เจ้าของร้านพิศวง - บทที่ 175 เขารู้ทุกอย่างเลย!
เมื่อชายผมทองแปลก ๆ คนนี้เดินฉับ ๆ เข้ามาในร้านหนังสือแล้วชักดาบออกมาโดยไม่พูดไม่จา สมองของหลินเจี๋ยก็ทำงานเร็วจี๋!
ประการแรกสุด เขาแน่ใจมากว่าดาบในมือของชายหนุ่มคนนั้นเป็นของจริง
รูปร่างและขนาดของดาบเล่มนี้ไม่ได้แตกต่างไปจากดาบศักดิ์สิทธิ์ที่แขวนไว้ที่ชั้นบนเท่าไหร่ แต่รูปร่างของกางเขนนั้นดูจะแหวกแนวไปหน่อย
แต่เพราะว่าหลินเจี๋ยไม่รู้ว่าไม้กางเขนมีความหมายเชิงศาสนาในศาสนาไหนของโลกนี้หรือไม่ ชายหนุ่มจึงไม่แน่ใจว่าเจ้าหมอนี่เป็นสมาชิกจากศาสนาหรือนิกายไหนหรือเปล่า?
ถ้าเป็นขึ้นมา สถานการณ์ก็อาจจะอันตรายกว่าเก่าได้เพราะอคติบางอย่าง
ประการที่สอง เจ้าหมอนี่พกอาวุธเข้ามาในร้านหนังสือ ดังนั้นหลินเจี๋ยจึงตัดเจตนาสังหารมั่ว ๆ ไป เพราะคนคนนี้ดูจะมีเจตนาที่มีวัตถุประสงค์ชัดเจนและดิ่งตรงมาที่ร้านหนังสือ
หากเป็นสถานการณ์อื่น ๆ เชอร์รี่กับเบลล่าที่ออกจากร้านหนังสือไปเมื่อครู่ก่อนก็คงเป็นเป้าหมายไปแล้ว แต่เรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้น
เมื่อคิดถึงตรงนี้ หลินเจี๋ยก็ตระหนักได้ว่าเชอร์รี่กับเบลล่านั้นรอดจากอันตรายไปได้อย่างเส้นยาแดงผ่าแปด
ยิ่งกว่านั้น คาเฟ่หนังสือร้านข้าง ๆ ในวันนี้มีลูกค้าเข้าหลายคนและค่อนข้างครึกครื้น ในเวลาปกติแล้วคงไม่มีใครมาทางนี้กันหรอก
แล้วร้านข้าง ๆ มีกระทั่งตำรวจอยู่ด้วย!
ดังนั้นนี่ก็หมายความว่าอีกฝ่ายมีจุดประสงค์และดูท่าน่าจะเป็นเจตนาแก้แค้น
แต่นี่ก็ทำให้เกิดคำถาม ทำไมถึงมีคนคิดแค้นกับเจ้าของร้านหนังสือผู้เมตตาและธรรมดาอย่างหลินเจี๋ยได้ล่ะ?
ตอนนี้เขาไม่มีคำตอบ
แต่ว่า…เรื่องที่เขาไม่มีความแค้นกับใครนี้ ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะรู้สึกแบบเดียวกันกับเขา!
แม้ว่าวินเซนต์จะมอบผลประโยชน์มาให้ร้านหนังสือ แต่ก็ชักนำปัญหามาเพิ่มด้วย ชิ้นเค้กที่เขาพยายามตัดแบ่งมานั้นเป็นผลประโยชน์สูงสุดสำหรับโบสถ์แห่งจุดสูงสุด และแผนที่เขาใช้นั้นก็เพื่อสร้างศาสนาของตัวเองขึ้นมาแทนที่โบสถ์แห่งจุดสูงสุดในท้ายที่สุด
ดังนั้นมันจึงไม่ดูเป็นเรื่องงี่เง่าถ้าโบสถ์แห่งจุดสูงสุดจะส่งใครมาตัดไฟเสียแต่ต้นลม
และถ้าพวกเขาพบจุดประสงค์การรวมตัวกันของกลุ่มคนร้านข้าง ๆ ด้วยแล้ว การใช้หลินเจี๋ยเป็นตัวอย่างก็ไม่ได้เกินคาด
ถ้าเป็นเช่นนั้น โบสถ์แห่งจุดสูงสุดก็จะเป็นองค์กรที่ทำทุกอย่างโดยไม่แยกแยะอะไรเลย!
