เจ้าของร้านพิศวง - บทที่ 205 อุปกรณ์เวทศักดิ์สิทธิ์ทั้งสอง
บทที่ 205 : อุปกรณ์เวทศักดิ์สิทธิ์ทั้งสอง
โจเซฟชะงักนิ่ง จากประสบการณ์ของเขาแล้ว เขาคิดว่าเจ้าของร้านหลินคงกำลังประเมินฝีมือของพวกเขาอยู่ ดังนั้นจึงถามอย่างระมัดระวัง “เจ้าของร้านหลิน ความฝันแบบไหนเหรอครับที่ทำให้คุณสนใจ?”
ทว่าหลินเจี๋ยไม่ได้พูดว่าเขาฝันเรื่องอะไร แต่เขาดูจะพินิจสีหน้าแปลก ๆ ของคนอื่น ๆ แล้วยิ้มอย่างลึกลับ
“ไม่มีอะไรมากหรอกครับ แค่มันให้ความรู้สึกพิเศษพอตัวที่ทำให้ผมเปลี่ยนความเห็นที่ผมมีต่อพวกคุณไปบ้างเท่านั้นเอง อ้อ…ไม่ใช่ในแง่ลบหรอกนะครับ”
“ข้างนอกออกจะหนาวนะครับ เรามาคุยกันต่อข้างในเถอะ”
กระดิ่งส่งเสียงออกมาเมื่อประตูร้านอ้าออกจนสุด หลินเจี๋ยที่กำลังฉีกยิ้มให้ผู้ช่วยและแขกผู้มีเกียรติทั้งสองของเขาเข้าไปในร้านก่อน
นี่เป็นเวลาราว ๆ ตีสี่ครึ่ง ทั้งนอร์ซินยังคงหลับใหล
ท้องฟ้าสีน้ำเงินที่ยังมีดวงจันทร์แขวนอยู่นั้นประดับไปด้วยดวงดาวพร่างพราย หมอกยามเช้าจาง ๆ ก่อตัวขึ้นบนถนน ทำให้ทัศนียภาพดูแปลกตาและสงบเงียบยิ่งกว่าเดิม
นี่ทำให้เสียงเอี๊ยดอ๊าดและเสียงกระดิ่งที่ประตูชัดเจนท่ามกลางสายลมยามเช้ายิ่งกว่าเก่า
โจเซฟและวินเซนต์มองหน้ากัน ต่างคนต่างเห็นตรงกันว่าการที่เจ้าของร้านหลินเปิดร้านในเวลานี้ แปลว่าอีกฝ่ายต้องรอพวกเขาอยู่เป็นพิเศษแน่นอน
ไม่อย่างนั้น ร้านหนังสือคงจะไม่เปิดทำการหรอก เพราะเวลาทำการปกติมักจะเป็นเวลาเจ็ดหรือแปดโมงเช้า
ยิ่งกว่านั้น ดูจากวิธีการพูดของเจ้าของร้านหลิน ไม่ใช่ว่าเขากำลังพูดอ้อม ๆ หรือว่าเจ้ากาเบรียลผู้โอหังที่โดนบี้ตายในทีเดียวนั้นเปรียบเหมือนยุงไร้สมองรนหาที่ตาย?
ที่สำคัญกว่านั้นก็คือคำพูดของเขาที่ว่า ‘เพิ่งจะฝันเรื่องน่าสนใจที่สุด’ และ ‘เปลี่ยนความเห็นที่ผมมีต่อพวกคุณไปบ้าง’
ทั้งสองคำพูดนี้ชัดเจนในตัวเอง และหมายความว่าพวกเขาเพิ่งจะเข้าไปในแดนนิมิตของเจ้าของร้านหลินกันมาอย่างไม่ต้องสงสัยเลย!
