เจ้าของร้านพิศวง - บทที่ 216 ประตูร้านฉันหายไปไหน!
บทที่ 216 : ประตูร้านฉันหายไปไหน?!
หลังจากส่งเสียงเรอออกมาอย่างพอใจ เจ้าแมวขาวก็เอนตัวมาดมพรีม่าด้วยปากที่ยังอ้ากว้าง แต่จากนั้น หลังจากที่มันดูเหมือนยืนยันบางสิ่งได้ มันก็ปิดปากของมันลงอย่างผิดหวังเล็กน้อย
เจ้าแมวขาวหมอบลงข้าง ๆ พรีม่าแล้วส่ายหน้าไปมา แล้วจู่ ๆ มันก็ตระหนักว่ามันลืมสร้างตาให้ตัวเอง
ผลุบ! ผลุบ!
ลูกตาสองดวงโผล่ออกมาไล่ ๆ กันบนร่างสีขาวกลม ๆ ของมัน แล้วก็ค่อย ๆ ปรับจนดูเหมือนดวงตาแมวทั่วไป
แมลงแมวที่ถูกเรียกว่า ‘เจ้าขาว’ กะพริบตาแล้วส่ายหางราวกับแส้ ก่อนที่จะ ‘สอด’ มันเข้าไปในกองเลือดที่นองพื้นแล้วดูดจนเกลี้ยงเกลา
ในเมื่อไม่มีเนื้อ ขอซุปสักหน่อยก็คงพอ…
พรีม่าที่ยังนอนแหมะอยู่บนพื้นพยายามล้วงยาถอนพิษที่ซ่อนอยู่ในหมู่ยาสองสามขวดที่เหลือ แต่ก่อนที่เธอจะทำสำเร็จ เธอก็รู้สึกว่าเฮือกสุดท้ายของชีวิตเคลื่อนคล้อยออกไปเสียก่อน
ศีรษะของเธอเอียงเล็กน้อย จับจ้องแมวขาวตรงหน้าเธอที่ ‘เส้นขน’ เรืองแสงจาง ๆ เหมือนแสงจันทร์อย่างเหม่อลอย แสงในดวงตาของเธอค่อย ๆ จางหาย ทว่ามุมปากของเธอยกขึ้นเล็กน้อย
เยี่ยมเลย ท่านวัลเพอร์กิสผู้ควบคุมเวลากลางคืน…ท่านรู้…ท่านไม่เคยทอดทิ้งเรา…
ในคลองจักษุที่พร่ามัวของเธอ จู่ ๆ ก็ปรากฏร่างมัว ๆ ของชายคนหนึ่งขึ้นบนบันไดขั้นบนสุดที่มุมห้อง แล้วเมื่อเธอหลับตาลงแล้วลืมตาขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าระยะใกล้ที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อนก็ปรากฏตรงหน้าเธอ
เธอรู้สึกถึงความคุ้นเคยจากชายหนุ่มผมดำตาดำคนนี้ แล้วพรีม่าก็สาบานได้ว่านี่ไม่ใช่ความคิดไปเองของคนใกล้ตายด้วย
เธอสามารถสัมผัสความคุ้นเคยที่ลึกลงไปถึงวิญญาณ มันทำให้เธอรู้สึกราวกับกลับไปในครรภ์อันอบอุ่นและปลอดภัยของมารดา ความอบอุ่นใจนี้ทำให้พรีม่าผ่อนคลายลงอย่างไม่รู้ตัว
ก่อนที่การมองเห็นของเธอจะดับลงโดยสมบูรณ์ เธอก็พอจะมองเห็นแหวนที่สวมบนนิ้วสีซีดของชายหนุ่มได้
“วัลเพอร์กิส…”
ไร้เสียงใดออกมาจากปากที่อ้าขยับของสาวน้อย
—
หลินเจี๋ยที่ยังอยู่ในชุดนอนถลาลงมาจากบันได ในทีแรกเขายังงัวเงียอยู่เลย แต่เมื่อเห็นภาพที่ชั้นแรกก็ทำให้เขาหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง
ปฏิกิริยาแรกของเขาคือ…
“ประตูร้านฉันหายไปไหน?!!
