เจ้าของร้านพิศวง - บทที่ 172 การย้อนความหลังของเบลล่า
เชอร์รี่ที่เดินออกนอกร้านหนังสือกับเบลล่านั้นยังคงเหม่อลอยอยู่นิดหน่อย
การกลับมาพบกันอีกครั้งหลังผ่านไปสามปีของพวกเธอจบลงทั้งอย่างนั้น
แม้ว่าจะดูฉุกละหุกรีบร้อนไปหน่อย แต่เธอก็ยังพอใจอย่างมาก เหตุการณ์ที่ทำให้เธอสามารถกลับมาติดต่อกับคุณเจ้าของร้านหลินได้ และถ้าเรื่องยังย่ำแย่ลงอย่างต่อเนื่อง เธอก็จะสามารถทำงานกับร้านหนังสือได้อย่างสนิทชิดเชื้อมากขึ้นได้ด้วย…
มันไม่ใช่แค่การทำงานกับหลินเจี๋ยหรือให้ของขวัญอีกฝ่ายเฉย ๆ แต่เรื่องมันอยู่ที่การสร้างความสัมพันธ์กับเหล่าบุคคลไม่ธรรมดาที่มีความเชื่อมโยงกับร้านหนังสือต่างหาก
มีเพียงทางนี้เท่านั้นที่เธอจะสามารถรักษาความสัมพันธ์กับเจ้าของร้านหลินเอาไว้ได้ เพราะผลประโยชน์ร่วมกันของพวกเธอจะเชื่อมพวกเธอไว้ด้วยกัน
ไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร มีเพียงผลประโยชน์ตลอดกาลเท่านั้น
นั่นคือสิ่งที่ประสบการณ์สามปีที่ผ่านมาพร่ำสอนเธอ
แม้ว่าเชอร์รี่จะยังมีความรู้สึกต่อหลินเจี๋ย แต่เธอก็เชื่อว่าเจ้าของร้านหลินไม่ใช่คนที่จะทิ้งลูกค้าของตัวเองไปเฉย ๆ ทว่าเธอก็รู้ดีว่าตัวเธอเป็นเพียงลูกค้าเท่านั้นในสายตาหลินเจี๋ย
เป็นลูกค้าที่หาคนอื่นมาแทนได้
ถ้าหญิงสาวเป็นแค่ลูกค้า เธอก็ยังสามารถได้รับผลประโยชน์จากคุณหลินมากเกินพอได้ แต่ว่าเชอร์รี่นั้นเป็นคนทะเยอทะยาน เธออยากได้มากกว่านั้น อย่างน้อยก็ถึงขนาดที่สักวัน เจ้าของร้านหลินจะจำได้ว่าครั้งหนึ่งเขาเคยมีลูกค้าที่ชื่อเชอร์รี่
เบลล่าอดไม่ได้ที่จะก้มลงกระซิบ “นายหญิงคะ คุณหลินมีความเป็นไปได้สูงมากว่าจะเป็น…”
เชอร์รี่ดึงสติกลับมาแล้วตอบอย่างท้อแท้ “ฉันรู้แล้วน่า เธอจะบอกว่าเขาเป็นไปได้ที่จะเป็นสิ่งมีชีวิตอายุยืนที่อยู่คนละโลกกับฉัน และความคิดเพ้อฝันของฉันอาจไม่มีวันเป็นจริงได้ใช่ไหมล่ะ?”
เบลล่าคิดไม่ถึงว่านายหญิงที่ดูงมงายของเธอในครั้งนี้จะมีเหตุมีผลขึ้นมาจริง ๆ เธอพลันรู้สึกไม่ดี “นายหญิง…”
เชอร์รี่ไม่ได้ดูจะใส่ใจเลยในขณะที่เธอเงยหน้าขึ้นมายิ้มสว่างไสวให้กับเบลล่า “คุณหลินอ่อนโยนกว่าเมื่อก่อนเยอะเลยนะ”
เบลล่าพยักหน้าเห็นด้วย แต่จากนั้นเธอก็ส่ายหน้า
“คุณหลินดูเหมือนจะดูคุยง่ายแล้วก็จริงใจกว่าเมื่อสามปีก่อนจริงค่ะ เขาไม่มีบรรยากาศกดดันชวนหายใจไม่ออกและความโดดเดี่ยวอย่างที่เขามีเมื่อก่อนแล้ว แต่ดูเหมือนตัวเขาจะน่ากลัวยิ่งกว่าเมื่อก่อนอีกนะคะ”
จนวันนี้ เบลล่าก็ยังจำการพบกันครั้งแรกกับคุณหลินได้ ในครั้งนั้นพวกเธอก็พบกันที่ร้านหนังสือที่มืดสลัวและดูซอมซ่อนี้เช่นกัน ในตอนนั้นนายหญิงผู้อ่อนเยาว์ของเธอหมกมุ่นอยู่กับหนังสือเล่มหนึ่ง ในขณะที่เจ้าของร้านหนังสือสาธยายว่าคำพูดที่ใช้อย่างถูกวิธีจะสามารถบรรลุเป้าหมายโดยไม่หลั่งเลือดได้อย่างไร
แม้ว่าจะผ่านมาหลายปีแล้ว เธอก็ไม่อาจลืมสายตาอยากรู้อยากเห็นของชายหนุ่มที่ดูเหมือนจะแบ่งแยกโลกทั้งใบอย่างเฉยเมยนั้นได้
เช่นเดียวกับเงาเบื้องหลังหลินเจี๋ยที่แย้มรอยยิ้มออกมา…
เชอร์รี่เอียงคอ “น่ากลัวกว่าเหรอ?”
