เจ้าของร้านพิศวง - บทที่ 192 ขอแนะนำให้พวกนายรู้จักพระเจ้าและผู้กอบกู้ของเรา
บทที่ 192 : ขอแนะนำให้พวกนายรู้จักพระเจ้าและผู้กอบกู้ของเรา
เชอร์รี่เบียดผ่านลานเต้นรำที่แน่นขนัดไปยังชั้นสองของบาร์
ในขณะที่การเคลื่อนไหวของเธอค่อนข้างชัดเจน เครื่องแต่งกายเฉพาะตัวบนเรือนร่างเล็กกะทัดรัดของเธอทำให้ยิ่งดูเด่นชัดท่ามกลางฉากสีสันยามวิกาลเข้าไปใหญ่ แต่กลับไม่มีใครเลยที่มองมาทางเธอ ไม่แม้แต่จะสนใจเธอสักนิดเดียว…
‘ผนึกสะกดใจ’ ได้วิวัฒนาการไปเป็น ‘คาถาดลใจ’ ไปแล้ว
‘ผนึกสะกดใจ’ นั้นเป็นเพียงคาถาที่พบได้ในบทแรกของหนังสือที่คุณหลินให้ยืมมา มันเป็นความสามารถที่ทำให้ผู้ถูกสะกดใจแสดงความรู้สึกเชิงบวกต่อเธอ
จากการฝึกฝนมาหลายปี เชอร์รี่ได้ไปถึงจุดสูงสุดของคาถานี้แล้ว ความสามารถนี้ของเธอในตอนนี้สามารถมีผลกับคนในระดับสัตว์ประหลาดแล้ว แต่ก็พูดได้ว่าคาถานี้ใกล้ถึงขีดจำกัดของมันเข้าไปเต็มที
เชอร์รี่จำเป็นจะต้องใช้ความสามารถนี้ซ้ำ ๆ กับเป้าหมายและติดต่อกับพวกระดับสัตว์ประหลาดอย่างต่อเนื่องเพื่อให้คาถานี้ส่งผล
เธอไม่เคยลองคาถานี้กับตัวตนในระดับภัยพิบัติมาก่อนเลย หรือพูดอีกอย่าง เธอกลัวเกินกว่าจะลองมัน เพราะกลัวผลกระทบร้ายแรงที่จะเกิดตามมาถ้าเธอถูกจับได้
ผลสุดท้ายของการใช้ ‘ผนึกสะกดใจ’ ก็คือเธอได้เป็นรองหัวหน้าสาขา
ในตอนนี้ เธอทำได้เพียงพึ่งตัวเองในการไต่เต้าขึ้นสู่ระดับสูงกว่า
ในตอนนี้ เชอร์รี่ได้ทำความเข้าใจพื้นฐานของขั้นตอนที่สองของ ‘คาถาดลใจ’ ได้แล้ว…
ครั้งนี้หญิงสาวไม่จำเป็นต้องพูดสื่อความนัยเพื่อกระตุ้นให้คนอื่น ๆ รู้สึกดีกับเธอแล้ว ในตอนนี้เธอสามารถใช้ความสามารถนี้กับตัวเองแล้วฉายผลของมันสร้างเป็นเขตแดนจิตวิญญาณที่ทำให้คนอื่น ๆ เห็นเธอด้วย ‘ความประทับใจ’ ตามแต่ที่เธอจะเลือก
‘ความประทับใจ’ นี้จะมีผลต่อสติและความตระหนักรู้ของคนที่ได้รับผลจากคาถานี้ และผลของ ‘ความประทับใจ’ จะแข็งแกร่งขึ้นตามระดับของ ‘คาถาดลใจ’