พวกเขามีผู้ศรัทธาอยู่ฝั่งตนและไม่เกรงกลัวที่จะเผยเรื่องชั่ว ๆ ที่ตนทำ ตราบใดที่พวกเขาออกมาอธิบายสั้น ๆ พวกผู้ศรัทธาพวกนั้นก็จะเชื่อเขาเอง
และตราบใดที่พวกที่รู้เรื่องวงในถูกปิดปาก และไม่มีใครกล้าพูดออกมา การกระทำของพวกเขาไม่ว่าจะโหดร้ายทารุณแค่ไหนก็จะถือว่าคุ้มค่า
อีกความเป็นไปได้หนึ่งก็คือนี่มาจากฝั่งศัตรูของเชอร์รี่ ซึ่งก็หมายความว่าคอนกรีฟส่งคนมารับหนังสือหนังมนุษย์กลับ
หลังสือเล่มนั้นที่อาบด้วยเลือดผู้บริสุทธิ์ยังคงเป็นภาพสดใหม่ในใจของหลินเจี๋ย และโทสะที่ชายหนุ่มมีก็ไม่อาจระงับไว้ได้
ไม่จำเป็นต้องเปลืองน้ำลายเลยในเมื่อตอนนี้มีคนรี่เข้ามาพร้อมอาวุธ
หลินเจี๋ยตัดสินใจลงมือก่อนคุยทีหลัง
—
มิคาเอลเหม่อค้าง
เมื่อวินาทีก่อน เขาเพิ่งจะเหยียบเข้ามาในร้านหนังสืออย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง เตรียมจะมอบค่ำคืนที่ลืมไม่ลงให้กับเจ้าคนไร้ยางอายนี่แท้ ๆ
เขากำลังจะเปิดโปงความไร้เดียงสาของเจ้าของร้านหนังสือคนนี้ว่าไม่ใช่แค่มาถึงระดับเหนือนภาได้เท่านั้น แต่ต้องถึงจุดสูงสุดของพลังแล้วต่างหากถึงจะสามารถอ้างตนว่ารอบรู้และเชี่ยวชาญทุกด้านได้
ความแตกต่างในระดับเหนือนภานั้นอาจจะกว้างกว่าความต่างระหว่างระดับเหนือนภากับคนธรรมดาเสียอีก
ระดับเหนือนภาแต่ไร้ค่าอย่างร็อดนีย์ กับคนที่พวกเขาเลี้ยงดูมานั้น โดยพื้นฐานแล้วก็แค่ธรรมดา…
ในใจเขาเป็นเพียงปุถุชน และจะเป็นปุถุชนตลอดไป
มิคาเอลจะบอกเรื่องเหล่านี้กับหลินเจี๋ยโดยใช้การกระทำ และทำให้อีกฝ่ายได้ประสบด้วยตนเอง…
นั่นคือการดำเนินเรื่องที่มิคาเอลคิดว่าจะเป็น
แต่ทำไม…ทำไมความเป็นจริงถึงต่างออกไปหน่อยล่ะ?
แล้วในช่วงเวลาสั้น ๆ ที่สั้นกว่าวินาทีเดียวนั้นเอง มิคาเอลก็รู้สึกสั่นสะท้านจากห้วงลึกของวิญญาณของเขา ราวกับมังกรโบราณตนหนึ่งได้พุ่งลงมาทับวิญญาณของเขาอย่างสุดแรงแล้วกดเขาไว้ใต้กรงเล็บของเขา
เขาชะงักนิ่ง ขยับตัวไม่ได้ แล้วตอนนั้นเอง ก็พลันจำได้ว่ามิคาเอลเป็นเพียงโค้ดเนมของเขา
ชื่อจริงของเขาคือ อัลเฟรด พหูสูตแห่งแสงผู้ยิ่งใหญ่ นักบวชสูงสุด ผู้หยั่งรู้และผู้ถูกเลือก บุคคลที่หลังจากหลบหนีจากโซ่ตรวนแห่งอายุขัยได้แล้วก็ทิ้งผู้คนของเขา แล้วกลายเป็นตัวตนในตำนาน
ถ้าในวันนี้เขาไม่ได้มาประสบกับอำนาจแห่งมังกรอีกครั้ง บางทีเขาก็อาจจะจำกำพืดของตนเองไม่ได้เลย
เมื่อร้อย ๆ ล้านปีก่อน ในช่วงที่มังกรโบราณยังมีชีวิต สิ่งมีชีวิตอื่น ๆ นั้นทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากสั่นเทาตัวลีบต่อหน้าอำนาจแห่งมังกร
ภูตแสงเองก็เหมือนกัน…
มิคาเอลรู้สึกกลัว และตระหนักในความจริงว่า…ที่จริงแล้ว เขาก็ยังก้าวข้ามมันไปไม่ได้เลย!
สัญชาตญาณในฐานะภูตแสงของเขายังคงถูกจารึกไว้แน่นหนาในแก่นแท้ของเขา
“ไม่ ๆ ๆ เป็นไปไม่ได้!”