ริมฝีปากของเธอแย้มรอยยิ้ม “ไม่มีทางซะล่ะ เขาเป็นคนที่อ่อนโยนมาก ๆ และเป็นคนดีอยู่เสมอเลย”
ความรักของนายหญิงบังตาเธออยู่ชัด ๆ
“เมื่อกี้นี้ คุณหลินโกรธนะคะ…”
เบลล่าทำได้เพียงพูดถึงเรื่องที่เธอสัมผัสได้ในร้านหนังสือเมื่อครู่ออกมาตรง ๆ “ดิฉันหวังว่าจะไม่มีใครไปยั่วโมโหคุณหลินในตอนนี้นะคะ”
เชอร์รี่ไพล่มือไว้ด้านหลังแล้วตอบกลับอย่างไม่ยี่หระ “จากสถานการณ์ตอนนี้ ถ้าจะมีใครไปกวนโมโหคุณหลินได้ก็คงมีแต่พวกโง่ที่คิดแต่เรื่องไม่เอาไหนเท่านั้นแหละ”
“โดยเฉพาะคอนกรีฟ เจ้าหมอนี่คิดแต่จะทำให้หอการค้าแอชล่มจม นอกจากจะแอบขัดขวางการส่งสินค้าแล้ว เขายังชักนำลูกค้าให้ทำธุรกรรมผิดกฎหมายอีก ฉันไม่รู้จริง ๆ ว่าเจ้านี่ทำเรื่องโง่ ๆ ไปมากแค่ไหนแล้ว”
เบลล่ากระซิบ “ดิฉันจะส่งคนไปที่จุดนัดพบเพื่อตรวจสอบเดี๋ยวนี้เลยค่ะ และในเมื่อเรามีคนจากหอพิธีกรรมต้องห้ามร่วมมือกับเราด้วย ตราบใดที่เราสามารถหาพยานและหลักฐานได้ เราก็จะสามารถทำให้คอนกรีฟรับกรรมจากการกระทำของตัวเองได้นะคะ”
ในตอนนั้นเอง ทั้งสองพลันชะงักเท้าแล้วมองไปไกล
ที่สุดถนนสายนั้นปรากฏชายหนุ่มผมทองตาสีฟ้าคนหนึ่ง เขาเป็นชายรูปหล่อที่มีรูปร่างหน้าตาไร้ที่ติ และรอยยิ้มที่คนอื่นเห็นเป็นต้องยิ้มตามซึ่งทำให้คนส่วนใหญ่ลดการระแวดระวังลง
ทว่ารอยยิ้มนั้นสมบูรณ์แบบเกินไป ทุกตารางนิ้วต่างถูกวัดมาอย่างดีเกินไป และสีหน้านั้นก็ดูจะถูกรักษาไว้อย่างสมบูรณ์แบบตลอดเวลา เขาดูราวกับรูปปั้นอันสมบูรณ์แบบที่อยู่ผิดที่ผิดทาง
ทว่าถึงจะเป็นเช่นนั้น แต่สุภาพสตรีทั้งสองก็ยังไม่ได้สัมผัสถึงจิตมุ่งร้ายใด ๆ จากชายหนุ่มรูปงามคนนั้น ในทางกลับกัน เขาก็ไม่ได้เบนสายตาหนี แต่ทำเพียงเหลือบมองพวกเธอเล็กน้อยก่อนที่จะเดินต่อไปด้านหน้า
เชอร์รี่กับเบลล่ายังคงตื่นตัวในขณะที่ชายหนุ่มเดินสวนกับพวกเธอไป
เขาเดินไปทางร้านหนังสือ หรือเขาจะเป็นลูกค้า?
นี่คือความคิดแรกที่แล่นเข้ามาในใจเชอร์รี่
หลังจากนั้น เมื่อเธอเหลือบมองกลับไป เธอก็สังเกตเห็นไม้กางเขนเรียวยาวสีแดงบนหลังของเขาที่แดงราวกับเลือดสด ๆ
—
สายตาของหลินเจี๋ยทอดมองไปที่ก้อนหินสีซีดทรงหัวใจ
ชายหนุ่มยืนขึ้นแล้วดึงกระเป๋าเข้าหาตัว เขาพลันรู้สึกอึดอัดใจในขณะที่เฝ้ามองฟอสซิลสีขาวที่กินพื้นที่ทั้งกระเป๋า
เขาจะเอาของชิ้นใหญ่ขนาดนี้ไปเก็บไว้ที่ไหนดี?