และนี่แหละคือสิ่งที่เชอร์รี่กำลังทำอยู่ในตอนนี้ เธอสร้าง ‘ความประทับใจ’ ว่า ‘เธอไม่มีตัวตนอยู่’ ซึ่งทำให้คนอื่น ๆ ไม่รู้ว่ามีเธออยู่
บางครั้งเราก็สงสัยจริง ๆ น้าว่าคุณหลินแข็งแกร่งขนาดไหน… เชอร์รี่ใคร่ครวญในใจ
ความสามารถที่สามารถเปลี่ยนแปลงการรับรู้ของผู้อื่นได้นี่แทบจะเป็น ‘กฎเกณฑ์’ ในตัวมันเองได้แล้ว มันเป็นอะไรที่ขนาดคนในระดับภัยพิบัติยังไม่แน่ว่าจะบรรลุได้ และเป็นสิ่งที่สงวนไว้ให้พวกที่อยู่ในระดับเหนือนภาเท่านั้น
แต่สำหรับคุณหลิน ความสามารถนี้เป็นแค่หนังสือเล่มหนึ่งจากหนังสือนับไม่ถ้วนในคอลเล็กชันของเขาที่เขาสามารถหยิบยื่นให้คนอื่นได้อย่างไม่ติดใจอะไรเท่านั้นเอง…
“คอนกรีฟ นายทำตัวเองทั้งนั้น” เชอร์รี่หยุดฝีเท้าลงแล้วสูดหายใจลึก ๆ ในขณะที่จ้องมองที่ประตูห้องส่วนตัวห้องหนึ่ง
เธอแน่ใจแล้วว่าหลังประตูบานนี้จะมีการซุ่มโจมตีที่เกินกว่าที่จะจินตนาการได้ซ่อนอยู่ คอนกรีฟต้องเป็นไอ้โง่ตัวเอ้แน่ ๆ ถ้าเขาไม่ฉวยโอกาสนี้ในการจับตัวเธอ
ไม่มีเวลาให้เสียแล้ว!
ผลของ ‘คาถาดลใจ’ ไม่ได้คงอยู่นาน เธอต้องบันทึกทุกหลักฐานที่มี ทำลายสินค้าที่ใช้ในแลกเปลี่ยนแล้วหลบหนีไปให้ได้ในระยะเวลาสั้น ๆ
—
“นายพูดผิดไปเรื่องนึงนะ”
มังกรทะยานได้ยินอสรพิษดำพูดออกมาจากข้างหลังเขา “เส้นทางการล้างแค้นของไวลด์น่ะล้มเหลว ที่จริงแล้วคู่กรณีที่ทำให้ใบหน้าของเขาเสียโฉมหายไปแบบที่ตัวไวลด์เองก็หาไม่เจอมาหลายทศวรรษแล้วล่ะ”
มังกรทะยานนิ่งไปครู่หนึ่ง เขาอาจจะดูเฉยเมยและไม่อยากจะเสวนาต่อ แต่ลึก ๆ แล้วเขากำลังพยายามห้ามตัวเองไม่ให้เถียงอยู่
น่าเศร้าที่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาสำหรับการโต้วาทีว่าด้วยไวลด์ที่พวกเขาต่างสนใจอย่างออกรสกันนัก
“เรื่องนี้อาจจะมีการตีความไปในแง่มุมอื่นได้ก็จริง แต่คงมีแค่คนที่ได้เจอกับเขามาจริง ๆ เท่านั้นแหละที่จะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่” มังกรทะยานทอดถอนใจ “ไม่ว่ายังไงไวลด์ก็ยังไม่ถูกพบตัว โจเซฟตั้งค่าหัวมาสองปีแล้ว แถมยังเพิ่มค่าหัวมาหลายครั้งแล้วด้วย แต่ไวลด์ก็ยังหายต๋อมไม่รู้ข่าวคราวอยู่ดี”