“ตอนฉันไปนอนฉันยังมีประตูบานตั้งเบ้อเร่อ! ไหงจู่ ๆ มันก็หายไปฟะ???”
เขาตื่นเต็มตาทันใด
ความงุนงงปรากฏขึ้นบนหน้าหลินเจี๋ยในขณะที่เขามองไปยังประตูที่ตอนนี้ถือว่าเป็นฉากการบุกปล้นได้แล้ว
เศษไม้แตก ๆ กองกระจัดกระจายบนพื้น และชิ้นส่วนรวมถึงฝุ่นก็ลอยฟุ้งไปทั่วอย่างยุ่งเหยิง ยิ่งกว่านั้นประตูที่บานพับกระเด็นออกยังมีรูบุบตรงกลางด้วย
แต่ที่สำคัญที่สุดคือสาวน้อยที่นอนอยู่บนพื้น ถึงแม้ว่าเธอจะแต่งตัวเหมือนผู้ชายจากที่เห็นภายใต้ชุดคลุมที่ยุ่งเหยิงก็ตาม แต่อย่างน้อยทรงผมของเธอก็ทำให้ระบุเพศออกมาได้
จากปากและจมูกที่เริ่มเป็นสีฟ้า รวมไปถึงหน้าผากที่คล้ำลงของเธอ ไม่ว่าใครก็คงบอกได้ว่าเธอเหลือเวลาชีวิตไม่นานแล้ว
นี่ทำให้หลินเจี๋ยตระหนักได้ว่าเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นแล้ว
มีการฆาตกรรมเกิดขึ้นที่หน้าประตูร้านหนังสือของเรากลางดึกเหรอเนี่ย?!
หลินเจี๋ยที่หน้าซีดลงเร่งฝีเท้าไปช่วยพยุงสาวน้อยขึ้น ในขณะเดียวกันเขาก็ไล่เจ้าขาวผู้ ‘ไม่ทำอะไรและแค่สอดรู้ไปเรื่อย’ ไปห่าง ๆ
“เมี้ยวว…”
เจ้าแมวขาวที่แค่อยากจะแสดงความรักแต่กลับถูกไล่เสียแทน มันจึงไปนั่งงอนอยู่ตรงมุมร้าน
หลินเจี๋ยตระหนักว่าสถานการณ์ย่ำแย่แล้วเมื่อแตะไหล่ของพรีม่า ของเหลวหนืดอาบมือของเขา เมื่อมองดี ๆ มันก็คือเลือด
สาวน้อยคนนี้กำลังอยู่ในสถานการณ์ที่รุนแรงกว่ามูเอนในตอนที่เธอซมซานมาที่นี่อีก เธอไม่ได้แค่เสียเลือด แต่ยังถูกพิษด้วย!
ยิ่งกว่านั้น ยาพิษนี้ยังไม่ธรรมดาด้วย ทั้งร่างของพรีม่าเริ่มบวมขึ้นแล้ว ซึ่งหมายความว่าเธอกำลังตกอยู่ในอันตรายสุดขีด
ในตอนที่เขากำลังลนลานนั้นเอง เขาก็ถูกเรื่องอื่นหักเหความสนใจด้วย มูเอนอยู่ไหนล่ะ?
ไม่ใช่ว่าช่วงนี้มูเอนเพิ่งช่วยโจเซฟติดตั้งแขนเทียมหรืออะไรเทือกนั้นมาเหรอ? นั่นหมายความว่าอย่างน้อยเธอก็เป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านชีววิทยา เภสัชกรรมและสายงานที่เกี่ยวข้อง ถ้าเธออยู่ที่นี่ตอนนี้ล่ะก็… แต่คุณหนูคนนี้ก็คงได้ตายก่อนที่เราจะเดินไปปลุกมูเอนที่ชั้นสองอีก!
