เจ้าของร้านพิศวง - บทที่ 224 ฉันแจ้งความร้านหนังสือไปแล้ว
บทที่ 224 : ฉันแจ้งความร้านหนังสือไปแล้ว
“ไวลด์โผล่มา? ในเขตของร้านหนังสือเหรอ?” โจเซฟหรี่ตาลง
จากจำนวนครั้งที่พวกเขาพยายามทำร้ายกันเองแล้ว ไวลด์ก็สามารถเรียกได้ว่าเป็นศัตรูคู่แค้นของเขา ยิ่งกว่านั้น การต่อสู้ของเขากับไวลด์ยังเป็นจุดสำคัญที่เปลี่ยนชีวิตเขาไปตลอดกาลด้วย
ถ้าเขาไม่ต่อสู้ในครั้งนั้น ก็จะไม่เสียแขนไป แล้วก็ไม่ได้ถูกคำสาปของดาบปีศาจหลอกหลอนจนทำให้เขาเสียเกียรติยศไป
แม้ว่าไวลด์เองก็เหมือนจะถูกโจเซฟระเบิดร่างไป แต่ไวลด์ก็ยังสร้างความเสียหายให้กับโจเซฟอย่างหนักหน่วงเอาการด้วย มันแย่กว่าทุก ๆ แผลที่โจเซฟสะสมมาถูกเปิดออกใหม่เสียอีก สภาพจิตใจของเขาเองก็ได้รับผลอย่างมากเช่นกัน
เรื่องทั้งหมดนี้ทำให้เขาต้องถอยออกจากสนามรบ
แต่ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ โจเซฟก็คงไม่ได้ไล่ตามไวลด์จนมาเจอร้านหนังสือที่เป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตของเขาอย่างแท้จริงได้ ที่นั่นได้มอบโอกาสให้เขาขึ้นเป็นระดับเหนือนภา!
หลังจากต่อสู้กับเทพจอมปลอมภายในแดนนิมิต โจเซฟก็ได้ค้นพบดาบที่อยู่ภายในตัวเขาอย่างแท้จริง
ตัวเขาเองสัมผัสได้ว่าได้มาถึงขั้นสุดท้ายก่อนเลื่อนไปเป็นระดับเหนือนภาแล้ว
และขั้นสุดท้ายนั่นก็กลายมาเป็นสิ่งที่เขาหมกมุ่นอยู่ในตอนนี้…
เหมือนกับที่เขาหมกมุ่นในการต่อสู้เมื่อสองปีก่อน!
ถ้าเขาพบไวลด์แล้วปราบอีกฝ่ายลงได้เมื่อไหร่ โจเซฟก็เชื่อว่าเขาจะมีความสามารถพอจะเลื่อนขึ้นไปสู่ขั้นเหนือนภาได้อย่างแท้จริงเสียที แล้วในที่สุดเขาก็จะไปถึงระดับที่ผู้มีพลังเหนือธรรมชาตินับไม่ถ้วนทำได้เพียงฝัน
คล็อดแจ้งข้อมูลทั้งหมดที่ตัวเองได้รับมาอย่างเป็นระบบ “ไวลด์ปรากฏตัวขึ้นในระยะใกล้ประตูร้านหนังสือครับ เราสงสัยว่าจะเป็นคาถาบางอย่างที่ควบคุมเวลาและมิติครับ”
“แต่ตัดสินจากสัตว์ตระกูลสุนัขขนาดใหญ่ที่มากับเขา รวมไปถึงการสั่นกระเพื่อมของมิติในเวลาเกิดเหตุแล้ว เราเชื่อว่าเขาได้รับสกายวูลฟ์เป็นสัตว์อัญเชิญครับ”
“สกายวูลฟ์เหรอ…น่าสนใจ”
โจเซฟคิดอยู่สักพักแล้วตระหนักรู้ขึ้นมา “ไม่ใช่ว่าสูตรเลือดดั้งเดิมที่พวกองค์กรนักล่าหมาป่าขาวใช้กันมาจากสกายวูลฟ์เหรอ? การต่อสู้ในตอนนั้นเราจับร่องรอยของไวลด์ได้บ้าง แล้วเราก็หาศพของเฮริสไม่เจอหลังจากนั้นด้วย ฉันเกรงว่า…มันต้องมีความเชื่อมโยงกันอยู่”
“ในสองปีมานี้ ไวลด์ไม่น่าจะอยู่ว่าง ๆ ในระหว่างกบดานแน่”
จิตวิญญาณต่อสู้ในตัวโจเซฟลุกโชนแรงกล้ากว่าครั้งไหน ๆ เขาแทบอดไม่ไหวที่จะชักดาบที่เอวออกมาตอนนี้ ดาบปีศาจถูกส่งให้กับหลินเจี๋ยแล้ว แต่หอพิธีกรรมต้องห้ามไม่ได้ขาดอาวุธระดับสูง ดังนั้นโจเซฟเลยได้รับอาวุธชิ้นใหม่ ซึ่งเป็นดาบเล่มหนึ่งที่ชื่อ ‘ถอนมลทิน’
