เจ้าของร้านพิศวง - บทที่ 244 ความกลัว
บทที่ 244 : ความกลัว
ครืน…!!
โขดหินถล่ม ธารน้ำแข็งพังทลาย ทั้งเทือกเขาส่งเสียงคำรามดังลั่นเมื่อยักษ์ร่างมหึมาสลัดหลุดจากใต้ขุนเขาแล้วลุกขึ้นนั่ง
ในตอนนี้มันชัดเจนแล้วว่าทั้งเทือกเขานั้น ที่จริงแล้วเป็นบัลลังก์แห่งหนึ่งซึ่งยักษ์ตนนี้กำลังนั่งอยู่ในท่าทางที่ดูเหมือนกำลังครุ่นคิด…
บางทีเขาอาจจะกำลังครุ่นคิดอย่างลึกล้ำมานานจนตัวเขาและบัลลังก์ถูกแช่แข็งพอกพูนเสียจนกลายเป็นหนึ่งเดียวกับเทือกเขาไปแล้ว
และตอนนี้เองที่ในที่สุดเขาก็ตื่นขึ้น
เห็นได้ชัดว่ามิคาเอลมาที่นี่โดยเตรียมตัวไว้ก่อนแล้ว เขายืนอยู่ที่ขอบบัลลังก์ หรือตรงสันเขาที่มีซากถล่มลงมาน้อยที่สุด
ถึงแม้ว่าจะมีโขดหินบางอันที่ถล่มลงมาใส่เขาเต็ม ๆ ก็ตามที แต่แสงที่เปล่งออกมารอบ ๆ เขาก็ป่นมันจนเละ เขายังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ปล่อยให้ชุดคลุมสีขาวและเส้นผมสีบลอนด์ของเขาโบกพัดไปตามลมอย่างอิสระ
เขามองขึ้นไปที่ยักษ์ผู้ตื่นจากนิทรา แล้วขานออกไป “ออกัสทัสเอ๋ย เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าจึงมาที่นี่?”
สลาเตอร์ ออกัสทัส
‘ราชาโบราณแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์’ ‘จักรพรรดิดำ’ ‘นักภาษามังกรศาสตร์’ ‘ทายาทสุดท้ายแห่งมวลยักษ์’
สมญาเหล่านี้ต่างเป็นของเขา!
เขายังมีชื่อเล่นที่บ้าบอกว่านี้อีกเนื่องจากความยาวนานของอายุขัยจนป่านนี้ของเขา แต่สี่ห้าชื่อด้านบนนั้นเป็นสิ่งที่สื่อถึงเขาได้มากที่สุด
เขายังเป็นที่รู้จักในนาม ‘อาณาจักรยักษ์’ ในบางคนด้วยเพราะเขาได้เชื่อมติดกับบัลลังก์ของตัวเองไปแล้ว ซึ่งนี่ก็เป็นอาณาเขตสุดท้ายที่อาณาจักรของยักษ์ยังถือครอง
ในที่ราบสูงทางเหนือ ภายในเทือกเขาที่กั้นดินแดนจากภูเขาแห่งหมอก ตัวเขาคืออาณาจักรแต่เพียงผู้เดียว
แน่นอนว่าสมญานี้มีหมายความว่าออกัสทัสที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับทั้งอาณาจักร
ในฐานะหนึ่งในสามนักเวทมนตร์ดำระดับเหนือนภาที่ได้รับการจารึกในประวัติศาสตร์ พลังของออกัสทัสนั้นไม่มีข้อกังขา นอกจากความเชี่ยวชาญในเวทมนตร์ของเขาแล้ว การที่เขาเป็นยักษ์นั้นยิ่งเพิ่มความน่าเกรงขามให้เขาด้วยความสามารถทางกายภาพที่โดดเด่นอีกด้วย
อันที่จริง เขาได้รับการขนานนามว่าเป็นระดับเหนือนภาผู้ไร้จุดด้อย
แม้ว่าการจัดระดับขั้นของสมาคมแห่งสัจธรรมจะไม่ได้จัดลำดับบุคคล แต่ก็มีหลายคนที่มองว่าออกัสทัสคือผู้แข็งแกร่งที่สุดกันอย่างกว้างขวาง
ทว่าสำหรับมิคาเอลแล้ว นี่เป็นเรื่องตลกสิ้นดี
ออกัสทัสแข็งแกร่งอย่างไม่ต้องสงสัย แต่วิถีแห่งดาบอัคคีไม่ได้ขาดขุมพลังที่เทียบเท่าเขาได้เลย
แค่ว่าพวกเขาไม่เป็นที่รู้จักนักเท่านั้นเอง
กระทั่งตัวมิคาเอลเองก็มั่นใจว่าเขาก็สามารถเอาชนะออกัสทัสได้ ถ้าเขาเตรียมการมาล่วงหน้า ทุ่มสุดตัว และเตรียมใจยอมรับความตายเอาไว้แล้วน่ะนะ
ทว่าสิ่งมีชีวิตเก่าแก่อย่างเขาถนอมชีวิตของตัวเองมาก ไม่มีใครอยากจะต่อสู้แลกชีวิตกับคนที่อยู่ในระดับเดียวกันหรอก การกระทำที่โง่เขลาแบบนั้นคือการทำสัญญาที่ตัวเองขาดทุน ไร้ความหมายสิ้นดี
แต่ใครจะจินตนาการได้ว่าจะต้องไปเจอกับเจ้าคนน่ากลัวนั่นเข้า…
มิคาเอลอดไม่ได้ที่จะย้อนนึกถึงการพบปะครั้งล่าสุดของเขา ถึงแม้ว่านั่นจะเป็นแค่ร่างโคลนที่เขาส่งไปที่ร้านหนังสือ แต่เขาก็ยังสลัดความรู้สึกที่ถูกกดข่มโดยสมบูรณ์ไปไม่ได้
“โอ…มิคาเอลหรือ?”
