เจ้าของร้านพิศวง - บทที่ 248 เรซิเอลหยุดคิดไปแล้ว
บทที่ 248 : เรซิเอลหยุดคิดไปแล้ว
สายฝนที่ไม่มีอยู่จริงนิ่งค้างอยู่ในการไหลเวียนย้อนกลับของมิติและเวลาอันไม่มีอยู่จริง
หยาดฝนที่ไหลย้อนกระเซ็นกลับขึ้นไปบนท้องฟ้ายามราตรีอันมืดมิด แย้งทุกเหตุผล เปลี่ยนไปเป็นเส้นด้ายที่กระจ่างใส แล้วภาพที่บิดเบี้ยวสุด ๆ ของร้านหนังสือก็สะท้อนอยู่บนเส้นหยดน้ำยืด ๆ พวกนี้
มันดูราวกับทั้งโลกนี้ไม่ใช่ความจริง แต่ที่จริงสิ่งที่ว่ามานั้นถูกต้องแล้ว
นี่คือภาพลวงตาย้อนอดีตที่ ‘ผู้รู้เห็น’ ทำปลอมขึ้นมาโดยใช้เวทมนตร์ย้อนสภาพจำนวนมากในขอบเขตสายตาและเลนส์แว่นตาของเรซิเอลเท่านั้ัน
นอกจากเขาแล้ว ไม่มีใครเห็นมัน และมันก็ไม่กระทั่งจะมีตัวตนอยู่!
อุปมาง่าย ๆ ก็คือภาพเหล่านี้เป็นภาพที่ถูกบันทึกไว้แล้วถูกกรอย้อนหลัง…
ทุกอย่างที่จะเกิดขึ้นในภาพเหล่านี้ถูกกำหนดไว้ตายตัวแล้ว และไม่มีอะไรที่เปลี่ยนไปได้เลย
ทว่าโลกที่เป็นโลกจินตภาพโดยสมบูรณ์นี้กลับทำลายเส้นแบ่งระหว่างความเป็นจริงและจินตนาการลงในครั้งนี้
ภาพร่างมัว ๆ สีดำนั้นไม่เพียงแต่รู้การมีตัวตนอยู่ของเรซิเอล แต่ถึงขั้นชี้นิ้วของมันมาที่เขาได้ เห็นได้ชัดว่ามันรู้กระทั่งว่าเรซิเอลอยู่ที่ไหน
มันดูราวกับตัวละครในรายการโทรทัศน์ที่จู่ ๆ ก็หันมาหาผู้ชมหลังจอแล้วชี้นิ้วใส่ผู้ชมแล้วคุยกับพวกเขา
นี่เป็นฉากที่ส่งตรงมาจากหนังสยองขวัญชัด ๆ!
นั่นคงเป็นสิ่งที่คนธรรมดาคงรู้สึก แต่สำหรับเรซิเอลผู้อยู่ในระดับเหนือนภาและมีสมญาอย่าง ‘ปัญญาแห่งสวรรค์’ กับ ‘ผู้นำแห่งนักวิชาการ’ แล้วมันเป็นยิ่งกว่าน้้นอีก
บางทีอาจจะเป็นเพราะความสามารถขั้นเทพและความรู้อันกว้างขวางที่ทำให้เขาเข้าใจถึงความลึกล้ำและลึกลับของความน่ากลัวระดับนี้ได้มากกว่าคนอื่น ๆ
ในตอนนี้เรซิเอลกำลังตัวสั่นอย่างหวาดกลัว หนังศีรษะของเขาชายิบและสั่นสะท้านอย่างแรงไปทั้งร่าง
ความคิดหนึ่งกำลังกรีดร้องสุดเสียงอยู่ในใจของเขา ฟังดูราวกับฝันร้ายที่วนซ้ำ ๆ มันเห็นข้าแล้ว! มันเจอข้าแล้ว!
