เจ้าของร้านพิศวง - บทที่ 177 แค่นี้เหรอ
บทที่ 177 : แค่นี้เหรอ?
หลินเจี๋ยหรี่ตาลง เขาพูดชื่อจริงของตัวเองออกมาทั้งอย่างนั้น…
แม้ว่าจะแค่ครึ่งเดียว แต่มันก็มากเกินพอแล้วไหมที่ตำรวจเขตกลางจะตรวจหาตัวบุคคลที่ตรงกันได้อย่างแม่นยำ?
การที่เรียกตัวเองว่ามิคาเอลในตอนนี้ คงจะเป็นโค้ดเนมของเขาภายในองค์กรนี่แหละ
ส่วนดาบยาวที่มีฝักทรงกางเขนสีแดงนี่…ดูไม่เหมือนเรื่องบังเอิญ บางทีองค์กรนี้อาจจะมีความเกี่ยวพันกับศาสนายิวหรืออะไรประมาณนั้นอยู่
นี่เป็นครั้งแรกที่หลินเจี๋ยได้เห็นข้อมูลแบบนี้ในอาซีร์
จากสิ่งที่หลินเจี๋ยรู้มาก่อนหน้านี้ ความเชื่อเช่นนี้ไม่ได้หายากหรือพิเศษเฉพาะกระทั่งในหมู่ประชาชนทั่วไป
แค่เพียงเท่านี้ก็สื่อได้ถึงข้อมูลมากมายแล้ว ตราบใดที่หลินเจี๋ยสืบต่อ ชายหนุ่มก็คิดว่าเขาสามารถสืบจนถึงต้นตอได้
เจ้าเด็กนี่ตื่นเต้นเกินเหตุ หรือเขามีคนหนุนหลังคนอื่นให้พึ่งพาได้กันหว่า?
แต่เมื่อมาคิดจากมุมมองที่ต่างออกไป หลินเจี๋ยก็รู้สึกว่าสิ่งที่หยิบยื่นให้กันได้ง่าย ๆ แบบนี้มักจะเป็นของปลอม
มันเป็นไปไม่ได้เลยที่หลินเจี๋ยจะสามารถยืนยันว่าชื่อจริงที่ว่านี่จริงแค่ไหน และชายหนุ่มก็ไม่มีวิธีติดตามอะไรได้จากโค้ดเนมมิคาเอลนี้เลย ข้อมูลเหล่านี้ทั้งหมดต้องเลื่อนเวลาสืบก่อน
ทั้งหมดนี้ดูจะสำคัญ แต่ถ้าตรวจสอบไม่ได้ก็ไร้ค่า
ถ้าเป็นคนอื่นในสถานการณ์เดียวกันก็อาจจะถูกหลอกได้แล้ว แต่หลินเจี๋ยนั้นมีประสบการณ์และไม่สามารถหลอกได้ง่าย ๆ
เมื่อพูดถึงความง่ายที่เชอร์รี่สามารถดึงคนสนิทของคอนกรีฟมาเป็นพวกเธอแล้ว หนังสือหนังมนุษย์อาจจะดูสำคัญ แต่เนื้อหาของมันยังต้องใช้เวลาสักพักในการแปล
และในระหว่างนี้ หนังสือหนังมนุษย์ก็ถูกใช้เพื่อดึงให้ ‘มือสังหาร’ มาหา
หลินเจี๋ยพลันมีความคิดหนึ่ง แต่ในเมื่อมันเป็นเรื่องของศาสนาคริสต์…เป็นไปได้ไหมว่าโลกกับอาซีร์จะมีความเชื่อมโยงบางอย่างต่อกัน?
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้พบอะไรที่คุ้นเคยในโลกประหลาดนี้ หรือนี่จะเป็นสาเหตุที่เจ้าดำย้ายเรามาที่นี่?
ดูเหมือนเขาจะไม่มีทางเลือกนอกจากสืบเรื่ององค์กรนี้เสียแล้ว
หลังจากหลินเจี๋ยคิดสะระตะเสร็จ เขาก็ส่ายหน้าแล้วหัวเราะขำ “แค่นี้เหรอ?”