นับแต่ที่พวกเขาย่างกรายเข้าไปในวิหารกลาง ทุกคนในวิหารก็ได้เข้าไปยังแดนนิมิตโดยไม่รู้ตัวแล้ว พวกเขาทุกคนต่างกลายเป็น ‘เม็ดทราย’ เล็กจ้อยที่ร่างเงาใหญ่ยักษ์นั้นทอดสายตามอง…หรือพูดให้ถูกก็คือ พวกเขากลายเป็น ‘ตัวหมาก’
เมื่อนึกย้อนไป ท่าทางที่ร่างอันน่าหวาดหวั่นของเงานั้นยื่นออกมาบี้กาเบรียลดูเหมือนกับการหยิบตัวหมากออกไปจากกระดานอย่างมาก
ทุกคนที่อยู่ที่นั่นอยู่ภายใต้การควบคุมของเจ้าของร้านหลิน และเขาก็มองเห็นทุกอย่าง การกระทำของพวกเขาในเหตุการณ์นี้ต้องทำให้เจ้าของร้านหลินพอใจและมองพวกเขาดีขึ้นแน่ ๆ
บันทึกประวัติศาสตร์บัญญัติไว้ว่านอกจากเหล่าแม่มดบรรพกาลแล้ว ไม่มีใครอื่นที่เคยเข้าไปยังแดนนิมิตมาก่อน
ส่วนใหญ่แล้วนี่ก็เป็นเพราะนอกจากเป็นห้วงลึกไร้จุดจบแล้ว สัตว์ประหลาดที่แข็งแกร่งเกินจินตนาการยังคืบคลานอยู่ตามแดนนิมิตเหล่านี้ด้วย ยิ่งคนแข็งแกร่ง พวกเขายิ่งไม่อยากจะลองเข้าแดนนิมิตกันทั้งนั้น
อุปกรณ์เวทมนตร์อย่างตาข่ายดักฝันนั้นเป็นของต้องห้ามที่กระทั่งระดับภัยพิบัติยังไม่กล้าใช้ ยิ่งการเข้าแดนนิมิตด้วยตนเองยิ่งไม่ต้องถาม เนื่องด้วยอีเธอร์ของผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับสูงนั้นเป็นที่สังเกตได้ง่าย ซึ่งนั่นจะดึงดูดสัตว์ประหลาดมากมายให้แห่กันมาหาราวกับแมงเม่าพุ่งเข้ากองไฟ
ถ้าคนคนนั้นซวยพอไปเรียกสิ่งที่เกินจะรับมือได้มา ผลสุดท้ายเขาก็คงตายคาที่
ในระหว่างยุคมืดในตำนาน โศกนาฏกรรมที่เกิดจากแดนนิมิตที่รุกล้ำเข้ามาในความเป็นจริงนั้นเป็นเรื่องชวนขนหัวลุก แม้กระทั่งทุกวันนี้ สัตว์มายาที่หนีออกมาจากรอยแตกของแดนนิมิตเป็นครั้งคราวก็ก่อให้เกิดเรื่องน่าปวดหัวเกินพอแล้ว
ไม่มีคนสติดีที่ไหนอยากจะไปเผชิญหน้ากับสัตว์มายาเป็นฝูงร้อย ๆ พัน ๆ ตัวด้วยตัวคนเดียวหรอก
แต่ในตอนนี้ เจ้าของร้านหลินนั้นไม่ได้ทำเพียงเข้าสู่แดนนิมิตอย่างไร้ปัญหา เขายังสามารถสร้างแดนนิมิตของตัวเองขึ้นมาได้ด้วย หรือก็คือเขามีความสามารถสร้างแดนนิมิต!
ความแข็งแกร่งระดับนี้เกินจะเชื่อได้!