เคาน์เตอร์นี้สามารถใช้วางของชิ้นเล็กอย่างการ์กอยล์หินกับดอกกุหลาบได้ แต่ก้อนหินที่มีความกว้างอย่างน้อยก็ครึ่งเมตรนี้จะบังสายตาเขาไปมาก…
แล้วเขาจะดำเนินงานในร้านของตัวเองได้อย่างที่สมควรจะเป็นได้อย่างไร?
ยิ่งกว่านั้น การตกแต่งโดยรวมของร้านหนังสือของชายหนุ่มก็ไม่ได้เข้ากันอยู่แล้ว ถ้าร้านของเขาใหญ่กว่านี้สักนิด ก็อาจจะเปลี่ยนการจัดวางร้านใหม่อีกครั้ง ทำผนังเป็นชั้นโชว์เหมือนพวกร้านขายของเก่าแล้วนำฟอสซิลไปใส่ตู้กระจกตั้งโชว์ที่นั่นได้…
ปัญหาเดียวก็คือ ร้านหนังสือซอมซ่อนี้ไม่มีมาตรการกันขโมยที่ดีพอหากมีใครหมายตาสิ่งล่อตาล่อใจนี้
ก่อนหน้านี้ ฮู้ดและกลุ่มของเขายังบุกเข้ามาได้ ดังนั้นการที่จะมีหัวขโมยฟอสซิลนั้นก็ไม่ได้ดูไกลตัว
เมื่อคิดดูแล้ว หลินเจี๋ยก็ทำได้เพียงเก็บมันไว้เป็นคอลเล็กชันส่วนตัว และการนำมันมาอวดให้ลูกค้าประจำที่มีอยู่เพียงน้อยนิดก็ดูจะโง่เง่าไปหน่อย
งั้นก็เป็นคอลเล็กชันส่วนตัวไปแล้วกัน ไม่ว่ายังไง ในเมื่อตอนนี้เรามีฟอสซิลในครอบครอง มันก็มองว่าเป็นความสำเร็จได้พอสมควร หวังว่านอร์ซินจะไม่ได้มีกฎให้เราต้องมอบมันให้เขตกลางหรอกนะ
หลินเจี๋ยพยายามยกฟอสซิลนั้นออกมาจากกระเป๋า แต่ขณะที่มือของตัวเองสัมผัสกับหัวใจที่แข็งเป็นฟอสซิล อุบัติเหตุก็พลันอุบัติขึ้น
หัวใจสีขาวนั้นแตกร้าว!
เดี๋ยวสิ!
อิหยังเนี่ย?!! ฉันแค่แตะโดนมันเองนะ!
ทว่าก็ชัดเจนว่าก้อนหินก้อนนี้ไม่อาจได้ยินเสียงตะโกนในใจอย่างตกตะลึงพรึงเพริดของหลินเจี๋ยได้
เปลือกภายนอกของก้อนหินปริแตกออกดังแกร๊ก เผยให้เห็นแสงสีขาวนวล ๆ ที่เรืองออกมาจากใจกลางของมันที่เดี๋ยวพองเดี๋ยวยุบอย่างต่อเนื่อง พร้อมด้วยเสียงที่คล้ายกับเสียงหัวใจเต้นจาง ๆ
ตึกตัก!
ตึกตัก!
ชั้นหินสีซีดด้านนอกถูกกะเทาะออกชั้นแล้วชั้นเล่า เผยให้เห็นหัวใจที่ใสราวกับแก้วที่ยังคงเต้นอยู่
???
เดี๋ยวก่อนนะ นี่…มันคืนชีพเหรอ?!
หลินเจี๋ยกะพริบตาปริบ ๆ อยู่หลายครั้งในขณะที่ความรู้สึกไม่ค่อยสู้ดีกลืนกินตัวเองเข้าไป
ทุกสิ่งที่ชายหนุ่มเห็นมาจากในความทรงจำของแคนเดลานั้นอยู่ในยุคที่สอง แม้จะรู้แล้วก็ตามว่าสิ่งเหนือธรรมชาติอย่างเอลฟ์เคยมีตัวตนอยู่มาก่อน แต่ก็ไม่รู้เลยว่ายังมีสิ่งอื่นอยู่อีก
ในเมื่อหัวใจมังกรโบราณนี้ออกมาจากซากมังกรที่สมบูรณ์ มันหมายความว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากลกับซากนั้น
จะเป็นไปได้ไหมว่าไดโนเสาร์ของโลกนี้เป็นมังกรจริง ๆ?