ชายหนุ่มจ้องตามิคาเอลแล้วพูดด้วยท่าทางที่ดูจะสื่อบางอย่าง “เจ้าหนูไมค์ อย่าพยายามใช้เรื่องแบบนี้หลอกคนอื่นเลย คุณคิดจริง ๆ เหรอว่าผมจะไม่รู้น่ะ?”
เจ้า…เจ้าหนูไมค์?!
ชื่อเล่นบ้าอะไรฟะเนี่ย!
สีหน้าของมิคาเอลบิดเบี้ยวเสียจนไม่อาจบรรยายเป็นคำพูดได้ เขารู้สึกว่าความภาคภูมิและการยับยั้งชั่งใจของตัวเองถูกโจมตี แล้วเขาก็รู้สึกอยากต่อยใครสักคนอย่างรุนแรงด้วย แต่ทว่าก็ไม่สามารถต่อยคนตรงหน้าเขาได้ จึงทำได้เพียงอดทนไว้
แต่ทว่า…วิธีการที่เจ้าของร้านหนังสือเรียกเขานั้นก็เป็นการยืนยันได้ในระดับหนึ่งว่าฐานะของเขาคือผู้อาวุโสกว่า
แต่เรื่องเหล่านี้ต่างก็เป็นเรื่องรอง เหตุผลจริง ๆ ที่สีหน้าของมิคาเอลถึงดำทะมึนได้ขนาดนั้นเป็นเพราะประโยคช่วงหลังต่างหาก…
เขารู้ทุกเรื่องเลยอีกแล้วเหรอ?!
เขารู้ชื่อจริงของเรา ความหมายของชื่อมิคาเอล หรือทุกสิ่งที่เราซุกไว้?!
ไม่ว่าจะอย่างไหนก็ตาม ทุกอย่างก็ทำให้หัวใจของมิคาเอลดิ่งวูบทั้งนั้น
หลินเจี๋ยสังเกตเห็นสีหน้าบางอย่างบนใบหน้าของชายหนุ่มผมทองได้ แล้วตัดสินใจคาดเดาอย่างใจกล้า
ไม่ว่าอย่างไร ชะตาของอีกฝ่ายก็อยู่ในมือเขาแล้วในตอนนี้ ดังนั้นต่อให้เขาเดาพลาดจนอาจเผยไต๋ได้ มันก็คงไม่ทำให้เขาอับอายมากนักหรอก
หลินเจี๋ยไม่มีเจตนาจะโอนอ่อนให้คนที่หาเรื่องตายมาตั้งแต่แรกแบบนี้
ที่จริงแล้ว มิคาเอลก็กำลังอยู่บนเส้นคั่นระหว่างความเป็นและความตาย และคงได้ตายคาที่แน่ถ้าหากไม่ได้รับการรักษาภายในครึ่งชั่วโมง
หลินเจี๋ยยิ้มอย่างเคยชินราวกับว่าเขารู้ทุกเรื่อง แล้วก็พูดออกมาว่า “เมตาตรอน เรซิเอล แคสสิเอล แซดคิเอล คามาเอล มิคาเอล[1]…ทั้งหมดมีสิบคน อยากให้ผมพูดต่อไหม?”