“บางทีเขาอาจจะตายไปนานแล้วก็ได้นะ” อสรพิษดำพูดเบา ๆ
“เป็นไปไม่ได้! นายคิดว่าไวลด์เป็นใครฮึ? ถ้าขนาดโจเซฟยังไม่เชื่อว่าเขาตาย แล้วแฟนบอยอย่างเรา ๆ จะไปแช่งเขาได้ยังไง?” มังกรทะยานเปล่งเสียงอย่างดูแคลน
ยิ่งพูดเขาก็ยิ่งหงุดหงิด แต่เมื่อเขาเตือนตัวเองถึงสถานการณ์ในตอนนี้ เขาก็โบกมือไปมาแล้วสงบตัวเองลง “ช่างมันเถอะ ไว้เราคุยกันต่อหลังจบงานเลี้ยงโลหิตแล้วกัน”
มังกรทะยานไม่ได้คาดหวังว่าสมาชิกเก็บตัวคนนี้จะตอบกลับเลย
ทว่าเขาไม่ได้คิดฝันเลยว่าอสรพิษดำจะส่งสายตาพินิจเขาแล้วพยักหน้าน้อย ๆ “นั่นสินะ หลังเรื่องนี้จบ เราค่อยคุยหัวข้อนี้กันต่ออย่างจริงจังก็ได้”
มังกรทะยานปลาบปลื้มใจมากที่ตนสามารถทำให้หัวใจเย็นชาของเจ้าหมอนี่อบอุ่นลงได้ด้วยความกระตือรือร้นของเขาเอง แล้วเขาก็ผลักประตูบานใหญ่ของห้องลับให้เปิดออก
ข้างในนั้น ผู้เข้าร่วมงานอีกสิบคนในระดับสัตว์ประหลาดรออยู่ก่อนแล้ว…
ผ้าปูโต๊ะสีแดงเล่นดิ้นสีทองพาดอยู่บนโต๊ะตัวใหญ่ ทำให้มันดูราวกับว่าโต๊ะทั้งโต๊ะนั้นเปื้อนไปด้วยเลือด ชุดอาหารที่ประณีตยั่วน้ำลายวางเต็มโต๊ะพร้อมกับถ้วยทองคำโหลหนึ่งที่วางตรงหน้าเก้าอี้แต่ละตัว พร้อมจัดพิธีกรรมอย่างเต็มรูปแบบ
ผู้เข้าร่วมงานที่มาถึงแล้วทั้งสิบต่างหันใบหน้าที่สวมหน้ากากไม่เหมือนกันเลยมาทางประตู
“อะแฮ่ม เยี่ยมเลย ดูเหมือนทุกคนจะมากันครบแล้ว”
มังกรทะยานนำสมาชิกใหม่เข้ามาแล้วพูดทันที “ขออนุญาตแนะนำตัว นี่คือสมาชิกใหม่ล่าสุดของงานเลี้ยงโลหิต โค้ดเนมอสรพิษดำ หวังว่าพวกคุณทั้งหมดจะเข้ากันได้อย่างกลมเกลียวในความพากเพียรต่อ ๆ ไปนะ”
“นอกเหนือจากนั้น ในวันนี้เรายังมีภารกิจอีกอย่างที่ต้องทำด้วย”
เขาเดินไปที่หัวโต๊ะแล้วประกาศ “ผมเชื่อว่าพวกคุณทุกคนคงสัมผัสได้แล้วว่าห้องนี้เชื่อมอยู่กับห้องข้าง ๆ อีกห้องหนึ่งและมีคนในระดับสัตว์ประหลาดอยู่อย่างน้อยสิบคน สบายใจได้นะ พวกเขาไม่ใช่ศัตรูของเรา แต่เป็นมิตรของเราต่างหาก”
“มิตรเหรอ?”
หนึ่งในสิบคนนั้นถามขึ้นมา “ครั้งนี้มีภารกิจด้วยเหรอ?”
