เจ้าของร้านพิศวง - บทที่ 199 ปลุกยักษ์จากภายใน
บทที่ 199 : ปลุกยักษ์จากภายใน
อันที่จริงหลินเจี๋ยก็ไม่ได้รู้หรอกว่าโจเซฟมาที่นี่เพื่อซื้อหนังสือหรือเปล่า?
พูดจริง ๆ แล้ว มูเอนได้รายงานเรื่องที่กลุ่มของวินเซนต์กับโบสถ์แห่งจุดสูงสุดใกล้ถึงจุดระเบิดใส่กันอย่างเต็มที่ให้เขาฟังแล้ว ต่างฝ่ายต่างรอให้เกิดความขัดแย้ง และสถานการณ์ก็ตึงเครียดอยู่ตลอดเวลา ในขณะที่ฝ่ายหนึ่งเตรียมพร้อมโจมตีครั้งสุดท้าย อีกฝ่ายก็เตรียมพิธีกรรมครั้งสุดท้ายเช่นกัน…
ในสถานการณ์คับขันเช่นนี้ โจเซฟย่อมไม่มีเหตุผลที่จะมาเยี่ยมเขาเพื่อซื้อหนังสือเลย เขาคงมาที่นี่เพื่อข้อมูลรายละเอียดของมิคาเอลและวิถีแห่งดาบอัคคีมากกว่า
แต่ทุกคนที่นี่ต่างหน้าหนาเยี่ยงโจรไปแล้ว คุณจะมาพูดแค่เรื่องธุรกิจเมื่อคุณเข้ามาในร้านของผมเหรอ?
มิตรภาพของเราตื้นเขินขนาดนั้นเลยเหรอ?
หรือการพบกันอย่างจริงใจหลายต่อหลายครั้งของเรานั้นถูกเสียยิ่งกว่าราคาหนังสือ?
ดังนั้นก่อนที่จะเข้าเรื่อง เรามาทำธุรกรรมกันอย่างฉันมิตรเพื่อกระชับมิตรกันเถอะ!
ใช่แล้ว หลินเจี๋ยกำลังคว้าโอกาสที่ลอยมาตรงหน้า แล้วเริ่มใช้คำพูดลื่นไหลของเขาในการโปรโมตหนังสืออีกครั้ง
แม้ว่าโจเซฟจะมาที่นี่โดยไม่มีเจตนาซื้อหนังสือก็ตาม แต่เขาก็ต้องอับอายที่จะบอกเหตุการมาเยือนแน่ ๆ เมื่อได้ยินคำถามนี้ และจะพูดได้ก็ต่อเมื่อซื้อหนังสือแล้วเท่านั้น
ทว่าเทคนิคนี้จะต้องใช้กับลูกค้าที่รู้จักกันในระดับหนึ่งเท่านั้น โดยเฉพาะพวกที่มาขอความช่วยเหลือ แล้ววิธีอันสะดวกและเหมาะสมนี้ก็จะแสดงผลที่ยืนยันประสิทธิภาพของมันครั้งแล้วครั้งเล่า
ถ้านี่เป็นลูกค้าธรรมดาคนอื่น คำถามนี้คงไม่ต่างจากคำถามไร้พิษภัยทั่วไปที่ถามถึงสาเหตุการมาเยือนร้านหนังสือ
โจเซฟตอบคำถามนี้ไม่ออกไปครู่หนึ่งอย่างไม่น่าแปลกใจเลย เขาได้สติอย่างรวดเร็วแล้วพยักหน้า “ผมมาซื้อหนังสือจริง ๆ ครับ ถึงหนังสือเล่มก่อนที่คุณเลือกให้ผมจะยอดเยี่ยม แต่เนื้อหามันก็ค่อนข้างล้ำลึกอยู่”
“ผมต้องบอกว่าทักษะการสรุปความของผมเหมือนจะตามมันไม่ทัน ดังนั้นผมเลยเชื่อว่าผมคงต้องพัฒนาตัวเองให้มากกว่านี้ก่อน ก่อนที่ผมจะอ่านมันได้อย่างเต็มที่ครับ”