หลินเจี๋ยรู้ว่าเขาเดาถูกเผงนับแต่พูดชื่อแรกออกมา
ไม่เพียงแต่สีหน้าของมิคาเอลเปลี่ยนไปโดยเฉียบพลันเท่านั้น แต่การหายใจของเขาก็ติดขัด แล้วรูม่านตาของเขาก็หดตัวในทันที การเปลี่ยนแปลงของเขาเกินกว่าทุกอย่างที่ผ่านมาไปหลายขุม
สีหน้าเขายังไม่เปลี่ยนไปมากขนาดนี้เลยในตอนที่โดนอัดจนน่วมหลังจากบุ่มบ่ามเข้ามาอย่างไร้ความกลัว
นี่เทียบได้กับการแสดงเปลี่ยนหน้าในงิ้วเสฉวนเชียว
และอันที่จริง สภาพจิตใจของมิคาเอลได้พังทลายลงโดยสมบูรณ์แล้ว
ไม่มีใครนอกจากผู้ก่อตั้งดั้งเดิมทั้งสิบที่รู้โค้ดเนมของผู้ก่อตั้งทั้งหมดในวิถีแห่งดาบอัคคี…แต่ละคนส่วนใหญ่แล้วก็ทำงานแบบตัวใครตัวมัน
พวกเขาล้วนแล้วแต่เป็นตัวตนที่ไปถึงจุดสูงสุดของโลกนี้กันแล้วทั้งสิ้น แล้วต่างคนต่างก็มีวิธีการคิดและแผนของตัวเอง จะติดต่อคนอื่นก็ต่อเมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่ต้องการความช่วยเหลือแบบนาน ๆ ทีเท่านั้น
มีแค่ผู้ใต้บังคับบัญชาของแต่ละคน ยกตัวอย่างเช่นพระสังฆราชรุ่นปัจจุบันของโบสถ์แห่งจุดสูงสุด ร็อดนีย์ที่ถูกกาเบรียลฝึกมา ก็จะรู้โค้ดเนมของนายโดยตรงของตนได้
แต่โค้ดเนมของคนอื่น ๆ โดยหลักแล้วก็จะไม่มีทางถูกเผยให้คนอื่นรู้ได้เลย
มิคาเอลแน่ใจว่าไม่มีใครรู้เรื่องนี้…จนกระทั่งตอนนี้…
เมื่อเหลือบมองรอยยิ้มเยือกเย็นของหลินเจี๋ย และดวงตาลึกลับสีดำที่ดูจะซ่อนสติปัญญาที่เกินธรรมดาเอาไว้แล้ว มิคาเอลก็ได้ประสบกับความรู้สึกชวนหนาวสันหลังของการถูกมองออกอย่างทะลุปรุโปร่งเป็นครั้งแรก
บางทีเหยื่อของพวกเขาอาจรู้สึกแบบเดียวกันในตอนที่พวกเขาเล่นสนุกกับชะตาของคนอื่น
สถานการณ์กลับตาลปัตรแล้ว
มิคาเอลตอบอย่างแข็งทื่อ “การแสดงออกถึงความจริงใจนี้ไม่เพียงพอ…”
น้ำเสียงของอีกฝ่ายเยือกเย็นเกินไป และสายตาของเขาก็กดดันเกินไป
เจ้าหมอนี่รู้มากกว่านี้เยอะแน่ ๆ
รอบรู้และเชี่ยวชาญในทุกด้าน!
คำเหล่านี้ปรากฏขึ้นในใจของเขาอีกครั้ง ทำให้เขายิ้มอย่างขมขื่น ในตอนนี้ ดูเหมือนเขาจะไม่มีทางเลือกนอกจากยอมรับว่ามันเป็นความจริงแล้ว…
“แค่คุณเข้าใจก็ดีแล้วล่ะครับ”
หลินเจี๋ยยิ้มเจื่อน ๆ ในขณะที่ชายหนุ่มจะตุ๋นต่อ “เฮ้อ…พูดจากใจแล้ว ผมก็ไม่ได้รู้เยอะอะไรขนาดนั้นหรอกครับ แค่ไม่กี่ชื่อนี่แหละ นี่คงทั้งหมดแล้วล่ะ ดังนั้นคุณไม่ต้องประหม่าไปหรอกนะครับ”
มิคาเอลพูดไม่ออก
อย่างกับข้าจะเชื่อเจ้างั้นแหละ!
มิคาเอลไม่กล้าเดิมพันว่าเจ้าของร้านหนังสือจะสามารถพูดชื่อจริงครึ่งหลังของเขาออกมาได้ด้วยหรือเปล่า?