เพราะเขาเพิ่งจะเข้าร่วมการประชุมสำคัญที่สภาผู้อาวุโสจัดขึ้นมา โจเซฟจึงไม่ได้อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสำนักงานสีขาวอย่างเคย แต่กลับกัน เขาสวมชุดเกราะมิธริลอย่างเป็นทางการ และเพราะเช่นนั้นดาบที่เอวของเขาจึงไม่ได้อยู่ผิดที่ผิดทาง
เมื่อมองควบคู่ไปกับใบหน้ากร้านวัยที่เปี่ยมด้วยความมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวแล้ว ออร่าที่แผ่ออกมาจากโจเซฟนั้นอย่างน้อยก็แข็งแกร่งกว่าปกติสามเท่าได้ เขาดูราวกับสิงโตหลับที่ในที่สุดก็ลืมตาขึ้นมาพร้อมออกล่าแล้ว
โจเซฟกระแอมให้คอโล่ง ปรับอารมณ์แล้วมองคล็อด “ว่าต่อไปสิ”
คล็อดนั้นชินกับอาการ ‘ไฟลุก’ ของอาจารย์ของตัวเองทุกครั้งที่พูดถึงไวลด์แล้ว จึงพูดต่อ “มันดูผิดจากบุคลิกของไวลด์ที่พาคนอื่น ๆ มากับเขาอีกสี่คนในครั้งนี้แทนที่จะมาคนเดียวนะครับ ตอนนี้เรากำลังสืบตัวตนของสี่คนนี้อยู่”
“แต่ไม่ว่าอย่างไร โดยพื้นฐานแล้วเราก็ยืนยันได้แล้วครับว่าไวลด์คงตั้งใจจะเปลี่ยนพวกเขาเป็นลูกค้าร้านหนังสือ”
หนึ่งในวาระสำคัญในการประชุมเมื่อครู่นี้ก็คือจะเข้าหาเจ้าของร้านหนังสือแล้วเพิ่มผลประโยชน์ที่พวกเขาจะได้รับจากทรัพยากรในร้านหนังสือให้มากที่สุดได้อย่างไร โดยที่ทั้งหมดนี้ต้องการันตีความปลอดภัยของร้านหนังสือด้วย…
แน่นอนว่าช่วงสุดท้ายนี้พูดไปลอย ๆ เท่านั้นแหละ พวกเขารู้ถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเจ้าของร้านหนังสือแล้ว การพยายามควบคุมการกระทำและเจตนารมณ์ของร้านหนังสือนั้นเป็นอะไรที่เป็นไปไม่ได้เด็ดขาดเลย
พวกเขาทำได้แค่…ปรับตัวให้เข้ากับมัน
ถ้าหอพิธีกรรมต้องห้ามคิดแบบนี้ได้ มันก็ย่อมสมเหตุสมผลถ้าคนที่เข้าร้านหนังสือมาก่อนก็จะคิดแบบเดียวกัน
และวิธีที่ง่ายที่สุดก็คือส่งคนใต้บังคับบัญชามาซื้อหนังสือที่ร้านหนังสือ!
หอพิธีกรรมต้องห้ามก็กำลังเตรียมจะทำเช่นนั้นเหมือนกัน แต่พวกเขาคิดไม่ถึงว่าจู่ ๆ ไวลด์จะโผล่มาตัดหน้าพวกเขาไปก่อน
“เจ้านี่ก็ยังคงเจ้าเล่ห์เหมือนเดิม…ในกรณีนั้นเราก็ต้องลงมือให้ไว วางแผนซุ่มโจมตีแล้วจัดการมันทันทีที่ออกมาจากร้านหนังสือซะ” โจเซฟพูดพร้อมสับมือลงมาเหมือนใบมีดกิโยตินที่สับลงบนคอของไวลด์และลูกสมุนของเขา
คล็อดพยักหน้า “รับทราบครับ ผมจะส่งกำลังไปเดี๋ยวนี้เลย”
โจเซฟตบบ่าคล็อดแล้วพูดเสริม “ฉันยังต้องรายงานเรื่องบางเรื่องกับผู้อาวุโสโซโลมอนอยู่ ฉันจะตามไปรับช่วงต่อสั่งการทีหลัง ติดต่อฉันทันทีถ้าเกิดอะไรขึ้นนะ”
“ครับอาจารย์”
จู่ ๆ คล็อดก็ลังเล “ดูเหมือนช่วงนี้เมลิสซ่าจะมีเรื่องกับคนบางคนในหน่วยรบนะครับ คุณจะไปแทรกแซงสักหน่อยไหมครับ?”