พูดอย่างเป็นเหตุเป็นผลแล้ว เขาก็ตระหนักดีว่าเรื่องนี้เป็นไปไม่ได้
ในฐานะนักวิชาการผู้รู้รอบด้าน เรซิเอลใช้เวลาพอสมควรในการศึกษามิติและเวลารวมไปถึงหัวข้ออื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ทว่าไม่ว่าเขาจะเข้าหาปัญหาด้วยวิธีการใด ๆ เขากลับอธิบายเรื่องนี้ไม่ได้เลย
นี่มันเกินความรู้ความเข้าใจของเขาไปแล้ว
เพราะภาพนี้…มันไม่มีอยู่จริงด้วยซ้ำ…
มันเป็นแค่ภาพลวงตาที่ทำปลอมขึ้นมาด้วยอีเธอร์และการใช้เครื่องจักร ทั้งหมดนี้เป็นของปลอม!
นี่ไม่ใช่เรื่องจริง มันไม่ได้มีอยู่จริง ๆ…
อันที่จริงแล้ว ‘ผู้รู้เห็น’ สามารถบันทึกและสร้างภาพเหล่านี้ได้ผ่านจิตใจของเรซิเอลเท่านั้น มันเป็นไปไม่ได้กระทั่งจะบอกว่ามันเป็นวิธีการปรากฏตัวที่พวกระดับเหนือนภามักจะใช้ เพราะที่นี่ไม่ได้มีอยู่จริงด้วยซ้ำ!
“อะไรที่ไม่มีอยู่จริงจะถูกเปลี่ยนไปได้ยังไง? มันรู้ได้อย่างไรว่าข้าเฝ้ามองมันอยู่ที่นี่?” เรซิเอลพึมพำกับตัวเองพลางมองภาพตรงหน้าอย่างงุนงง
ด้วยความที่เขาเป็นนักวิชาการระดับเหนือนภา เรซิเอลจึงเริ่มครุ่นคิดเกี่ยวกับปรากฏการณ์แปลก ๆ นี้และความเป็นไปได้นับไม่ถ้วนก็ไหลผ่านจิตใจของเขาราวกับฝนดาวตกบนฟ้ายามราตรี ความมีเหตุผลของเขาทำให้ตัวเองยังคงรักษาความเยือกเย็นไว้ได้ ในขณะที่ครุ่นคิดถึงปริศนานี้
ทันใดนั้น ความคิดอีกอย่างหนึ่งก็พลันปรากฏขึ้นกะทันหันราวกับคลื่นน้ำที่สาดใส่โขดหินแล้วกระจายออกมาเป็นคำตอบที่กระจ่างชัดและเรียบง่าย
เว้นแต่ว่า…เขาจะเล่นตุกติกกับสติของตัวเรซิเอลเอง…
เรซิเอลแถลงไขแล้ว
อย่างนี้เองสินะ!
นี่คือความเป็นไปได้เดียวจริง ๆ
สิ่งที่ไม่มีอยู่จริงไม่สามารถถูกคนอื่นแทรกแซงได้ คำอธิบายที่ฟังขึ้นเพียงหนึ่งเดียวก็คือมันแทรกแซงตัวเรซิเอลเอง
เรซิเอลพบทางสว่างในทันที
“วิธีการคิดและวิธีการเยี่ยมยอด เจ้าของร้านหนังสือ…หลินเจี๋ยอยากจะทำให้ข้าหวาดกลัวแล้วยอมรับความพ่ายแพ้โดยไม่ต้องต่อสู้สินะ?!”