เขาสูดหายใจลึก ๆ ดูเหมือนว่าเขาจำเป็นต้องเสนอบางอย่างที่ทำให้เจ้าของร้านหนังสือสนใจเพื่อแลกกับตัวตนที่แท้จริงของเขาเสียแล้ว
ตัวตนที่แท้จริงของมิคาเอล รวมไปถึงข้อมูลเกี่ยวกับวิถีแห่งดาบอัคคีนั้น เจ้าหมอนี่รู้หมดแล้ว ดังนั้นสิ่งเดียวในตอนนี้ที่อาจจะทำให้เขาสนใจได้ก็ดูจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับโบสถ์แห่งจุดสูงสุด
ว่ากันว่าเขาสนใจที่จะช่วยลูกค้าของเขา และวินเซนต์นั่นก็เป็นหนึ่งในนั้น
นอกเหนือจากนั้น เขาก็ชอบเล่นไปตามบทบาทของเจ้าของร้านหนังสือธรรมดา ๆ ด้วย…หรือว่า?
มิคาเอลพลันรู้สึกเหมือนว่าจะเข้าใจหลักเหตุผลของเจ้าของร้านหนังสือแล้ว
อีกฝ่ายแสดงตัวว่ารู้ทุกเรื่องและไร้เทียมทานไม่ได้ในตอนที่เขายังแสดงละครเป็นเจ้าของร้านหนังสือธรรมดาอยู่
ดังนั้น ต่อให้เขาจะรู้ทุกเรื่องอยู่ลึก ๆ ในใจ ก็จะหาเหตุผลที่ฟังขึ้นมารับรองความรู้ของเขาให้ได้แน่
ใช้เหตุผลพวกนั้นมาโน้มน้าวใจคนอื่น แต่อีกฝ่ายจะต้องวางแผนเปิดเผยความจริงในลักษณะนี้ด้วยแน่นอน
เหมือนในตอนนี้ที่หลินเจี๋ยรู้ทุกอย่างอยู่แล้วชัด ๆ แต่เขาก็ยังรอให้มิคาเอลกินเบ็ดแล้วเผยข้อมูลสำคัญออกมา
แล้วจากนั้นเขาก็จะเล่นไปตามบทเจ้าของร้านหนังสือที่ได้รับข้อมูลเหล่านั้นมาจากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ แล้วเขาก็จะถ่ายทอดมันให้กับวินเซนต์
บุคลิกนิสัยแปลก ๆ แบบนี้สมแล้วกับที่เป็นสัตว์ประหลาดโบราณจริง ๆ…
มิคาเอลจึงเปิดเผยออกมาด้วยสีหน้านิ่งเรียบ “โบสถ์แห่งจุดสูงสุดได้เพิ่มจำนวนการแจกจ่ายแก่นจันทร์ศักดิ์สิทธิ์ภายในตัวโบสถ์แล้ว และจะเริ่มทำพิธีบวงสรวงระยะที่สองในอีกเจ็ดวัน…แค่ก ๆ ๆ”
หลังจากพูดอยู่นาน ร่างนี้ก็ไม่อาจทนไหวอีกต่อไปแล้ว
แต่เขาก็ยังพยายามฝืนลืมตามอง แล้วก็เป็นไปตามคาด เขาเห็นดวงตาของหลินเจี๋ยทอประกายเล็กน้อย
หลินเจี๋ยย่อยข้อมูลที่ค่อนข้างมโหฬารนี้แล้วพึมพำออกมา “ขอบคุณที่บอกผมเรื่องนี้นะครับ…แต่ว่าผมก็ยังไม่คิดอยู่ดีว่าคุณจะรอด”
“ไม่เป็นไรหรอก”
หลินเจี๋ยคาดไว้ว่าจะได้เห็นการตีโพยตีพายอย่างเต็มรูปแบบ แต่มิคาเอลนั้นใจเย็นอย่างน่าประหลาด เขาเลือกที่จะปลงและยอมรับความจริงด้วยรอยยิ้มเจิดจรัสบนใบหน้า
“ข้าเพิ่งมีความคิดหนึ่ง…ข้าอยากจะเชิญท่านให้เข้าร่วมกับเรา ท่านคิดว่ายังไง?” มิคาเอลว่า
[1] สิบอัครทูตสวรรค์ ในศาสนายิว ประกอบด้วย เมตาตรอน เรซิเอล แคสสิเอล แซดคิเอล คามาเอล ราฟาเอล มิคาเอล อนาเอล และแซนดัลฟอน ซึ่งนามจะแตกต่างกันไปตามแหล่งที่มา