“โอ้?” โจเซฟไม่ทันตั้งตัว
แม้ว่าโจเซฟจะรู้ว่าตัวเองปล่อยปละเมลิสซ่าขนาดไหนในอดีตและพยายามสุดความสามารถที่จะประสานรอยร้าว แต่เมลิสซ่าก็โตขึ้นมาเป็นคนที่เขาอ่านไม่ออกแล้ว
เมลิสซ่าไม่เต็มใจจะแบ่งปันเรื่องราวใด ๆ ในหน่วยรบให้กับเขา และคู่พ่อลูกก็ไม่ได้ติดต่อกันมากนักด้วย
“เรื่องเป็นยังไง…ช่างเถอะ พวกนั้นคือใคร?” โจเซฟถาม
“ในภารกิจล่าสุดเธอมีข้อพิพาทกับสมาชิกทีมบางคนครับ ช่วงนี้เธอโดดเด่นเกินไปแล้วก็ทำตัว…แปลก ๆ ไปหน่อย เธอมักใช้วิธีท้างัดข้อไปเป็นข้ออ้างท้าคนอื่นดวล แล้วการประเมินภาพรวมของเธอในหน่วยรบก็ไม่ได้ดีนักด้วยครับ” คล็อดว่า
เขาพยายามสุดความสามารถที่จะใช้คำพูดที่ไพเราะนุ่มนวลที่สุดเท่าที่จะทำได้
ที่จริงแล้วคำว่า ‘แปลก’ นี่ต่ำไปมากโข นับแต่ที่เธอกลับมาจากร้านหนังสือแล้วนอนแกร่วบนเตียงไปหนึ่งสัปดาห์ อารมณ์ของเมลิสซ่าก็เปลี่ยนไปมาก
ก่อนหน้านี้เธอยังถูกเรียกได้ว่าเป็นยัยเด็กแปลก แต่ตอนนี้เธอกลายมาเป็นคนเสพติดการต่อสู้ไปแล้ว แต่ในขณะเดียวกัน ความสามารถของเธอก็เหมือนจะถูกปลดผนึกกะทันหัน แล้วเธอก็เชี่ยวชาญในศาสตร์การต่อสู้ต่าง ๆ มากมาย
ถ้าบรรยายให้ตรงตัว…เธอก็คือโจเซฟเจ้าอารมณ์เวอร์ชั่นเด็กกว่านั่นแหละ
เจิดจ้าอย่างไร้ขอบเขต แต่ก็มีความสามารถที่ทำให้คนอื่นตาพร่ามัวได้อย่างง่ายดาย
“เพื่อนร่วมทีม? นั่นก็แค่เรื่องของเด็ก ๆ เขาล่ะนะ ประเมินเธอติดลบแล้วไงล่ะ ตราบใดที่เธอมีความสุขก็พอแล้วนี่” โจเซฟบ่นอุบ
เขานึกว่าจะมีใครจากหน่วยรบที่เคืองอะไรเขาแล้วไปลงกับเมลิสซ่าเสียอีก
เพื่อส่งเสริมให้เกิดความกลมเกลียวในกลุ่ม สมาชิกที่มีอายุและระดับฝีมือไล่เลี่ยกันจึงถูกจัดไว้ในทีมภารกิจเดียวกัน และเพราะพวกเขาอายุน้อยและมีพลังงานสูง การเกิดข้อพิพาทจึงเป็นเรื่องธรรมดา
เฮ้อ…นี่ก็เป็นโอกาสให้เธอฝึกฝนได้เหมือนกัน
นี่คือสิ่งที่โจเซฟคิด
—
เมลิสซ่าไม่คิดว่านี่คือโอกาสฝึกฝนหรอก
เธอรู้สึกแค่ว่าพวกคนตรงหน้าเธอนี่เอะอะกันเสียจริง ๆ
“พ่อของเธอไม่ใช่อัศวินแห่งแสงแล้ว ทุกคนรู้ว่านับแต่โจเซฟเสียแขนไปเขาก็ตกต่ำลง แล้วเขาก็ทำตัวเละเทะอยู่ในฝ่ายข่าวกรองมาสองปี เขาต้องเป็นปลิงมือโปรแน่ ๆ ล่ะ โดยเฉพาะเรื่องเกาะแฟนตัวยงทั้งหลายของเขา เธอรู้ไหมว่าพวกเขาประเคนเงินให้เขาปีละเท่าไหร่ทุกปี ๆ ฉันไม่รู้จริง ๆ ว่าสมญาพวกนั้นที่เขามีมันหนักหนาแค่ไหนในอดีต แต่ในเมื่อเขาเชี่ยวชาญด้านข่าวกรองม๊ากกกก…งั้นเขาก็เป็นไอ้ขี้โกงโดยสันดานใช่ไหมล่ะ?”