หนังสือเล่มแรกที่เขาได้รับนั้นน่าอัศจรรย์ในด้านการเป็นตัวช่วยในการต่อสู้ แต่มันก็ไม่ได้มีผลในการเพิ่มแสนยานุภาพของตัวโจเซฟเอง ในขณะที่หนังสือเล่มที่สองที่เขาได้รับมานั้นใช้อีเธอร์ของตัวเองมากเกินไป และยังคาดการณ์อะไรไม่ได้เช่นกัน
เมื่อครั้งก่อน การอัญเชิญร่างในชุดคลุมสีเหลืองนั้นต้องใช้อีเธอร์ทั้งหมดในร่างของโจเซฟร่วมกับการสังเวยส่วนหนึ่งของสิ่งอัญเชิญของจุยคาคุด้วย ภายใต้สถานการณ์ปกติแล้ว การทำเช่นนี้จะทำให้เขาไม่สามารถต่อสู้ต่อได้เลย…
หนังสือทั้งสองแทบใช้ในสถานการณ์ทั่วไปไม่ได้เลย… และมันช่างน่าเสียดาย
ในตอนนี้ที่เขาพยายามขึ้นสู่จุดสูงสุดและได้รับความมั่นใจมาใหม่ โจเซฟก็มีเป้าหมายที่ชัดเจนแล้ว นั่นก็คือขึ้นสู่ระดับเหนือนภา!
เจ้าของร้านหลินรู้อยู่แล้ว แหงล่ะ…ไม่จำเป็นต้องทึ่งเลย มันเกิดขึ้นอยู่ตลอด
จู่ ๆ โจเซฟก็นึกถึงตอนที่เจ้าของร้านหลินบอกให้มูเอนปิดประตูร้านในตอนที่เขากำลังจะเดินเข้ามาขึ้นมา
ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าเจ้าของร้านหลินรอการมาถึงของเขาอยู่ แล้วเขาก็แค่จงใจแหย่เขาเล่น
แม้เขาจะอ่านความคิดของโจเซฟไม่ได้ก็ตาม แต่หลินเจี๋ยก็ยังปลื้มใจในตัวเองอยู่ดี
ดูคุณลุงคนนี้สิ ประหม่าใหญ่แล้ว
คุณมาด้วยเรื่องเป็นทางการแต่หยิบออกมาพูดไม่ได้ ได้แต่พูดเออออตามการนำของเราแล้วแฉลบไปพูดเรื่องหนังสือ แล้วตอนนี้ก็ทำกระทั่งอธิบายยืดยาวเพื่อกล่อมตัวเอง
ถึงมันจะตรงตามหลักจริยธรรมนัก แต่หลินเจี๋ยก็อดหยีตาเป็นเส้นไม่ได้ในขณะที่แย้มยิ้มชั่วร้ายกับความคิด ‘นักฉวยโอกาส’ นี้
“อะแฮ่ม”
หลินเจี๋ยคุมตัวเองแล้วกลับมาพูดด้วยโทนเสียงจริงจัง “การตระหนักในตนเองเป็นสัญญาณที่ดีแล้วครับ แต่คุณควรจะมาที่นี่บ่อย ๆ ในอนาคตนะ เพราะถึงยังไง คนเราก็ไม่มีใครแก่เกินเรียนอยู่แล้ว”
“คลังหนังสือของผมไม่เล็กเลย ดังนั้นขอแค่ถาม คุณก็จะได้รับมัน ถ้าคุณพบว่าตัวเองมาถึงทางตันเมื่อไหร่ คุณก็สามารถมาหาผมที่ร้านหนังสือได้ทุกเมื่อเลยนะครับ”
หลินเจี๋ยนั้นคุยโวเกี่ยวกับร้านหนังสือของเขาอย่างจริงแท้ แต่เขามีหนังสือทั้งหมดบนโลกในคลังหนังสือของเขาจริง ๆ ดังนั้นมันจึงไม่เชิงเป็นโฆษณาเกินจริงเท่าไหร่นัก
โจเซฟตอบกลับจากก้นบึ้งหัวใจ “คุณถ่อมตัวไปแล้วครับเจ้าของร้านหลิน ร้านหนังสือของคุณนี่เต็มไปด้วยหนังสือที่ผมไม่แม้กระทั่งจะฝันถึงได้เลย”
ตาลุงนี่ยอคนเก่งดีแท้…หลินเจี๋ยคิดในใจอย่างพึงพอใจ
