เจ้าของร้านพิศวง - บทที่ 208 การ์กอยล์หินกล่าวว่า อีหยังวะ!
บทที่ 208 : การ์กอยล์หินกล่าวว่า อีหยังวะ?!
การเห็นหลินเจี๋ยวุ่นวายกับแหวนที่ถอดไม่ออกนั้นทำให้ร่างทั้งร่างของมูเอนชาวาบ
วัลเพอร์กิสเน้นกับเธอเป็นพิเศษให้รับแหวนวงนั้นคืนมา เพราะนั่นคือแหวนแห่งพันธสัญญาที่วัลเพอร์กิสมอบให้ดวงจันทร์เมื่อสมัยก่อน แหวนนี้เป็นสัญลักษณ์ของพันธสัญญาที่เธอทำกับผู้คนที่มาขอการคุ้มครองของเธอ ในตอนที่เธอยังควบคุมยามค่ำคืนอยู่
หลังจากนั้น เมื่อแดนนิมิตขยายออกสู่ความเป็นจริง ทำให้ดวงจันทร์ตายลงและถูกขโมยพลังไป แหวนวงนี้ก็ถูกนำไปด้วยเนื่องจาก ‘พันธสัญญา’ และ ‘การปฏิบัติตามสัญญา’ ทำให้มันกลายเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องใช้ในพิธีอัญเชิญเทพจอมปลอม
แม้ว่า ‘ค่ำคืนแห่งวัลเพอร์กิส’ จะสื่อถึงพรและการคุ้มครองจากแม่มดบรรพกาลก็ตาม วัลเพอร์กิสก็เป็นผู้แรกที่ก่อตั้งมันขึ้น และเป็นที่มาของชื่อ
ทว่านับตั้งแต่ยุคที่สาม เหล่าผู้ได้รับการเจิมของวัลเพอร์กิสก็ไม่สามารถหาตำแหน่งของแม่มดบรรพกาลที่พวกตนเชื่อมต่อด้วยอีกต่อไป
แน่นอน หลังจากจบยุคมืด พวกเขาก็ไม่ต้องการการคุ้มครองอีกต่อไป พวกเขาแต่ละคนต่างแยกย้ายไปตามทางของตนเอง บางคนก็ตาย ในขณะที่บางคนรุ่งเรืองขึ้น
มีเพียงคนที่ศรัทธาในแม่มดบรรพกาลเท่านั้นที่ยังคงไล่ตามสัญญาณใด ๆ ของแม่มดบรรพกาลในยุคสมัยที่ค่อนข้างสงบสุขนี้
ตัวอย่างหนึ่งของพวกเขาเหล่านั้นก็คือตระกูลไอริสที่โดริสสังกัดอยู่…
แล้วมูเอนจะต้องทำยังไงต่อล่ะทีนี้?
มูเอนจ้องเขม็งไปยังแหวนที่ตอนนี้ล็อกตัวเองแน่นกับนิ้วของนายของเธอ นี่หมายความว่าพันธสัญญาถูกย้ายไปอยู่กับนายของเธอแล้วหรือเปล่า?
ในสถานการณ์ปกติแล้ว โอกาสจะเกิดเรื่องแบบนี้คือไม่มีเลย
เพราะถึงอย่างไรนี่ก็เป็นวัตถุโบราณที่มีอำนาจเหนือธรรมชาติ และเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีข้อกำหนดเบื้องต้นเข้ามาเกี่ยว
ยกตัวอย่าง พระสังฆราชรุ่นก่อน ๆ ต่างถือแหวนวงนี้เป็นอุปกรณ์เวทศักดิ์สิทธิ์ และมันจะถูกสวมเฉพาะในพิธีกรรมพิเศษเท่านั้น และไม่มีใครเลยที่ได้รับการยอมรับจากแหวน
แม้ว่าวัลเพอร์กิสจะค่อนข้างขี้เกียจและไม่ได้ตั้งข้อกำหนดเบื้องต้นใด ๆ แต่ตัวแหวนเองก็ยังมีข้อกำหนดในตัวมันเองอยู่ นั่นคือผู้สวมจะต้องมีแดนนิมิตของตัวเอง
การมีแดนนิมิตของตัวเอง ข้อแม้นี้สูงเสียจนไร้เหตุผล นอกจากแม่มดบรรพกาลทั้งสี่แล้ว ไม่มีใครเลยที่ทำเช่นนั้นได้
มันเป็นจริงตามนั้น…แต่เดิมน่ะนะ
แต่มูเอนก็ได้เห็นกับตาตนเองแล้ว…เจ้าของร้านหลินไม่ได้แค่มีแดนนิมิตเป็นของตนเอง เขายังสามารถควบคุมมันได้อย่างสมบูรณ์แบบอีกด้วย
ในตอนนี้ มูเอนจนปัญญาสุด ๆ
“หือ? มูเอน เธอชอบแหวนวงนี้มากเลยเหรอครับ?”