ที่จริงแล้ว ตอนนี้มูเอนกำลังหลับลึกอยู่และไม่สามารถปลุกได้เพราะความล้าของจิตใจจากการถูกวัลเพอร์กิสสิงร่าง
“อึ้ก…”
หลินเจี๋ยมองลงมาแล้วพบว่าพรีม่าผู้ใกล้ตายพยายามฝืนลืมตาเหมือนพยายามพูดอะไรบางอย่าง ศีรษะของเธอเงยขึ้นเล็กน้อย และดวงตาของเธอก็รื้นน้ำตาในขณะที่มองเขาด้วยสีหน้าสงบนิ่งและเชื่อใจ
หัวใจของเจ้าของร้านหลินหนักอึ้งทันที เด็กคนนี้เชื่อใจเขา เขาต้องช่วยเธอให้ได้!
เขาตบหลังเธอแล้วกระซิบ “อย่าห่วงไปเลยครับ คุณจะไม่ตายหรอก”
หลินเจี๋ยเอื้อมมือที่เปื้อนเลือดของพรีม่าแล้วใช้นิ้วหนึ่งวาดตราบนหน้าผากของเธอ แล้วเขาก็หลับตาลงคว้าอีเธอร์ที่ลอยไปลอยมาในแดนนิมิต จากการเชื่อมต่อระหว่างนิ้วของเขาและตรา สะพานเชื่อมระหว่างวิญญาณของเขาและเธอก็ถูกสร้างขึ้น
โชคดีที่เขาเพิ่งจะขอคำแนะนำของซิลเวอร์ในแดนนิมิต แล้วในที่สุดก็เรียนรู้วิธีใช้ ‘คำสาปโลหิต ย้ายวิญญาณโลหิตเฮือกสุดท้าย’ ได้พอดี
คาถาส่วนใหญ่ที่ถูกบันทึกในหนังสือหนังมนุษย์นั้นโหดเหี้ยมและชั่วร้าย ถึงแม้ว่าถ้าใช้ในทางที่ถูกที่ควร มันจะสามารถนำผลเชิงบวกที่มีค่าสูงยิ่งกว่าไม่รู้กี่เท่ามาให้ก็ตามที
และถ้า ‘การปลุกชีพ’ ถูกใช้ในเวลาที่เหมาะสม มันก็อาจจะช่วยชีวิตคนในสถานการณ์คับขันได้ก็ได้!
คนที่กำลังจะตายแต่ยังไม่ตาย เลือดสด ๆ ที่ยังไม่เสียพลังชีวิต เงื่อนไขการร่ายคาถานี้ถูกเติมเต็มแล้ว
แทนที่วิญญาณ
ควบคุมร่างกาย
ยืดอายุขัย
เมื่อหลินเจี๋ยลืมตาขึ้นอีกครั้ง พวกเขาก็อยู่ในพื้นที่สีดำสนิทแล้ว มีเพียงดวงไฟสีแดงเลือดที่เห็นได้จากสุดปลายทาง นี่คือเพลิงวิญญาณของพรีม่า
หลินเจี๋ยรู้สึกได้ลาง ๆ เหมือนว่าตัวเขาเองเป็นปีศาจหนวด วิญญาณซึ่งเป็นสิ่งไร้รูปลักษณ์กำลัง ‘ไหล’ ผ่านแขนของหลินเจี๋ยเข้าไปในร่างของพรีม่า
มันไหลตามระบบไหลเวียนโลหิตแล้วแพร่ไปทั่วร่างกายของเธอ แล้วสุดท้ายมันก็ครอบงำเจตจำนงที่อ่อนแรงลงของพรีม่า แล้วควบคุมร่างกายของเธอ
แน่นอนว่าเมื่อหลินเจี๋ยครอบงำจิตใจของพรีม่า เขาก็สัมผัสได้ว่าการมองเห็นและสัมผัสต่าง ๆ ของเขาถูกแบ่งเป็นสองส่วน การแบ่งนี้ไม่ได้เท่าเทียม เขายังมีการควบคุมหลักของร่างหนึ่ง ในขณะที่อีกร่างยังคงออกจะเงอะงะเหมือนสัญญาณที่ขาด ๆ หาย ๆ ทว่าเขาก็ยังควบคุมทั้งสองร่างได้โดยไม่มีปัญหานัก
ยิ่งกว่านั้น เขายังสามารถค้นความคิดบางอย่างที่พรีม่ามีในตอนที่เธอใกล้ตายด้วย
“ยาถอนพิษเหรอ?”
