เจ้าของร้านพิศวง - บทที่ 179 การรวมตัวที่คาเฟ่หนังสือ
ตอนนี้เป็นเวลา 6 โมงเย็น 15 นาที แอนนี ทุธเทิลยืนงก ๆ เงิ่น ๆ อยู่บนถนนที่ไม่คุ้นเคย
เธอยกมือขึ้นมาดึงเสื้อโค้ตผ้าถักของเธอให้ตึง มีกระเป๋าคล้องอยู่ที่บ่าของเธอ ในนั้นมีน้ำดื่มหนึ่งขวด เงินนิดหน่อย และมีดพกเพื่อการป้องกันตัวหนึ่งเล่ม
ด้วยเหตุผลบางอย่าง เธอรู้สึกราวกับเป็นพ่อแม่ที่กำลังไปงานประชุมผู้ปกครอง และในขณะเดียวกันเธอก็เหมือนเด็กสาวที่กำลังจะได้เจอกับเพื่อนในอินเตอร์เน็ตเป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นกระแสอยู่ในช่วงนี้
เมื่อจินตนาการถึงสีหน้าระแวดระวังบนใบหน้าของเธอตอนนี้แล้ว เธอก็รู้สึกอยากจะหัวเราะ…
ที่จริงแล้ว เธอก็มีการเตรียมตัวมาก่อนเพื่อการชุมนุมในครั้งนี้มาบ้างโดยอิงจากประสบการณ์การรวมตัวที่เธอทำมาแล้วหลายครั้ง ดังนั้นเธอจึงคิดว่าไม่น่าจะมีอะไรผิดพลาด…
เธอดูไม่ต่างจากแม่บ้านที่ออกไปซื้อของใช้ประจำวัน ไม่เหมือนคนที่กำลังจะไปชุมนุมลับเพราะความฝันแปลก ๆ ของเธอที่ฟังดูอันตรายและน่าสงสัยเลย
อย่างน้อยที่สุด…มันก็น่าจะปลอดภัยกว่ามากถ้าจะแต่งตัวให้ดูเรียบง่ายธรรมดา เพราะมันทำให้เราสามารถปะปนไปกับผู้คนได้ แอนนีปลอบใจตัวเอง
เธอเริ่มเสียใจภายหลังอยู่บ้างเมื่อตัวเองเดินตามแผนที่และถามคนเดินผ่านไปผ่านมาจนมาถึงถนนสายนี้ แต่ในเมื่อเธอมาไกลขนาดนี้แล้ว เธอก็รู้สึกว่ามันน่าอายถ้าจะกลับไปตอนนี้ และเพราะเช่นนั้นเธอจึงฝืนตัวเองเดินต่อให้ถึงที่หมาย…
ยังไงเสียอาเธนาก็จะอยู่ที่นี่ด้วย และเธอก็รับหน้าที่ดูแลงานนี้ ดังนั้นไม่น่าจะมีอันตรายอะไรมาก…
ที่สำคัญกว่านั้น การที่แอนนีมาที่นี่ก็เพราะเธอเชื่อว่าคุณพ่อวินเซนต์นั้นบริสุทธิ์โดยแท้จริง เหมือนกับที่ทุกคนที่มาร่วมชุมนุมในครั้งนี้คิด
บางทีสิ่งที่พวกเธอทำอาจจะกลายไปเป็นกุญแจพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของคุณพ่อวินเซนต์ได้ก็ได้
ถ้าเธอไม่ทำอะไรเลย เธอก็คงไม่อาจอภัยให้ตัวเองและสงบใจลงได้หากคุณพ่อวินเซนต์และคุณพ่อเทอร์เรนซ์ประสบโชคร้ายอย่างในความฝันของเธอจริง ๆ
ด้วยความคิดนี้ในใจ แม้ว่าเธอจะลังเล แต่แอนนีก็ยังรวบรวมความกล้าและแอบครอบครัวของเธอมาที่นี่
ทว่าที่นี่มันก็น่ากลัวจริง ๆ
บริเวณรอบ ๆ ถนนสายนี้ดูหดหู่และรกร้างเป็นพิเศษ และดูเหมือนทุกอย่างจะเสื่อมโทรมลงมาก อีกทั้งส่วนใหญ่ของถนนสายนี้ก็ถูกล้อมด้วยบริเวณกำลังก่อสร้าง
อาคารทั้งสูงและต่ำที่ยังไม่เสร็จดีท่ามกลางแสงสลัวยามเย็นนั้นดูราวกับสัตว์ร้ายขนาดยักษ์ที่ซุ่มอยู่ในเงามืด ให้ความรู้สึกชวนตื่นตระหนก