ยักษ์ที่เพิ่งตื่นจากนิทราในเทือกเขาพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำราวกับโน๊ตเสียงต่ำของออแกนในโบสถ์ที่สลายไปในหมู่เมฆที่รายล้อม
เขากะพริบตา แล้วก้อนหิน ต้นไม้ และฝุ่นทรายก็ร่วงกราว
ดวงตาของเขาลึกล้ำราวกับอัญมณีออบซิเดียน เปล่งประกายด้วยปัญญาขณะสะท้อนภาพร่างบุคคลผมสีบลอนด์ในชุดคลุมสีขาวร่างเล็กจ้อยตรงหน้าเขา
เมื่อออกัสทัสขยับศีรษะ มงกุฎที่เขาสวมก็เผยโฉม
มงกุฏนั้นดำราวกับไม้ที่ไหม้เป็นถ่าน และรอยร้าวบนนั้นสะท้อนแสงวูบวาบราวกำลังติดไฟ
ออกัสทัสระลึกความหลังเล็กน้อยแล้วจำได้ว่าเขาใจลอยไปขณะที่กำลังครุ่นคิดเรื่องคาถาที่น่าเบื่อสุด ๆ หลังจากที่เพิ่งส่งศิษย์คนก่อนของเขาออกไป…
และการหลับไหลของเขาก็กินเวลาไปสามสิบปีเต็ม!
ในขณะที่ออกัสทัสกำลังรำลึก เจ้าตัวน้อยชื่อไวลด์ก็คงได้พบสถานที่อันเหนือธรรมดาจากการนำพาของชะตากรรมแล้ว
หลังจากเหวี่ยงก้อนกรวดก้อนน้อยนั้นออกไป มันได้สร้างแรงกระเพื่อมบนผิวน้ำติด ๆ กันไป
ไม่นานเขาก็ตระหนักได้ว่าเพื่อนเก่าตรงหน้าเขาคนนี้ก็มี ‘การแปดเปื้อน’ แห่งชะตาเช่นกัน ออกัสทัสจึงถามด้วยรอยยิ้ม “เจ้ามาปลุกข้าเพียงเพื่ออยากให้ข้าเห็นสภาพโดนยำเละตุ้มเป๊ะของเจ้าหรือ?”
ออกัสทัสแสร้งครุ่นคิด ขำเล็กน้อยแล้วออกความเห็นอย่างจริงจัง “ข้าต้องพูดว่ามันบันเทิงใจจริง ๆ”
มิคาเอลรู้ว่าออกัสทัสตระหนักถึงสิ่งที่ร่างโคลนของเขาได้พบ แม้ว่าเขาจะรู้สันดานของยักษ์ผู้นี้ แต่สีหน้าของเขาก็บูดบึ้งเมื่อถูกย้ำเตือนถึงประสบการณ์ไม่พึงประสงค์นั้นขึ้นมา “ทิ้งตลกร้ายนั่นไปซะ ข้าเกือบลืมว่าอยู่กับเจ้าไม่ควรอารัมภบท”
เขาเคาะกางเขนแดงของเขากับพื้นแล้วถาม “เจ้าของร้านหนังสือเป็นผู้ใดกันแน่?”
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน” ออกัสทัสตอบพลางส่ายหน้า
มิคาเอลแย้งอย่างไม่เชื่อ “ไม่รู้? การ์กอยล์ตัวนั้นต้องเป็นของเจ้าแน่ ถูกไหม?”
