เจ้าของร้านพิศวง - บทที่ 200 ความรู้
บทที่ 200 : ความรู้
โจเซฟเมามายกับเนื้อหาในหนังสือ
ข้อมูลทั้งหมดของมันทะลักไหลเข้ามาเต็มภวังค์ความคิดทันทีที่ดวงตาของเขามองไปที่ข้อความแต่ละคำ
ไม่จำเป็นต้องคิดหรือขวนขวายหาความรู้เลย ไร้การตรากตรำทำงานใด ๆ เพียงแค่อยู่เฉย ๆ แล้วยอมรับการไหลเข้ามาของความรู้อย่างไม่ขาดสายเท่านั้นเอง
นี่เป็นความรู้สึกที่ดีอย่างไม่น่าเชื่อ
ระดับการรู้คิดของโจเซฟและวิญญาณของเขารู้สึกราวกับว่ามันถูกเติมเต็มและขยายตัวออกเรื่อย ๆ
มันเหมือนกับว่าความแข็งแกร่งของเขากำลังขยายตัวอย่างไม่รู้จบ แต่ก็ยังอยู่ภายใต้การควบคุม และทุกอย่างสามารถถูกเข้าใจได้อย่างง่ายดาย…
ทว่าโจเซฟก็หมายมาดว่าจะไม่ให้ตนเองจมในความรู้สึกนี้
เขาดึงตัวเองออกมาแล้วเบนสายตาหนีทันที ทันทีที่เขาทำเช่นนั้น การไหลบ่าของความรู้ก็จบลง
ในตอนนี้เขาก็ได้จัดเรียงความรู้ของตัวเองเล็กน้อย ตระหนักได้ว่าพลังของ ‘เขตแดนวิญญาณเสมือน’ นั้นไม่ได้เกี่ยวกับวิญญาณอย่างบริสุทธิ์ ในขั้นแรกมันจะสร้างเขตแดนที่ชื่อ ‘แดนวิญญาณ’ ขึ้นมาและสร้างกฎเกณฑ์ใหม่ขึ้นมาภายใน
แล้วจากนั้น เมื่อใช้จินตนาการในการปลดศักยภาพ ‘ภาพเสมือน’ ที่แข็งแกร่งนับไม่ถ้วนก็จะถูกควบแน่นขึ้นมาและใช้ในการต่อสู้
ทว่าเมื่อฝ่ายตรงข้ามมองทะลุกฎเกณฑ์ของแดนวิญญาณนี้ได้ หรือถ้ามีพลังไม่พอจะคงสภาพแดนวิญญาณไว้ได้ ภาพเสมือนจะสูญสลายและไร้ผลในทันที
แต่ในเมื่อมันมีพลังที่ทวีคูณนับร้อย หรือกระทั่งนับพันเท่า พลังนี้ย่อมทำให้จบการต่อสู้ได้ในเวลาสั้น ๆ
และระยะเวลาในแดนวิญญาณนี้ก็ยังอิงตามอีเธอร์ในร่างกายของเขาเอง
โจเซฟรู้สึกได้ลาง ๆ ว่านี่คือแดนคั่นระหว่างระดับภัยพิบัติและระดับเหนือนภา “กฎเกณฑ์”!
การเชี่ยวชาญ ‘กฎเกณฑ์’ คือทางเดียวที่เขาจะได้รับระดับเหนือนภา!
ยกตัวอย่าง เทพพิรุณระดับเหนือนภานั้นบรรลุกฎเกณฑ์ของฟ้าร้องฟ้าผ่า พระสังฆราชแห่งโบสถ์แห่งจุดสูงสุดนั้นได้รับอำนาจของ ‘เทพเจ้า’ โดยตรง ทว่านั่นก็เป็นพลังที่สร้างจาก ‘กฎเกณฑ์’ ด้วย
โจเซฟเข้าใจว่าเจ้าของร้านหลินได้มอบกุญแจที่สามารถเปิดประตูบานนั้นให้เขาได้ในครั้งนี้!
ในขณะเดียวกัน ความคิดของโจเซฟก็กระจ่างชัดด้วย ความรู้ในหนังสือเหล่านี้ไม่เคยรอให้คนมาเรียนมัน แต่มันกลับถูกมอบให้โดยตัวมันเอง
เหมือนที่หลินเจี๋ยพูดเมื่อก่อนไม่มีผิด ‘เมื่อคุณอ่านหนังสือ หนังสือก็จะอ่านคุณ’
ความรู้ทั้งหมดนี้ ‘มีชีวิต’!