เด็กหนุ่มตรงหน้าเมลิสซ่าพูดกับเพื่อน ๆ รอบตัวเขา แล้วทั้งกลุ่มก็หัวเราะประสานเสียงกัน
แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้เป็นเพื่อนร่วมงานเดิมที่ทำงานร่วมกับโจเซฟมาก่อน แต่พวกเขาก็เป็นลูกหลานของเพื่อนร่วมงานของโจเซฟนั่นแหละ พวกเขาได้ยินแต่เรื่องเชิงลบของโจเซฟมาตั้งแต่เด็กแล้ว
เด็กหนุ่มชื่อท็อดด์ซึ่งเป็นผู้นำนั้นเป็นถึงหลานชายของอัศวินแห่งแสงคนหนึ่งด้วย
เมลิสซ่ายังคงเยือกเย็น เธอเคยได้ยินคำสบประมาทโจเซฟที่แย่กว่านี้เป็นร้อยเท่ามาแล้ว และมันก็ไม่ควรค่าให้โมโหเลย
“พูดจบแล้วใช่ไหม? เพราะถ้าจบแล้ว…”
เมลิสซ่าชักดาบอัศวินของเธอ “พร้อมจะดวลกันตามสัญญาหรือยัง?”
พวกเด็กหนุ่มสาวทุกคนก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว แล้วท็อดด์ก็โพล่งออกมา “พ่อลูกเหมือนกันเปี๊ยบ เที่ยววิ่งกระจายเรื่องหลอกลวงไปทั่ว!”
แล้วเขาก็พูดเสริมด้วยสีหน้าค่อนข้างพอใจ “ฉันได้ยินจากเซเลน่ามาว่าการพัฒนาตัวเองกะทันหันของเธอเนี่ย ที่จริงแล้วก็เป็นเพราะเธอซื้อหนังสือลึกลับบางอย่างมาจากร้านหนังสือสั่ว ๆ สักที่ เซเลน่าบอกอีกว่าเธอพยายามให้เขาอ่านมันด้วยนี่”
“ไร้สาระสิ้นดี!” ท็อดด์พูดเน้นด้วยน้ำเสียงมั่นใจในตัวเอง
“หนังสือที่ว่านั่นต้องเป็นม้วนคาถาต้องห้ามอะไรสักอย่าง เธอต้องกำลังโกงอยู่แน่ ๆ!”
นี่คือครั้งแรกที่คนมุงคนอื่น ๆ ได้ยินเรื่องนี้ พวกเขาต่างมองหน้ากันจากนั้นก็ปรึกษากันด้วยเสียงกระซิบ
ท็อดด์หันไปมองพวกเขาด้วยความรู้สึกปลื้มใจในตัวเองสุด ๆ “เมลิสซ่าน่ะเสพติดการโกหก ร้านหนังสือนั่นก็แค่ร้านหนังสือธรรมดา ๆ ไม่ได้วิเศษวิโสอะไร ฉันส่งฟรานซิสกับพวกเจ้าหน้าที่อัศวินไปร้านหนังสือแล้ว”
“วางใจเถอะ ฉันไม่ทำอะไรผิดกฎหมายหรอก ฉันก็แค่แจ้งความว่าร้านหนังสือมีม้วนคาถาต้องห้ามซ่อนอยู่ แต่ถ้าเกิดความเสียหายอะไรขึ้นระหว่างการค้น มันก็ไม่ใช่เรื่องของฉันแล้วนะ”
“ไม่นานเธอก็จะได้เห็นร้านหนังสือนั่นปิดตัวไปเองแหละ!”
ท็อดด์รู้สึกว่าแผนของตัวเองไร้ที่ติ เมื่อเขามองไปที่เมลิสซ่า เขาก็รู้ว่าสาวน้อยผู้เย่อหยิ่งได้รับการกระทบกระเทือนอย่างหนักแล้วในครั้งนี้
และเป็นไปตามนั้น เขาเหยียดยิ้มเมื่อเขาเห็นเมลิสซ่าหน้าซีดมองเขาอย่างตระหนกสุด ๆ