ในขณะที่โจเซฟออกจะด้านชากับความสามารถร้ายกาจของเจ้าของร้านหลินแล้ว แต่เขาก็ไม่เคยได้ประสบกับตัวเองมาก่อน ส่วนใหญ่แล้วเขามักจะได้เจอกับปัญญาอัน ‘รอบรู้ทุกเรื่อง’ ของเจ้าของร้านหลินมากกว่า
การถูกกักไว้ในแดนนิมิตครั้งนี้ทำให้เขาได้เห็นคนระดับเหนือนภาถูกบี้ตายเหมือนเป็นแค่มดตัวหนึ่งกับตาตัวเอง ความช็อกที่เขามีต่อเรื่องทั้งหมดนี้ทำให้เขาหมดคำพูด
เขาสูดหายใจลึก ๆ แล้วใช้มือกดหน้าอกไว้เพื่อสงบหัวใจที่เต้นแรงของเขาพลางเดินเข้ามาในร้านหนังสือ เขาพลันระลึกขึ้นได้ว่าที่เคาเตอร์มีเก้าอี้เพียงตัวเดียว ร้านหนังสือไม่ค่อยมีลูกค้าเข้าทีละหลายคน ดังนั้นจึงมีเก้าอี้ตัวสูงอยู่ที่นี่เพียงตัวเดียว
ในฐานะผู้ช่วยร้านหนังสือ มูเอนจึงไปรินน้ำเสิร์ฟทุกคนตามกิจวัตร และมันก็สมเหตุสมผลที่จะยกเก้าอี้ให้วินเซนต์ที่บาดเจ็บ
ใบหน้าของบาทหลวงยังซีดขาวราวกระดาษ เขาทุ่มเทสุดกำลังในศึกใหญ่นี้ ได้รับผลกระทบร้ายแรงถึงตายเพื่อสังหารเทพจอมปลอมระดับเหนือนภา แล้วก็เกือบทิ้งชีวิตของตนเองไปในท้ายที่สุด…
แต่ถึงอย่างนั้น ผลสุดท้ายก็ยังเป็นผลดีอยู่
จากวันนี้ไปต้นไป จะไม่มีโบสถ์แห่งจุดสูงสุดอีกต่อไป และสังฆมณฑลทั้งเจ็ดก็จะถูกสานต่อโดยศาสนาแห่งตะวันที่กำลังค่อย ๆ ก่อร่างสร้างตัว
หลังจากการมาเยือนวันนี้ วินเซนต์ก็คงต้องใช้เวลาแทบทั้งหมดไปกับการพัฒนาศาสนาแห่งตะวันแล้ว
ครั้งนี้โจเซฟก็แค่หมดเรี่ยวแรง ในตอนที่กาเบรียลปรากฏตัว แต่เดิมโจเซฟจะใช้เขตแดนวิญญาณเสมือนมาจัดการกับเขา แต่ปรากฏว่าเจ้าของร้านหลินได้วางแผนจัดการเขาไว้แล้ว ทำให้ในตอนนี้โจเซฟพอจะฟื้นตัวไปได้เป็นส่วนใหญ่แล้ว
เมื่อสังเกตเห็นเก้าอี้อาบแดดที่เก็บไว้อยู่ที่มุมร้าน โจเซฟก็พลันรู้สึกคิดถึงมันขึ้นมาลึก ๆ ในใจ เขาเดินไปนั่งบนนั้นแล้วลูบไปบนที่วางแขน
เหงื่อเย็น ๆ ผุดขึ้นทั่วร่างของโจเซฟเมื่อเขาระลึกถึงครั้งแรกที่เขามาเยือนร้านหนังสือ ในตอนนั้นเจ้าของร้านหลินทำเพียงลงโทษเขาสถานเบา และการที่เขาช่วยแก้ปัญหาดาบปีศาจให้นั้นหมายความว่าที่จริงแล้วในตอนนั้นเขากำลังอารมณ์ดี
ยิ่งโจเซฟใช้เวลากับเจ้าของร้านหลินนานเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งพบว่าเจ้าของร้านหนังสือนี้ยิ่งหยั่งถึงไม่ได้เท่านั้น…
โจเซฟเหลือบมองเจ้าของร้านหลินที่ยังยืนอยู่หน้าประตู การได้เห็นเจ้าของร้านหลินในชุดนอนนั้นไม่ได้เกิดขึ้นกันบ่อย ๆ เขาให้ความรู้สึกลึกลับยิ่งกว่าเจ้าของร้านหนุ่มที่มักจะนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่หลังเคาเตอร์เสียอีก