มังกรทะยานพยักหน้า “และอีกครั้ง ผมเชื่อว่าทุกคนต่างรู้ดีว่างานเลี้ยงโลหิตได้ถูกจัดขึ้นในสถานที่ปลอดภัยและรัดกุมโดยการสนับสนุนจากหอการค้าแอช ครั้งนี้เราได้รับภารกิจเล็กน้อยมาจากพวกเขาซึ่งไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไรมากเลย แน่นอน โปรดเชื่อผมว่าเราจะไม่ใช่กำลังหลักในปฏิบัติการณ์นี้ แต่เป็นพวกที่อยู่ในห้องถัดไปต่างหาก”
“แล้วเราต้องทำอะไรล่ะ? แล้วค่าตอบแทนล่ะ? อย่าแม้แต่จะคิดเชียวว่าฉันจะกระดิกนิ้วถ้าไม่ได้รับค่าตอบแทนที่สมน้ำสมเนื้อ เราไม่ใช่แรงงานทาสที่ใครจะใช้ก็ได้นะ” สมาชิกคนเดิมเย้ยหยันพลางเอนตัวพิงพนักเก้าอี้
มังกรทะยานอธิบายรายละเอียดงานต่อตามหน้าที่ “ถ้าหลังจากนี้มีอะไรเกิดขึ้น เราก็แค่ต้องผนึกสถานที่ไม่ให้ใครออกได้เท่านั้นแหละ แต่ว่าผมเชื่อว่าความเป็นไปได้ที่เรื่องนี้จะเกิดขึ้นคงแทบจะเป็นศูนย์”
“ส่วนค่าตอบแทน ไม่ว่าผลของภารกิจนี้จะเป็นยังไง แต่พวกคุณแต่ละคนจะมีสิทธิ์จองซื้อของชิ้นใดก็ได้ในระดับสัตว์ประหลาดจากหอการค้าแอช ถ้าภารกิจสำเร็จ จะแถมบัตรส่วนลด 50% ที่ใช้ได้ในระยะเวลาครึ่งปีให้พวกคุณแต่ละคนด้วย ว่ายังไงล่ะ?”
กลุ่มคนที่อยู่ในงานเลี้ยงโลหิตมองหน้ากันแล้วต่างก็พยักหน้าโดยพร้อมเพรียง พวกเขาทั้งหมดต่างถูกกล่อมให้สงบลงโดยค่าตอบแทนที่จะได้จากภารกิจนี้
สมาชิกที่เอนหลังพิงเก้าอี้พูดขึ้นอีกครั้ง “เอาล่ะ ตามธรรมเนียม คนมาใหม่จะต้องเริ่มเสนอการแลกเปลี่ยนก่อน ไหนล่ะของที่นายจะเสนอ?”
เขาเหลือบมองเจ้าคนหน้าใหม่แล้วมองไปที่สุนัขสีขาวตัวใหญ่ข้าง ๆ เขา “คงไม่ใช่หมาของเขาหรอกใช่ไหม? ฉันยอมรับนะว่ามันน่ารักไม่หยอก แต่ฉันไม่คิดว่ามันจะมีราคาค่างวดนักหรอก”
บรรยากาศในห้องนั้นเปลี่ยนไปเล็กน้อย…
อสรพิษดำก้าวออกมาแล้วดึงหนังสือเล่มหนึ่งออกมาจากชุดคลุมของเขา แล้วชูมันขึ้นสูง
นี่ดึงความสนใจของทุกคนได้ทันที สิ่งที่พิมพ์อยู่อย่างชัดเจนบนหน้าปกหนังสือมีเพียงหกคำ ‘นิกายกลืนศพ : พิธีกรรมและขนบธรรมเนียม’
อสรพิษดำเอ่ยขึ้นด้วยความคลั่งไคล้ “ขอแนะนำให้พวกนายรู้จักกับผู้เผยแพร่ผู้ยิ่งใหญ่แห่งคำสอนแห่งเลือดเนื้อ ผู้เขียนคนแรกของนิกายกลืนศพ : พิธีกรรมและขนบธรรมเนียม”
“เขาผู้ทรงพลัง แข็งแกร่งและเมตตาที่สุด พระเจ้าอันรุ่งโรจน์และผู้กอบกู้ของเรา เจ้าของร้านหนังสือ…คุณหลิน”
ชุดคลุมของเขาเผยอออกจากการขยับตัวอย่างกระฉับกระเฉงของเขา เผยให้เห็นใบหน้าที่ครอบหน้ากากไว้และเส้นผมสีขาวดั่งหิมะ พร้อมด้วยดวงตาอสรพิษสีเขียวที่วาวโรจน์อย่างเย็นชาที่ทิ่มแทงไปทั่วห้อง
”วะ…ไวลด์เหรอ?!”