หลินเจี๋ยสังเกตเห็นสายตาของมูเอน แต่ชายหนุ่มก็ยังถามแล้วพยายามดึงแหวนออกโดยไม่รู้ตัว
เขายักไหล่อย่างจนใจ “แหวนวงนี้คงถูกปล่อยไว้นานเกินไปแล้วครับ น่าจะ ‘ขึ้นสนิม’ แล้ว ผมจะพยายามใช้สบู่ถอดมันออกทีหลังนะครับ แล้วมันจะเป็นของเธอ”
การสวมแหวนแล้วถอดไม่ออกนั้นเป็นเหตุที่เกิดขึ้นได้ค่อนข้างบ่อย ทว่าทุกปัญหานั้นมีทางแก้ และแหวนก็คงไม่ติดนิ้วเขาไปตลอดกาลหรอก
มูเอนพูดไม่ออกกับคำพูดไร้สาระเป็นชุดที่นายของเธอเพิ่งพูดออกมา ถ้าแหวนวงนี้ถอดออกได้ด้วยสบู่ เจ้าของร้านหลินก็คงรวยเละไปแล้วล่ะ
พูดถึงระดับของเจ้าของร้านหลินแล้ว เขาต้องรู้ความหมายของแหวนวงนี้แน่ ๆ
นี่หมายความว่าเขาจงใจทำเช่นนี้ เขาอยากจะเก็บแหวนไว้แน่ แต่ก็ยังทำตัวอ้อมค้อมแล้วยังมาแหย่เธออีก!
ถ้าเจ้าของร้านอยากได้แหวน ผู้ช่วยก็ทำได้แค่ตัดใจ
“ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณสำหรับคำเสนอนะคะเจ้าของร้าน หนูคิดว่ามันค่อนข้างเหมาะกับคุณนะคะ”
“หนูเหนื่อยแล้ว ขอตัวก่อนนะคะ” มูเอนโค้งตัวน้อย ๆ ด้วยสีหน้าตายด้าน
หลินเจี๋ยรับคำแล้วมองเด็กสาวหันหลังจากไป แล้วเขาก็หันความสนใจกลับมาที่แหวน
ไหงเธอดูเหมือนโกรธ ๆ ล่ะ…
หรือที่จริงแล้วเธออยากได้แหวนวงนี้ แต่เราอ่านเธอผิดแล้วเอามาใส่ซะงั้น แล้วทำให้เธอรู้สึกเหมือนเรากำลังล้อเล่นกับความรู้สึกของเธอ?
เฮ้อ…จิตใจเด็กยากแท้หยั่งถึงจริง ๆ
หลินเจี๋ยคิดแล้วส่ายหน้า หรือว่า…หรือเรามัวแต่คุยกับโจเซฟกับวินเซนต์แล้วลืมชมเธอกันนะ?
อื้อ…อาจเป็นแบบนี้ก็ได้ ความพยายามของเธอก็เห็นกันอยู่ชัด ๆ โดยเฉพาะการที่เธอบริหารคาเฟ่หนังสือและรักษาความเรียบร้อยของทุกอย่างไร นี่ก็สมควรได้รับรางวัล แล้วเราก็ดันลืมเอามาพิจารณาอีก
แต่ตอนนี้ เขาต้องจัดการกับแหวนวงนี้ก่อน แล้วก็…ไข่ใบนั้นคงเป็นสัตว์แปลก ๆ อะไรอีกแน่
ตอนที่เขาเหลือบมองไข่แมลงนั้นเอง ตัวอ่อน ‘หนอนไหม’ ที่อยู่ด้านในดูจะหดตัวเล็กน้อย แล้วหลินเจี๋ยก็สงสัยว่าตัวเองตาฝาดหรือเปล่า
“อย่ากลัวไป ฉันไม่จับนายไปต้มกินหรอก”
หลินเจี๋ยลูบไปบนเปลือกไข่เหมือนลูบผลแตง และตัวอ่อนหนอนไหมก็นิ่งสนิท
หลินเจี๋ยรู้สึกปลื้มใจในตัวเอง เจ้าตัวเล็กนี่ดูจะแอคทีฟอยู่ แต่เหมือนว่าคำพูดของเขาจะทำให้มันใจเย็นลงได้ ซึ่งหมายความว่าเขาได้รับความเชื่อใจจากมัน
สมกับที่เป็นอุปกรณ์เวทศักดิ์สิทธิ์ที่โบสถ์แห่งจุดสูงสุดบูชา
ส่วนเรื่องที่ว่ามันใหญ่ขนาดนี้ได้ยังไงนั้น หลินเจี๋ยก็คงต้องไปถามโบสถ์แห่งจุดสูงสุดว่าเลี้ยงมันให้รอดมาตั้งหลายปีหลังปลุกเสกมาได้ยังไง
บางทีนี่อาจเป็นสัตว์ในตำนานที่สืบทอดกันมาตั้งแต่ยุคแรกหรือสองแล้วก็ได้ แต่โบสถ์แห่งจุดสูงสุดนั้นรู้แค่วิธีใช้มันเป็นแก่นจันทร์ศักดิ์สิทธิ์เพื่อล้างสมองคน และไม่ได้พยายามฟักมันเลย
นี่คือข้อสันนิษฐานของหลินเจี๋ย…
ทว่าเขาก็ไม่ได้แน่ใจว่าอะไรจะฟักออกมาจากไข่เช่นกัน
ยิ่งกว่านั้น ชายหนุ่มจะทำยังไงกับเจ้าสิ่งที่ฟักออกมากันล่ะ เลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงเหรอ?