ความสามารถพรางตัวของเจ้าของร้านหลินนี้ช่างไร้ที่ติ โจเซฟคิดในใจ
หลินเจี๋ยพลิกแผ่นป้ายบนประตูแล้วลบข้อความ ‘ปิดทำการ 3 วัน’ แล้วเปลี่ยนเป็น ‘เปิดทำการ’ ตามปกติ
เขากลับมานั่งหลังเคาน์เตอร์แล้วจิบน้ำ “ปัญหาของพวกคุณคลี่คลายกันแล้วใช่ไหมครับ?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ชายทั้งสองต่างก็ชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นวินเซนต์จึงพยักหน้าแล้วตอบด้วยเสียงหดหู่ใจเล็กน้อย “ครับ โบสถ์แห่งจุดสูงสุดจะสร้างบาปต่อไปไม่ได้อีก ความแค้นของผมดับลงแล้ว แค่ว่าเราคงไม่มีวันช่วยพวกคนที่เสียชีวิตไปเมื่อถูกลากเข้ามาพัวพันกับเรื่องนี้ได้เลย”
ไม่ว่าจะเป็นบาทหลวงเฒ่าเทอร์เรนซ์หรือเพื่อนร่วมงานเก่าที่ถูกร็อดนีย์ลวงไปฆ่า ชีวิตเหล่านี้ต่างก็หวนคืนมาไม่ได้แล้ว รวมไปถึงอดีตในฐานะบาทหลวงของเขาด้วย
ณ จุดนี้ โจเซฟก็พูดขึ้น “โบสถ์แห่งจุดสูงสุดจะโอบล้อมด้วยความอัปยศไปตลอดกาล เราจะเผยแพร่ความผิดของพวกเขาทั้งหมด รวมไปถึงอาชญากรรมที่คร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์ หากำไรจากสาวก และอภัยโทษแก่เหล่าผู้มีอำนาจร่ำรวยด้วย”
“ส่วนเรื่องทรัพย์สินมากมายที่พวกเขาสะสมไว้ ครึ่งหนึ่งจะถูกยึดไป และที่เหลือจะถูกส่งให้ศาสนาแห่งตะวันเป็นสินไหมสำหรับปฏิบัติการณ์นี้ ส่วนวิหารก็จะถูกส่งต่อให้ศาสนาแห่งตะวันด้วยครับ”
อื้ม…ฟังดูตำร๊วจตำรวจ!
แต่จำนวนเงินมากขนาดนั้น…หลินเจี๋ยอดเหลือบมองวินเซนต์ไม่ได้ ถึงเขาจะมีสีหน้าเยือกเย็น แต่ลึก ๆ แล้วหลินเจี๋ยเริ่มวางแผนแล้ว
แล้วเราก็สร้างลูกค้าสำคัญได้อีกหนึ่งคน อีกไม่นานวินเซนต์ก็จะเป็นผู้นำองค์กรศาสนาที่ใหญ่ที่สุดในนอร์ซิน ดังนั้นเราก็ควรให้เขาซื้อหนังสือที่นี่สักสองสามเล่มใช่ไหมล่ะ?
คงจะดีที่สุดถ้าจะสร้างความสัมพันธ์กับสาวกของพวกเขาด้วย ต่อให้พวกเขาไม่มาซื้อหนังสือกันก็ตาม การกลายมาเป็นลูกค้าประจำที่คาเฟ่หนังสือก็ดีเหมือนกัน
เมื่อสังเกตเห็นสายตาคาดหวังของหลินเจี๋ย วินเซนต์ก็เข้าใจ ‘คำใบ้’ แล้วหยิบอุปกรณ์เวทศักดิ์สิทธิ์ที่เขาพบในห้องชั้นในออกมา…
แหวนเงินหนึ่งวง และอีกหนึ่งเป็น ‘ไข่แมลง’ เปลือกแข็งแปลก ๆ ที่มีขนาดประมาณหนึ่งฝ่ามือ
ทั้งสองนี้คือสองในสามอุปกรณ์เวทศักดิ์สิทธิ์ของโบสถ์แห่งจุดสูงสุด แหวนโบราณและเปลบุตรแห่งจันทรา