเป็นบทสนทนากับอีกบุคคลที่ไม่ได้มีอยู่จริง
โทนคำพูดดูวางตัว แต่การใช้คำกลับดูน่าหลงใหล
ให้ความรู้สึกเหมือนกับบันทึกประจำวันของพวกต่อต้านสังคมที่มีจิตใจบิดเบี้ยว
“คอนกรีฟบ้าไปแล้วเหรอ?”
หลังจากหลินเจี๋ยอ่านเนื้อหาที่เขาเห็นออกมา เชอร์รี่กับเบลล่าก็ประสานสายตากันทันที พวกเธอพบว่ามันยากที่จะทำความเข้าใจว่าคอนกรีฟกำลังทำอะไรอยู่กันแน่
ยิ่งกว่านั้น นี่ยังไม่ใช่ ‘หลักฐานอาชญากรรมที่ใช้มัดตัวคอนกรีฟได้’ ที่พวกเธอคาดหวังด้วย และมันก็น่าผิดหวังเอาการ
เชอร์รี่พูด “แต่อย่างน้อยที่สุด เราก็รู้ได้แล้วว่าเขาดักสินค้าชุดหนึ่งไว้แล้วมอบให้กับโบสถ์แห่งจุดสูงสุด”
ในหนังสือนี้มีการอ้างอิงถึงโบสถ์แห่งจุดสูงสุดอย่างชัดเจน สถานที่นัดพบก็มีบันทึกไว้ด้วย ดังนั้นตราบใดที่มีธุรกรรมเกิดขึ้น สุภาพสตรีทั้งสองก็จะสามารถตามรอยไปเปิดโปงเรื่องชั่ว ๆ ของพวกเขาได้
ไม่สิ…ดวงตาของหลินเจี๋ยหรี่ลง คอนกรีฟไม่ได้เขียนหนังสือเล่มนี้!
เขาพลิกหน้ากระดาษแต่ต้นจนจบอีกครั้ง แล้วค่อย ๆ เรียบเรียงความคิด
โทนการใช้คำในนั้นส่วนใหญ่แล้วเป็นคำสั่งหรือคำตะล่อมล่อลวง ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีคำจำพวก ‘หอการค้าแอชนั้นไร้ค่า’ ‘ช่วยเจ้าฮุบอำนาจและกำจัดเชอร์รี่’ ‘เพื่อเหตุผลอันยิ่งใหญ่’ และอื่น ๆ ในทำนองเดียวกันอยู่
มันไม่สมเหตุสมผลอย่างชัดเจนหากคอนกรีฟเป็นบ้า บทสนทนาโต้เถียงอันยาวเหยียดนี้ดูเน้นจุดประสงค์และสมตามเหตุผลมากเกินไป
หลินเจี๋ยสงสัยทันทีว่านี่คือการรับส่งข้อความในรูปแบบหนึ่งหรือเปล่า?
หรือบางที หนังสือหนังมนุษย์เล่มนี้ก็อาจเป็นอะไรคล้าย ๆ ‘กระจกวิเศษ’ ที่คอนกรีฟพูดกับมันแล้วข้อความจะเขียนตัวเองขึ้นมาโดยอัตโนมัติบนหนังสือหนังมนุษย์?
ทุกอย่างคงสมเหตุสมผลแล้วถ้าเป็นไปตามนั้น…
ทว่าชายหนุ่มก็ยังไม่แน่ใจ แล้วการแปลเนื้อหาที่มากขนาดนี้ในเวลาสั้น ๆ ก็ทำได้ยาก และยังมีบริเวณที่เขาไม่เข้าใจนักอยู่อีกหลายที่
ทว่าการคาดเดาที่ออกจะน่ากลัวนี้ยังไม่ได้รับข้อพิสูจน์ ดังนั้นหลินเจี๋ยจึงตัดสินใจไม่พูดถึงมันเพื่อไม่ให้สุภาพสตรีทั้งสองตื่นตกใจ
“รบกวนทิ้งหนังสือหนังมนุษย์เล่มนี้ไว้กับผมก่อนนะครับ ยังมีบางอย่างที่ผมยังแปลมันออกมาไม่ได้เต็มที่ ระหว่างนี้คุณสามารถไปตรวจสอบสถานที่นัดพบของพวกเขาเพื่อหาเบาะแสก่อนได้นะครับ”
หลินเจี๋ยบอกพวกเธอเกี่ยวกับคล็อดที่อยู่ในร้านข้าง ๆ แล้วผลักดันให้พวกเธอไปขอความช่วยเหลือจากเขา
ในขณะที่เขามองเชอร์รี่กับเบลล่าจากไปอย่างอิดออดอยู่นั้นเอง หลินเจี๋ยก็วางหนังสือหนังมนุษย์ไว้ข้างตัวก่อน แล้วจากนั้นก็หันไปสนใจกระเป๋าที่ใส่หัวใจฟอสซิลนั้นไว้อีกครั้งหนึ่ง
หลินเจี๋ยจึงไม่ได้สังเกตเห็นข้อความสีแดงเลือดที่ปรากฏขึ้นในหน้าสุดท้ายของหนังสือหนังมนุษย์…
เจอ…ตัว…แล้ว!