บรรยากาศแวดล้อมเงียบเสียจนแอนนีได้ยินเสียงเต้นของหัวใจของเธอในขณะที่เธอเดินคนเดียวบนถนน
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของตนเอง เธอก็จินตนาการได้ว่าอาจมีใครตามเธอมา แล้วความคิดนั้นก็ทำให้เธอลนลานเล็กน้อย
โชคดีที่ถนนสายนี้ไม่ได้ยาวขนาดนั้น แล้วหลังจากเดินอยู่เป็นระยะสั้น ๆ เธอก็มาถึงคาเฟ่หนังสือที่เป็นจุดรวมตัว
“เฮ้อ…”
แอนนีถอนหายใจยาว ๆ อย่างโล่งอกในขณะที่เธอมองอาคารที่สว่างไสวตรงหน้าเธอ แล้วร่างกายที่ตึงเกร็งของเธอก็ผ่อนคลายลงได้ในที่สุด…
เธอมองคาเฟ่หนังสือที่ดูจะเพิ่งถูกสร้างขึ้นมาอย่างฉงนสงสัย แล้วดวงตาของเธอก็ทอประกาย
อาคารนี้ไม่ได้ดูเข้ากันได้กับสิ่งปลูกสร้างอื่น ๆ บนถนนนี้เลย เธอสามารถเห็นที่นั่งมากมายและชั้นหนังสือจากช่องผ้าม่านหลังประตูกระจกได้ การตกแต่งภายในนั้นก็ทั้งแปลกใหม่และมีเอกลักษณ์ด้วย
ในฐานะผู้หญิง แอนนีถูกสไตล์การตกแต่งที่สดชื่นและสง่างามดึงดูดทันที
ดูเหมือนว่าข้างในจะมีคนมารวมตัวกันจำนวนหนึ่งแล้ว แต่เราไม่รู้จักสักคน…คุณพ่อวินเซนต์ช่วยคนมามากมายเหลือเกิน เขาเป็นคนดีเกินกว่าจะเป็นคนฆ่าคุณพ่อเทอร์เรนซ์ผู้แก่ชราและคนมากมายอย่างที่ข่าวประโคม
แอนนีคิดในใจขณะรวมรวบความกล้าเข้าไปข้างใน
ก่อนที่เธอจะเข้าไปเพียงเสี้ยววินาที เธอก็ได้เหลือบมองร้านหนังสือข้าง ๆ โดยสัญชาตญาณ
อาเธนาบอกว่ามันเป็นสถานที่แปลก ๆ ดูน่ากลัว ไม่ค่อยจะมีลูกค้า ยิ่งกว่านั้นยังว่ากันว่าเจ้าของร้านหนังสือแทบไม่ได้ออกไปไหนเลยด้วย คนที่ผ่านไปผ่านมาเท่านั้นที่จะได้เห็นเค้าร่างของชายผมดำในชุดดำที่มักจะอ่านหนังสืออยู่หลังเคาน์เตอร์อยู่เสมอ
เหมือนกับตำนานเมืองลึกลับที่กำลังเป็นเรื่องครึกโครมอยู่ในตอนนี้เลย
แต่ช่างเถอะ…การชุมนุมเร่งด่วนกว่า
แอนนีส่ายหน้าแล้วผลักประตูเปิดเข้าไปในคาเฟ่หนังสืออย่างระมัดระวัง แหวกม่านแล้วก้าวเข้าไป
แสงสว่างนวล ๆ ส่องสว่างภายในคาเฟ่หนังสือ เผยภาพที่สว่างไสวและเปิดโล่งให้กับผู้มาเยือน ต้นไม้ประดับบนชั้นหนังสืออย่างง่ายรอบ ๆ คาเฟ่นั้นทำให้รู้สึกเจริญตาเจริญใจ
มีลูกค้าอยู่จำนวนหนึ่งแล้วจริง ๆ ซึ่งแอนนีคาดว่าคงราว ๆ สี่สิบคน
พวกเขามีทั้งที่ยืนและนั่งอยู่ และบางคนก็นั่งบนพื้นไม้ บางคนดูจะรู้จักกันและกำลังล้อมวงคุยกันอยู่เบา ๆ ที่โต๊ะ
เสียงประตูเปิดทำให้ทุกคนในคาเฟ่หันมามองแอนนี
แอนนีรู้สึกเขินแล้วยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน ในตอนที่เธอกำลังทำอะไรไม่ถูกอยู่นั้นเอง อาเธนาก็เรียกเธอ “เฮ้! แอนนี ทางนี้!”