หลินเจี๋ยจับข้อมูลที่มีประโยชน์ได้ แล้วเขาก็ยินดีที่พบว่ามือของพรีม่าล้วงหาอะไรในเสื้อคลุมของเธอ แล้วเธอก็ยังค้างอยู่ในท่านั้น
แต่เดิมเขาวางแผนยื้อชีวิตของเธอไปอีกสักพักเพื่อที่เขาจะสามารถขึ้นไปเรียกมูเอนได้
แต่ตอนนี้ทางออกของปัญหาอยู่ตรงหน้าแล้ว
หลินเจี๋ยบังคับมือของพรีม่าให้นำยาถอนพิษออกมาแล้วให้เธอดื่มมันลงไป ในขณะที่พร้อม ๆ กันนั้นก็ควบคุมตัวเขาเองให้ไปหยิบกล่องปฐมพยาบาลมาหยุดเลือดของพรีม่าอย่างชำนิชำนาญ แล้วก็ทำแผลให้เธอ
หลินเจี๋ยแยกทำงานพร้อม ๆ กันด้วยจิตใจเดียวอย่างมีประสิทธิภาพ ต้องขอบคุณช่วงแรกที่เขาต้องดูแลมูเอน ตอนนี้เขาเลยกลายเป็นนักปฐมพยาบาลบาดแผลรุนแรงมือฉมังไปแล้ว
“เฮ้อ…”
หลินเจี๋ยผ่อนลมหายใจขณะวางพรีม่าลงบนเก้าอี้อาบแดดแล้วปลดการควบคุมของเขาออก
เมื่อเขาเลื่อนสายตา หลินเจี๋ยก็สบเข้ากับดวงตาสีดำที่ทอประกายคู่หนึ่ง ปรากฏว่าพรีม่าคืนสติกลับมาแล้วหลังดื่มยาถอนพิษลงไป
เธอรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าวิญญาณของเธอถูกแทรกแซง ผูกมัดและควบคุม มันเป็นอำนาจมหาศาลที่เธอไม่สามารถต่อต้านได้เลย ไหล่กว้างและมือที่แนบกับร่างของเธอ และแขนแกร่งที่ชักนำเธอไปยังทิศทางที่ถูกต้องนั้นเหมือนกับที่พ่อของเธอสอนเธอเดินในตอนที่เธอยังเล็ก
กระทั่งเลือดของเธอเองยังเชื่อฟังเขาทุกคำสั่ง
แล้วยังมีแหวนวงนั้นอีก แหวนที่ทำให้เธอสั่นสะท้านไปถึงแก่น คนตรงหน้าเธอต้องเป็นวัลเพอร์กิสแน่ ๆ แต่เดี๋ยวก่อนนะ ทำไมเป็นผู้ชายล่ะ?
พรีม่าพลันพบว่าตัวเองตะลึงงัน
“คุณตื่นแล้วเหรอครับ?” หลินเจี๋ยถามพลางโบกมือตรงหน้าใบหน้าของพรีม่า
ในตอนนี้ เธอทำได้เพียงจับจ้องไปที่แหวนเงินบนนิ้วนางของเขา
“ยังเหรอ? ลองมองไปที่ประตูบานนั้นแล้วนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นสิครับ”
หลินเจี๋ยชี้ประตูที่เสียหายของเขาก่อนจะบ่นอย่างฉุนเฉียวด้วยใบหน้าบึ้งตึง “เรื่องของโบสถ์แห่งจุดสูงสุดเพิ่งจะหาย แล้วฉันก็ต้องมาเคลียร์เรื่องแบบนี้อีก นี่มันเมืองนอร์ซินหรือก็อตแธมกันแน่วะเนี่ย?!”
“ใครก็ตามที่พังประตูฉันระวังไว้เถอะ ฉันจะให้พวกเขาชดใช้แน่!”