หลินเจี๋ยกลับไปนั่งเอาคางเท้ามือที่ประสานกันไว้พร้อมด้วยรอยยิ้มตามความเคยชิน “ในสถานะปัจจุบันที่คุณอยู่ การใช้วิธีธรรมดาเพื่อพัฒนาตัวคุณเองคงไม่แสดงผลที่ชัดเจนหรอกครับ โดยเฉพาะในด้านความแข็งแกร่งเชิงกายภาพ”
“และเพราะอย่างนั้น ผมเลยอยากแนะนำให้คุณขุดลึกเข้าไปดึงความสามารถภายในของคุณออกมา”
หลินเจี๋ยหยิบหนังสือชื่อ ‘ปลุกยักษ์จากภายใน’ ออกมาจากชั้นหนังสือข้าง ๆ เขา
ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้คือแอนโธนี ร็อบบินส์ ชายผู้มีอาชีพหลักเป็นผู้พูดสร้างแรงบันดาลใจ เขามีฉายามากมายเช่น ‘ปรมาจารย์ผู้พัฒนาทัศนคติ’ ‘ติวเตอร์ตัวท็อปของโลก’ ‘ปรมาจารย์ผู้ปลดผนึกศักยภาพไปทั่วโลก’ และอีกมากมาย…ไม่ว่าอย่างไรเขาก็เรียกได้ว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านของเขา
เขาให้ทั้งคำปรึกษาและการสร้างแรงบันดาลใจต่อเหล่าประธานาธิบดี เหล่าผู้นำ รวมไปถึงเหล่าคนดังทั่วโลก ยิ่งกว่านั้น เขายังมีบริการ ‘ฝึกฝนกำลังใจ’ ให้กับกองทัพสหรัฐอเมริกาด้วย
การเปลี่ยนการพูดมาเป็นอาชีพที่ทำงานได้แล้วหากินกับมันนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย คนอื่น ๆ ทำได้เพียงแค่จินตนาการถึงลิ้นสาลิกาที่เขาใช้ทำเช่นนี้เท่านั้น ยิ่งกว่านั้น ความสำเร็จของเขายังคล้ายคลึงกับสิ่งที่หลินเจี๋ยทำอยู่ในตอนนี้มาก…
พูดง่าย ๆ ก็คือ ทั้งคู่ก็แค่ตุ๋นคนโดยใช้พื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ สรีระและแนวความคิด
เมื่ออ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว คนส่วนใหญ่ก็จะรู้สึกเหมือนได้รับการปลอบประโลมจิตใจยกใหญ่ ทว่าถ้ามันมีความสามารถที่ทำให้ผู้คนเปลี่ยนการกระทำราวกับได้ยาตามที่เขาเขียนไว้ และทำให้พวกเขาเชื่อหมดใจว่าพวกเขาทำอย่างนั้นได้จริง ๆ ล่ะก็ ถ้าอย่างนั้นมันจะน่ากลัวมาก ๆ
ทั้งหมดทั้งมวลแล้ว การที่เขามาถึงระดับนี้ในสายงานนี้ได้หมายความว่าร็อบบินส์จะต้องมีลูกเล่นอะไรอยู่บ้าง และตอนนี้หลินเจี๋ยก็ใช้เขาเพื่อตุ๋นคุณลุงโจเซฟ
“ศักยภาพของมนุษย์นั้นอยู่ภายในความคิดสร้างสรรค์ที่ไร้จุดจบในตัวเองครับ มันอยู่ในวิญญาณและเจตจำนงของพวกเขา ไม่ใช่ร่างกายของพวกเขา”
“ผมบอกได้ว่าคุณต้องทุ่มเทความพยายามอย่างมากเพื่อฝึกฝนร่างกายของคุณแน่ ๆ และมันส่งผลดีจริง ๆ ครับ”