เมื่อความรู้นี้ไหลเข้ามาในใจเขา มันก็ดูราวกับว่ามีเลือดใหม่ถูกฉีดเข้ามาในร่าง มันตื่นตัวขึ้นมาทันทีจนสามารถคิดได้ว่ามันนอนนิ่ง ๆ อยู่ในมุมไหนสักมุม รอจังหวะเข้ามาครอบงำทุกอย่างอยู่ตั้งแต่แรกแล้ว
ในขณะเดียวกัน สีหน้าของหลินเจี๋ยก็เกือบจะค้างจากการพยายามคงรอยยิ้มไว้ขณะมองโจเซฟที่ดูหมกมุ่นกับหนังสือไปแล้ว ชายหนุ่มรู้สึกว่าตัวเองไม่ควรรบกวนชายชราในตอนนี้ เขาจึงลุกขึ้นรินน้ำเพื่อดื่มเอง
มูเอนยืนรออยู่ข้าง ๆ มาสักพักแล้ว เธอพยายามจะมารินน้ำเมื่อเห็นการขยับตัวของหลินเจี๋ย แต่เจ้าของร้านก็ยกมือขึ้นหยุดเธอแล้วยิ้มส่งสัญญาณว่าเขาทำเองได้
เพราะถึงอย่างไรช่วงนี้มูเอนก็ค่อนข้างยุ่งอยู่ เธอดูแลคาเฟ่หนังสือร้านข้าง ๆ และช่วยวินเซนต์วางแผนจัดการกับโบสถ์แห่งจุดสูงสุดได้ดีมาก
เธอเป็นเด็กสาวมากความสามารถที่เชี่ยวชาญทั้งงานบ้านและชีวิตในสังคม และหลินเจี๋ยก็รู้สึกแย่ถ้าจะให้เธอมาคอยดูแลเขาแบบนี้
อะแฮ่ม…
ยิ่งกว่านั้น คาเฟ่หนังสือในช่วงสองสามวันมานี้ทำเงินได้มากกว่ารายได้รวมตลอดหลายปีของร้านหนังสือของเขาเสียอีก แม้ว่ามันจะเป็นสถานที่ชุมนุมของเหล่าสาวกก็ตาม แต่พวกเขาก็ยังต้องจ่ายค่าน้ำชา!
ผู้ช่วยฝีมือดีแบบนี้ต้องดูแลดี ๆ
หลินเจี๋ยกลับมาพร้อมแก้วใส่น้ำ แล้วพบว่าโจเซฟยังคงเหม่อจ้องหน้าหนังสือ
เอ่อ…ถึงการอ่านจะเป็นเรื่องดีจริง ๆ ก็เถอะ แต่เกรงว่าถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปเราคงคุยอะไรเป็นการเป็นงานไม่ได้แน่
หลินเจี๋ยเหลือบมองท้องฟ้าข้างนอก แล้วเอนตัวเข้ามาถาม “คุณโจเซฟ เป็นยังไงบ้างครับ? คุณรู้สึกกระจ่างใจขึ้นบ้างไหม หรือรู้สึกว่ามันเข้าใจยากไปหน่อยครับ?”
“คุณต้องไม่ฝืนตัวเองนะครับ ของแบบนี้มันฝืนกันไม่ได้ ไหลไปตามน้ำครับ ไม่อย่างนั้นมันจะลำบากที่คุณและจะให้ผลเชิงลบมากกว่า”
หลินเจี๋ยพูดพลางยื่นมือไปตบบ่าโจเซฟ
โจเซฟตื่นจากภวังค์ แล้วเม็ดเหงื่อก็ผุดเต็มหน้าผากของเขา
นั่นมันน่ากลัวจริง ๆ
เขายังคงมีความกลัวตกค้างอยู่ ทุกอย่างเกิดขึ้นในเวลาเพียงไม่กี่นาที และตลอดการดำเนินการก็ค่อนข้างราบรื่น แต่โจเซฟแน่ใจว่าถ้าตัวเองอ่านต่อไปอีกสักนิด เขาได้ถูกความรู้พวกนั้น ‘เขมือบ’ แน่!
จนตอนนี้ เขาก็ยังไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ ‘เขมือบ’ เขานั้นคือความรู้ หรือจินตนาการของตัวเขาเองกันแน่
ความรู้นี้…ดูจะไล่ตามมนุษย์อยู่
นั่นสินะ ยิ่งพลังแข็งแกร่ง ยิ่งอันตราย!
โดยเฉพาะหนังสือจากเจ้าของร้านหลินยิ่งตัวดีเลย
ถ้าเจ้าของร้านหลินไม่เตือนขึ้นมาทันเวลาล่ะก็ โจเซฟคงได้ตายแน่!