ช่างมันเถอะ ปล่อยมันไปก่อนแล้วกัน
หลินเจี๋ยวางไข่แมลงไว้ข้าง ๆ การ์กอยล์หินแล้วรีบพุ่งขึ้นบันไดไปหาสบู่มาถอดแหวน
ไข่แมลงที่ไร้การเคลื่อนไหวตั้งนิ่ง ๆ กับที่อยู่สักพัก แล้วจู่ ๆ มันก็เริ่มเหวี่ยงตัวไปมาแล้วตกลงใส่การ์กอยล์ ทำให้เปลือกของมันถูกขอบปีกที่แหลมคมของการ์กอยล์เสียบแตก
แกรก แกรก…
รอยร้าวเล็ก ๆ เริ่มปรากฏขึ้นบนผิวเปลือกไข่สีเทาเงิน หนอนสีงาช้างตัวใหญ่ด้านในกระดุกกระดิก แล้วหัวของมันก็โผล่ออกมาจากในเปลือกไข่ ตัวอ่อนตัวนี้มีเพียงเส้นหนวดที่รัดพันกันและมีขาเป็นเส้นหนวดที่เล็กและโค้งหยักมากกว่า
ในตอนนี้มันกำลังเต้นตุบอย่างต่อเนื่องและดูเหมือนก้อนขนจากการบีบอัดแน่นของตัวมัน
บนศีรษะดูจะใหญ่กว่านิดหน่อยของมัน และดวงตาสีเหลืองที่เต็มไปด้วยเส้นเลือดลืมตาขึ้นมา
ถ้าวินเซนต์หรือโจเซฟมาเห็นเข้า พวกเขาคงค้นพบว่าเจ้าสิ่งนี้เหมือนเทพจอมปลอมมาก แค่ว่ามันขาดประกายแสงแปดเปื้อนรอบ ๆ ตัวเท่านั้น
และจากการโจมตีสุดท้ายของเทพจอมปลอม กลุ่มหนวดสีขาวยุกยิกพวกนั้น บางทีร่างจริงของมันอาจจะเหมือนกับเจ้าตัวขาว ๆ อ้วน ๆ นี่
หนอนที่เต็มไปด้วยเส้นหนวดที่กระดิกไปมานับไม่ถ้วนโผล่ออกมาจากไข่แล้วคืบคลายไปบนตัวการ์กอยล์หิน หนวดของมันเริ่มฝังเข้าไปในรูปสลักหินก่อนที่ในที่สุดจะครอบคลุมทั้งตัวมัน เมื่อทำเช่นนั้นเสร็จ ขากรรไกรล่างของหนอนตัวอ่อนนี้ก็อ้าออกงับลงไปที่หัวของการ์กอยล์หิน แล้วลิ้นทั้งสองของมันก็แยกกันปิดดวงตาสีทับทิมของรูปสลักไว้
ซู้ด…
ร่างของหนอนตัวอ่อนเริ่มกระเพื่อมราวกับกำลังดูดอะไรสักอย่าง ที่แก่นพลังภายในการ์กอยล์หิน เหล่าวิญญาณจำนวนนับพันที่บรรจุไว้ในรูปสลักถูกเจ้าสิ่งนี้ดูดซับเข้าไป แล้วภาพลาง ๆ ของหัวกะโหลกก็ปรากฏขึ้นให้เห็นในขณะที่พวกมันพยายามดิ้นรนหนีจากร่างของตัวอ่อนนี้
ดวงตาทับทิมของการ์กอยล์หินเรืองแสงสีแดงสดในทีแรก และมันก็ดิ้นรนพยายามกลายร่าง แต่สุดท้ายแล้วแสงนั้นก็ดับลงเมื่อส่วนหัวของมันแตกออกดังแกร๊ก
ในที่สุดเจ้าตัวอ่อนที่พึงพอใจแล้วก็ปล่อยการ์กอยล์ไป
มันจ้องมองรูปสลักหินด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น แล้วร่างของมันก็เปลี่ยนไปหลายต่อหลายครั้งเหมือนการเลียนแบบ
แขนขาที่ใหญ่กว่าเดิมงอกออกมาพร้อม ๆ กับเขาสองเขาบนหัว ดวงตาเดียวของมันถูกแบ่งออกเป็นสองและหางเรียวเล็กก็งอกออกมาจากหลังของมัน และในที่สุดหลังแปลงร่างเสร็จ มันก็ลอกท่านั่งของการ์กอยล์
—
หลินเจี๋ยยังคงล้มเหลวในการพยายามถอดแหวน และเมื่อเขาเดินลงบันไดมา เขาก็ค้นพบในสิ่งที่น่าตกใจ
มีแมวตัวหนึ่ง…นั่งอยู่บนเคาน์เตอร์?!