“เป็นไปไม่ได้!…อา…แค่ก ๆ ๆ”
มิคาเอลร้องออกมาอย่างตระหนก แล้วจากนั้นก็คว้าคอตัวเองเพื่อหยุดเสียงไว้เมื่อตระหนักรู้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาเหลือบขึ้นไปมองรูม่านตาสีทองนั้น แล้วในที่สุดฉากสงครามในใจของเขาก็จางลง
อำนาจแห่งมังกรนั้นเป็นตัวแทนของการครอบครองอำนาจโดยสมบูรณ์ โดยเฉพาะในระยะประชิดขนาดนี้
ช่วงเวลาสั้น ๆ ที่เขาตะลึงงันไปนั้นเกินพอที่คนในระดับเหนือนภาธรรมดา ๆ จะตายไปได้หนึ่งครั้ง
มิคาเอลมองไปทางขวามือของเขาด้วยสายตาว่างเปล่า กางเขนสีแดงตกลงพื้นไปและบิดเบี้ยวผิดรูปไปแล้ว แสดงให้เห็นชัดเจนว่าศึกก่อนหน้านี้ดุเดือดแค่ไหน
ในเวลาเดียวกัน ชายหนุ่มผมทองก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่แล่นไปทั่วร่างของเขา อีกทั้งสัมผัสได้ถึงร่างกายภายในที่แหลกเป็นชิ้น ๆ อย่างชัดเจน
ร่างกายนี้ไม่สามารถใช้การได้อีกต่อไปแล้ว…มิคาเอลคิดในใจ
ในขณะที่เขาค่อย ๆ ฟื้นคืนสตินั้นเอง ฉากสงครามที่เขาเคยประสบมาก่อนก็ค่อย ๆ กลับเข้ามาในใจ ความงดงามของการทำลายล้างที่ราวกับเป็นพายุอันฉีกกระชากร่างของผีเสื้อช่างน่าสะพรึงกลัว
มังกรแห่งภัยพิบัติบากั๊ก มิคาเอลรำพึง มีแต่ตัวตนนั้นเท่านั้นที่มีออร่าเช่นนี้
แต่หลินเจี๋ยตรงหน้าเขานี้ไม่ได้ดูจะเป็นตัวตนที่สมบูรณ์
เจ้าของร้านหนังสือที่ดูจะอยู่ในสภาวะครึ่งมังกรเอนตัวเข้ามาใกล้ด้วยท่าทางกดดันแล้วหรี่ตาของตัวเองลง “คุณน่ะมาที่นี่เพราะเรื่องของโบสถ์แห่งจุดสูงสุด…หรือพูดให้ถูกก็คือ เพราะหนังสือหนังมนุษย์ใช่ไหม?”
มิคาเอลพบว่าเขาหายใจได้อย่างยากลำบาก แล้วเขาก็สั่นระริกในทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น
เขารู้?
เขารู้!
อีกฝ่ายรู้เกี่ยวกับความสามารถแกะรอยของหนังสือหนังมนุษย์อยู่ก่อนแล้ว เขาแค่จงใจล่อเราออกมา!
“ฮึ ๆ ฮ่า ๆ ๆ ข้าคิดไม่ถึงเลยว่าจะมีวันที่มีใครสักคนอ่านข้าออกอย่างทะลุปรุโปร่งด้วย ฮ่า ๆ ๆ.”
จู่ ๆ มิคาเอลก็ระเบิดเสียงหัวเราะต่ำ ๆ ออกมา “ครั้งนี้ข้าแพ้แล้ว น่าสนใจ น่าสนใจจริง ๆ”
แต่ดูจากเวลาแล้ว กองทัพนักเวทของจุยคาคุก็น่าจะมาถึงแล้ว ตราบใดที่เขาซื้อเวลาที่นี่ต่อได้อีกสักพัก คาเฟ่หนังสือด้านข้างก็จะถูกป่นเป็นผงได้
หลินเจี๋ยขมวดคิ้ว สัมผัสถึงความไม่ยอมร่วมมือของเจ้าหมอนี่ได้ เขาแกล้งโง่อยู่หรือไง?
หลินเจี๋ยหัวเราะอย่างเย็นชา “คุณคิดว่าทำแบบนี้จะมีประโยชน์เหรอ?”
มิคาเอลสะดุ้งและหวาดวิตก เขารู้เหรอว่าข้าคิดอะไรอยู่?
เมื่อเห็นสีหน้านี้แล้ว หลินเจี๋ยก็รู้ทันทีว่าเจ้าหมอนี่อยากจะแกล้งบ้า เพราะงั้นจึงพูดต่อ “ผมจะบอกให้นะ ที่ร้านข้าง ๆ มีตำรวจอยู่ และคุณหนีเงื้อมมือกฎหมายไปไม่ได้หรอก ผมเห็นอาชญากรอย่างคุณมาหลายครั้งแล้ว แล้วคุณคิดว่าผมไม่รู้เหรอว่าคุณคิดอะไรอยู่?”