โจเซฟพยักหน้าเร็ว ๆ แล้วพูดขึ้น “คุณพูดถูก ผมวู่วามไปหน่อยและควรจะรอบคอบกว่านี้ ของแบบนี้มันต้องค่อยเป็นค่อยไปแท้ ๆ”
หลินเจี๋ยพยักหน้าแล้วพูดขึ้น “ใช่ครับ คุณพูดถูกแล้ว อย่าได้วู่วาม แล้วหนังสือเล่มนี้…”
โจเซฟเข้าใจเจตนาของเขาทันที “ผมซื้อครับ!”
รอยยิ้มของหลินเจี๋ยกว้างขึ้นในขณะที่เขารับหนังสือมาแล้วจัดแจงห่อมันอย่างชำนิชำนาญ
เขาใช้มือหนึ่งรับเงินแล้วส่งหนังสือด้วยอีกมือในขณะที่ให้คำแนะนำ “อย่าพึ่งพาอะไรที่เขียนไว้ในหนังสือนี้มากจนเกินไปนะครับ คุณต้องคิดเองด้วย การหลับหูหลับตาตามอาจทำให้คุณเจอทางตันได้นะครับ”
โจเซฟพยักหน้าเพื่อแสดงว่าเขาจะจดจำคำสอนของเจ้าของร้านหลินไว้
หลังจากคุยกันอยู่นานพอควร ในที่สุดหลินเจี๋ยก็ระลึกถึง ‘ธุระเป็นงานเป็นการ’ ที่โจเซฟต้องการหารือกับเขาขึ้นมาได้ โจเซฟเห็นด้วยกับหลินเจี๋ยอยู่ตลอดและดูเหมือนถ้าหลินเจี๋ยไม่พูดถึงมัน เขาก็จะไม่ยกมันขึ้นมาพูดเลย
ดังนั้น หลินเจี๋ยจึงกระแอมแล้วถามขึ้น “แล้วสถานการณ์ฝั่งคุณเป็นยังไงบ้างครับ? การเตรียมตัวผ่านไปได้ด้วยดีไหม?”
โจเซฟย่อมรายงานสถานการณ์ทั้งหมดต่อเจ้าของร้านหลินอยู่แล้ว
ในขั้นตอนต่อไป พวกเขาจะเผยแพร่หลักฐานสำคัญที่เชอร์รี่ได้รับมา และเปิดเผยความจริงที่โบสถ์แห่งจุดสูงสุดใช้แก่นจันทร์ศักดิ์สิทธิ์เพื่อควบคุมผู้คนด้วย
ต่อจากนั้นก็จะเป็นการปิดล้อมวิหารกลางที่โบสถ์แห่งจุดสูงสุด
หลินเจี๋ยพยักหน้าแล้วตัดสินใจให้คำใบ้กลาย ๆ “พวกคุณก็แค่ทำสุดฝีมือก็พอแล้วครับ ส่วนเจ้ากาเบรียลนั่นผมว่าเขาไม่มีพิษภัยอะไรเท่าไหร่ ดังนั้นอย่าห่วงเลย”
โจเซฟกับคนอื่น ๆ ควรวางใจก่อน ถึงตัวหลินเจี๋ยเองจะไม่แน่ใจก็ตาม แต่คนอื่น ๆ ก็ไม่ควรเสียขวัญ
ส่วนเรื่องที่เหลือ เขาก็ทำได้เพียงพึ่งพาตัวเอง
—
หลังจากส่งโจเซฟออกจากร้านไป หลินเจี๋ยก็สังเกตว่าเวลาล่วงเลยมามากแล้ว จึงตัดสินใจปิดร้าน
คืนนี้ชายหนุ่มจะเริ่มทำการทดลองขยายแดนนิมิตมาสู่ความเป็นจริง
หลินเจี๋ยพยายามลองทำอยู่หลายครั้งแล้ว แต่ทั้งหมดนั้นก็เป็นเพียงการทดลองวงแคบ ๆ ในตอนแรกเขาทำได้เพียงในห้องนอนของตัวเองเท่านั้น แล้วก็ขยายมาเป็นร้านหนังสือ แล้วเขาก็ค่อย ๆ เรียนรู้ที่จะแทรกเข้าไปในความฝันของคนอื่น ๆ แล้วขยายแดนนิมิตของเขาออก
การทดลองได้ผลดีมาก ชายหนุ่มพบตำแหน่งของวิหารกลางในความฝันของอัครสาวกคนหนึ่ง แล้วก็กำลังจะลองจับวิหารกลางทั้งวิหารเข้าไปในแดนนิมิตของเขา…
การทำเช่นนั้นอาจใช้เวลาเป็นวัน ๆ ดังนั้นจึงได้บอกมูเอนไว้ก่อนให้ออกห่างจากห้องนอนเขาเอาไว้
ชายหนุ่มกำลังจะ ‘เก็บตัวฝึกวิชา’