“แต่ว่าในตอนนี้ คุณพบว่าตัวคุณเองไม่สามารถข้ามผ่านอุปสรรคของคุณได้ และเพราะงั้นคุณควรเลือกมองเข้าไปแล้วหาตัวตนภายในของคุณได้แล้วล่ะครับ”
เพราะถึงอย่างไร ในช่วงอายุช่วงท้ายอย่างคุณ ขนาดอาร์โนลด์ ชวาร์ซเซเนกเกอร์ยังตัวบวมขึ้นเลย…
แม้ว่าเขาจะเคยเป็นตำรวจ แต่โจเซฟก็เกษียณมาสักพักแล้ว และควรใช้เวลานี้เพื่อบ่มเพาะตนเอง เขาสามารถกระทั่งเรียนรู้จากชวาร์ซเซเนกเกอร์แล้วแหย่เท้าเข้าไปในแวดวงการเมืองก็ได้
หลินเจี๋ยส่งหนังสือให้กับโจเซฟแล้วเสิร์ฟซุปไก่ของเขาเอง “ในชีวิตคนเราควรมีเป้าหมายสองเป้าที่ควรนำตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้อง นั่นคือหลีกเลี่ยงความทุกข์และไล่ตามความสุขครับ”
“เมื่อเรื่องนี้จบลง ผมแนะนำให้คุณ โจเซฟ ควรจะเริ่มพิจารณาทิศทางที่คุณอยากจะไปนะครับ บางทีเมื่อคุณตัดสินใจได้ คุณอาจจะปลุกยักษ์ในตัวคุณเองแล้วปีนสู่ระดับถัดไปได้ก็ได้นะครับ”
ส่วนทิศทางนั้น…อาจารย์วิชาชีวิตผู้ละเอียดลึกซึ้งหลินเจี๋ยจะพูดแค่คร่าว ๆ ไปก่อน
เมื่อเห็นสีหน้าตกตะลึงแล้วตระหนักรู้เหมือนพบทางสว่างของโจเซฟ เขาก็ฉีกยิ้ม เสร็จตูล่ะ
ไม่ว่าเขาจะขายของได้ไหมนั้นไม่ใช่ประเด็นหลัก สิ่งที่เป็นประเด็นจริง ๆ คือเมื่อโจเซฟแสดงท่าทีมีแนวโน้มเป็นชายชราผู้โดดเดี่ยวแล้วออกนอกลู่นอกทางไป หลินเจี๋ยก็ได้เอ่ยขึ้นมาว่าการอ่านหนังสือจะช่วยพัฒนาชีวิตของเขาให้ดีขึ้นได้…
ปากของโจเซฟแห้งผากในขณะที่หัวใจของเขาสั่นสะท้าน ครั้งล่าสุดที่เขารู้สึกคล้าย ๆ กันนี้คือเมื่อครั้งที่เขาค้นพบว่าตัวเองมีคุณสมบัติที่จะเป็นอัศวินได้เป็นครั้งแรก
ชื่อของหนังสือเล่มนั้นคือ ‘เขตแดนวิญญาณเสมือน’ เนื้อหาภายในนั้นน่าอัศจรรย์ ราวกับเป็นประตูบานยักษ์ที่นำไปสู่โลกที่ไม่คุ้นเคยที่เปิดออกอย่างช้า ๆ ตรงหน้าโจเซฟ
นี่เป็นวิธีการฝึกที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน และทุกอย่างที่เคยรู้ก็ถูกล้มล้างไป มันคือการใช้วิญญาณของตนเองในการบ่มเพาะอีเธอร์ ใช้จินตนาการเพื่อปลดผนึกศักยภาพที่ซ่อนอยู่ในตัวบุคคล เมื่อกระทำการเช่นนี้ซ้ำ ๆ กันหลายครั้ง เขาจะสามารถสร้างป้อมปราการยักษ์ในวิญญาณของเขาเป็นฐานเพื่อสั่งสมพลังต่อได้
ไม่ใช่ว่านี่ไม่ต่างกับระดับพลังขั้นเหนือนภาเหรอ?