ทุกคนในห้องต่างผงะ ชี้นิ้วมาที่เขา และต่างพูดอะไรไม่ออก
มังกรทะยานหัวเราะอย่างอารมณ์ดีพลางพยายามควบคุมสถานการณ์ “เขาแค่ดูเหมือนน่า เขาจะไป…”
ก่อนที่เขาจะทันพูดจบ แรงกดดันรุนแรงของระดับภัยพิบัติก็ขัดจังหวะเขา เขาตะลึงไปทันทีและทำได้เพียงจ้องสมาชิกใหม่ที่ใช้โค้ดเนม ‘อสรพิษดำ’ ด้วยน้ำตาคลอเบ้า
ไวลด์ที่กำลังเล่นกับมีดพิธีกรรมของเขายิ้มอย่างสง่างามแล้วโค้งอย่างมีมารยาท
“เอาล่ะฟังนะ เรามาแลกเปลี่ยนกันต่อเถอะ พวกนายจะแลกด้วยความเชื่อของพวกนาย…”
“หรือชีวิต!”
ปากของสุนัขสีขาวตัวใหญ่ข้าง ๆ เขาแหวกออกกว้างจนถึงสุดแนวกราม แล้วฉีกผ่านหูเลยไปจนถึงลำตัว มันดูราวกับว่ามันกำลังลอกคราบ ด้านในของมันยุ่งเหยิงไปด้วยเส้นหนวดสั้น ๆ ที่กระดิกไหวพร้อมด้วยชั้นเขี้ยวคมกริบเรียงซ้อนกัน
เอื้อก!
กองเลือดเนื้อที่ยุกยิกได้เริ่มขยายตัวแล้วแผ่ออกอย่างรวดเร็วจนน่าใจหาย
ปัง!
โต๊ะงานเลี้ยงยาวถูกทุบแตก
โครม!!
เสียงของแตกหักดังไปทั่วห้องเมื่อทุกอย่างบนโต๊ะร่วงลงที่พื้น พวกคนระดับสัตว์ประหลาดทั้งสิบตะเกียกตะกายหนีเอาตัวรอด พวกเขาบางคนกลัวจนตัวแข็งทื่อจนแทบจะกลายเป็นหนึ่งเดียวกับผนังห้องได้อยู่แล้ว
ในท้ายที่สุดเจ้าหมาสีขาวก็กลายมาเป็นสิ่งที่ตัวใหญ่ที่สุดในห้องนี้ หัวของมันที่เหมือนหัวกะโหลกหมาป่าถูกรัดด้วยผิวหนังที่เต็มไปด้วยก้อนตะปุ่มตะป่ำ
เส้นขนยุ่งเหยิงขาดวิ่นคลุมรอบร่างของมันไว้หลวม ๆ สิ่งที่ดูเหมือนกระดูกสันหลังที่คมกริบเหมือนใบมีดแนบกับเพดาน มือเท้าจำนวนมากที่ติดกับร่างของมันกระตุกบิดเบี้ยว และลูกตาที่เหลือกถลนของมันจับจ้องเหล่าผู้เข้าร่วมงานเลี้ยงโลหิตอย่างหิวกระหาย
“ไม่ ไม่ ไม่…”
สมาชิกระดับสัตว์ประหลาดคนหนึ่งตกใจกลัวเสียจนส่ายหน้าอย่างแรงด้วยความไม่อยากเชื่อจนหน้ากากของเขาร่วงลงจากหน้า ขาของเขาสั่นเทิ้มอย่างคุมไม่ได้พร้อมกับเป้ากางเกงที่ชุ่มด้วยกลิ่นแอมโมเนีย เขาฉี่ราดด้วยความกลัว
“ไม่เต็มใจทำงั้นเหรอ?” สีหน้าของไวลด์เปลี่ยนเป็นเย็นชา
ทันใดนั้น แขนขาข้างหนึ่งของเกรดี้ทะลวงเข้าไปในกรามล่างของสมาชิกระดับสัตว์ประหลาดคนนี้ ทะลุกะโหลกออกมา แล้วยกร่างไร้ชีวิตของเขาขึ้นบนอากาศ
ก่อนที่จะทันได้มีโอกาสอธิบาย ดวงตาทั้งสองของเขาก็กระดอนออกมาจากเบ้า จากนั้นพวกเขาก็หมดลมหายใจไปแล้ว…