แอนนีหันไปตามเสียงแล้วเห็นอาเธนาที่นั่งอยู่ที่โต๊ะตัวหนึ่งได้ทันที
อาเธนาสวมเสื้อสตรีครึ่งตัวและกางเกงยีน ผิวแทนอย่างคนสุขภาพดี เส้นผมสีดำ และดวงตาทรงเสน่ห์อันเจิดจ้า มีตราสีทองอยู่ที่แขนเสื้อของเธอที่ดูจะถูกสลักภาพดวงอาทิตย์เอาไว้
อาเธนาหัวเราะเสียงดังแล้วโบกมือ “แอนนีเพื่อนรัก มานี่เร็ว ฉันอยู่นี่”
คนอื่น ๆ ต่างกลับไปสนใจธุระของตนเองเมื่อพวกเขารู้ว่าเธอเป็นเพื่อนของผู้ดูแลงาน
แอนนีเดินไปนั่งข้าง ๆ อาเธนาแล้วรู้สึกโล่งใจทันทีที่มีคนรู้จักอยู่ที่นี่ด้วย ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่รู้จะพูดอะไร
แอนนีเหลือบมองตราที่แขนเสื้อของอาเธนาแล้วกระซิบ “อาเธนา เธอนี่ยอดไปเลยนะ เพิ่งจะเริ่มชุมนุมกันแท้ ๆ เธอก็ได้รับหน้าที่ดูแลแล้ว”
อาเธนาใช้มือเท้าแก้มแล้วหัวเราะคิก “ฉันก็แค่โชคดีแหละ ตอนที่ฉันรู้ว่าสถานที่ชุมนุมคือที่นี่ ฉันก็พูดทันทีว่าฉันรู้จักสถานที่ดีและเสนอตัวเป็นพนักงานต้อนรับให้เพื่อรักษาความเป็นระเบียบและช่วยพวกที่หลงทาง ฉันคิดไม่ถึงเหมือนกันว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะเห็นดีเห็นงามกับฉันด้วย”
เธอเลื่อนเครื่องดื่มไปหาแอนนีในขณะที่จิบเครื่องดื่มของเธอเอง “ทีแรกฉันก็คิดว่าชีวิตของฉันคงน่าเบื่อแล้วเพราะร้านสื่อวีดิทัศน์ปิดตัวไป แต่ฉันไม่คาดฝันเลยว่าเครื่องดื่มที่คาเฟ่หนังสือจะอร่อยขนาดนี้…ฉันคิดว่ามันชื่อ…ชานมใช่ไหมนะ แต่มันก็แตกต่างจากที่พวกคนชั้นสูงดื่มกันมากด้วย”
แอนนีใช้หลอดจิบเครื่องดื่มอย่างสุภาพ แล้วดวงตาของเธอก็เบิกกว้างขึ้น
อื้มม…รสชาตนี้มันอะไรกัน?
อร่อยจริง ๆ ด้วย…
ดูจะเป็นการจับคู่ที่ลงตัวถ้ากินกับขนมปังที่ที่บ้านเราทำ
แอนนีส่ายหน้าแล้วโยนความคิดเชิงธุรกิจที่เธอลืมตัวคิดไปก่อน ตอนนี้ไม่ใช่เวลานะ!
เธอกระซิบเบา ๆ “อาเธนา เธอรู้ไหมว่าการรวมตัวครั้งนี้จะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง?”
ดวงตาของอาเธนาหรี่จนเป็นเส้นในขณะที่เธอบุ้ยไปที่เคาน์เตอร์ “เห็นพวกที่อยู่ตรงนั้นมั้ย? เด็กคนนั้นเป็นคนดูแลคาเฟ่หนังสือ แล้วผู้ชายตัวสูง ๆ ข้าง ๆ คนนั้นมาจากกรมตำรวจเขตกลาง พวกเขาจะมาประกาศข้อหาของโบสถ์แห่งจุดสูงสุด”
ข้อหา?
แอนนีชะงักไปครู่หนึ่งอย่างสับสน
อาเธนาโน้มตัวเข้ามาราวกับกำลังจะเผยความลับใหญ่ ดวงตาของเธอพราวระยับอย่างตื่นเต้นในขณะที่พูด “ยิ่งกว่านั้น ฉันก็เพิ่งรู้นะว่าคาเฟ่หนังสือนี้ที่จริงแล้วเป็นร้านย่อยของร้านหนังสือข้าง ๆ ร้านหนังสือแปลก ๆ นั่นไม่ธรรมดาจริง ๆ ด้วย!”