“นั่นเป็นผลงานชิ้นเอกของศิษย์ข้า ดีใช้ได้เลยใช่ไหม?” ออกัสทันดูราวกับกำลังหลงระลึกความหลัง
มิคาเอลจ้องเขา “นั่นมันเรื่องก่อนเจ้านิทราไป ซึ่งอย่างน้อยก็สามสิบปีกว่านี่? เจ้าต้องเคยได้เห็นทิศทางสุดท้ายที่เขาจะมุ่งไปผ่านการ์กอยล์นั่นแน่”
“ข้าไม่คุ้นเคยกับการชี้วัดทิศทางของโชคชะตา สำหรับข้าแล้ว ในยามที่ร่างโคลนของข้าเข้าไปในร้านหนังสือ ข้ามองไม่เห็นเส้นด้ายแห่งโชคชะตาในร้านหนังสือเลย แต่เจ้าคงได้เห็นข้าผ่านตาของการ์กอยล์แล้ว และข้าก็ไม่เชื่อด้วยว่าเจ้าจะไม่มีส่วนร่วมใด ๆ กับเรื่องนี้เลย
“ยิ่งกว่านั้น เจ้าของร้านหนังสือยังดูเหมือนจะมีความเชื่อมโยงกับมังกรโบราณบากั๊กด้วย แน่ล่ะ…เจ้ารู้จักเจ้านั่นใช่ไหม?”
เมื่อเผชิญกับการสอบถามของมิคาเอล ออกัสทัสก็ตอบพร้อมรอยยิ้มน้อย ๆ “บากั๊กตายไปแล้ว”
“ข้าได้ประสบกับออร่าของมังกรแห่งภัยพิบัติบากั๊กมาด้วยตัวเอง เจ้าคงได้เห็นนั่นด้วยใช่ไหมล่ะ? มัน ‘บันเทิงใจจริง ๆ’ อย่างที่ว่าจริง ๆ แหละ”
เขากำลังหมายความว่าบากั๊กยังไม่ตาย หรือก็คือ ผู้ที่ตายนั้นไม่ใช่บากั๊ก แต่เป็นอะไรสักอย่างที่ใช้ตัวตนนั้น…
ออกัสทัสปรับท่าทางของเขา “บากั๊กตายแล้วจริง ๆ แต่ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นผู้ได้รับการเจิมจากแม่มดซิลเวอร์ หลังความตาย เขาก็ได้กลายเป็นต้นไม้ต้นหนึ่งในแดนนิมิตเหมันต์พิสุทธิ์ของนาง เขามีความตายที่ดี”
ดวงตาของมิคาเอลหรี่ลง
“ดังนั้น” ออกัสทัสพูดต่อ “เขาจึงมิได้เกี่ยวข้องใด ๆ กับบากั๊ก แต่เกี่ยวข้องกับแม่มดบรรพกาลต่างหาก”
หัวใจของมิคาเอลเริ่มเต้นรัว เมื่อเขาก่อตั้งวิถีแห่งดาบอัคคีขึ้นมา สิ่งที่ตัวเองกลัวที่สุดก็คือการตื่นขึ้นของแม่มดบรรพกาลในแดนนิมิต…นี่เป็นเพราะว่าเขาอยากงัดเปิดแดนนิมิตซึ่งเป็นสิ่งตรงข้ามกับที่แม่มดบรรพกาลทำเมื่อกาลก่อน
สุดท้ายแล้วเหล่าแม่มดก็ไม่ได้ตื่นขึ้น แต่เป็นสิ่งชั่วร้ายกว่าที่มีความสัมพันธ์กับแม่มดที่โผล่มาแทน
“เจ้าจะบอกว่า เขาถูกพวกแม่มดส่งมาหรือ…?”
“ข้าไม่รู้” ออกัสทัสปฏิเสธทันที
แล้วเขาก็ถอนหายใจอย่างเด็ดเดี่ยว “เจ้าพูดบางเรื่องถูก ข้าเห็นเส้นด้ายแห่งโชคชะตาผ่านการ์กอยล์จริง แต่นั่นคือตอนที่ข้าหยุดมือ ข้าอยากให้ศิษย์ข้าเดินด้วยขาตัวเอง ดังนั้นข้าจึงมิได้มองลึกไปกว่านั้น”
เขาจะทำก็ได้ แต่เขาไม่ได้ทำ
มันไม่ใช่เพราะราชาโบราณแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ขาดหัวใจใคร่รู้แต่อย่างใด
แต่เป็นเพราะว่า…ความกลัว
มิคาเอลสิ้นวาจา และสันหลังของเขาก็หนาววาบขึ้นมาทันที
“แล้วก็…”
ออกัสทัสยกมือของเขาขึ้นแล้วชี้ไปไกล “หนึ่งในเพื่อนเทวดาของเจ้าดูจะคิดว่าการไม่ร่วมมือกับเจ้าของร้านหนังสือจะเป็นความคิดที่ดีนะ เจ้าไม่ไปหยุดเขาหน่อยหรือ?”