ร่างกายที่สั่นเทาของเขาค่อย ๆ สงบลง แล้วเขาก็กลับมามีสีหน้าเคร่งเครียดมั่นใจ แต่ผ่อนคลายแล้วค่อย ๆ เผยรอยยิ้มออกมา
“โชคร้ายหน่อยนะ ข้ามองทะลุแผนของเจ้าและจะไม่ตกหลุมพรางแบบนั้นอีก…แต่ถ้าเจ้าถึงกับใช้เกมจิตวิทยาแบบนี้ ข้าก็เกรงว่าความสามารถของเจ้าอาจจะไม่ได้ ‘เกินจินตนาการ’ อย่างที่บรรยายหรอก”
“เจ้าน่ะก็แค่อันตราย ในกรณีนี้…”
เรซิเอลจ้องมองฉากตรงหน้าที่เริ่มเปลี่ยนไปอีกครั้งแล้ว ด้วยเวลาที่ถูกย้อนกลับ ความสงบเงียบตามปกติก็ค่อย ๆ กลับมาในร้านหนังสือ การปรับเปลี่ยนหายไป ราวกับค่ำคืนที่ฝนตกปรอย ๆ อันมืดมิดน่ากลัวเป็นเพียงภาพหลอนชั่วประเดี๋ยว
จากนั้นครู่สั้น ๆ
เรซิเอลส่ายหน้าช้า ๆ แล้วหยุดง่วนกับปุ่มบนกรอบแว่น เขาเคาะกรอบแว่นเบา ๆ เพื่อหยุดการใช้งาน ‘ผู้รู้เห็น’
เขาย้อนเวลากลับไปได้สองปีครึ่งแล้ว และภาพตรงหน้ายังคงนิ่งสนิทไม่เปลี่ยนแปลงมาสักพัก
หลินเจี๋ยมาถึงนอร์ซินเมื่อสามปีก่อน และแทบไม่มีความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ในช่วงสองปีเลย การย้อนเวลาไปมากกว่านี้คงไม่ได้ผลลัพธ์ที่จับต้องได้ใด ๆ
ภาพในกระจกเปลี่ยนไปอีกครั้งแล้วแสดงเป็นภาพตามเวลาจริง
“ดูเหมือนว่าอัญมณีที่น่ารักของข้า ผลงานชิ้นเอกของข้า งานสร้างของข้าจะกลับมาหาข้าในไม่ช้าแล้ว…S-277 เอ๋ย หรือข้าควรเรียกนางว่ามูเอนแล้วกันนะ?”
เรซิเอลเผยรอยยิ้มมั่นใจและมุ่งมั่นออกมาขณะที่เขากำลังเฝ้ามองเด็กสาวที่ง่วนกับงานอยู่ที่คาเฟหนังสือ เขาสูดหายใจลึกพลางจัดแว่นของตัวเอง “ข้ารอต่อไม่ไหวแล้ว ไม่มีตัวตนใดที่สมบูรณ์แบบไปกว่านี้แล้ว… มนุษย์ประดิษฐ์ที่ข้าสร้างได้สร้างอัตตาและอารมณ์ของตัวเองแล้ว เส้นทางสู่ความเป็นเทพของข้า…”
เสียงของเขาเบาลงเรื่อย ๆ แล้วจู่ ๆ เขาก็ยกมือขึ้นกดนิ้วลงที่ขมับแล้วหัวเราะฮึ
“ฮี่ ๆๆ ฮ่า ๆๆๆ … เจ้าคิดว่าแค่นี้ก็ทำให้ข้ากลัวได้แล้วเหรอ?!”
“เจ้าก็แค่แทรกแซงสติของข้าแล้วสร้างภาพหลอนนั่นขึ้นมา คิดว่าข้าจะไม่รู้หรือไง? ข้าต้องพูดว่ากลลวงที่ทำให้ข้าเหยียบกับดักของเจ้าโดยไม่รู้ตัวได้นั่นยอดเยี่ยมแน่แท้ แต่เจ้าคงกำลังดูถูกความฉลาดของนักวิชาการระดับเหนือนภาอยู่เป็นแน่ เหตุใดข้าต้องไหวหวั่นเพราะเรื่องนี้กันเล่า?”
“หลินเจี๋ยเอ๋ย…เจ้าต้องกำลังรู้สึกชื่นมื่นอยู่ใช่ไหม? แต่ข้าต้องบอกว่าเจ้าคิดผิดแล้ว…”
“เจ้าเห็นข้า แต่ข้าก็หาเจ้าได้เช่นกัน! เจ้าคิดว่าเจ้าซ่อนตัวแนบเนียนแล้วสินะ? ไม่เลย ข้าเจอเจ้าแล้ว!”
“ฮ่า ๆๆๆๆ …ที่ไหนนะ? เจ้าอยู่ที่ไหนหนอ?”
เรซิเอลเผยรอยยิ้มแปลก ๆ ลี้ลับออกมาราวกับกำลังจ้องเจ้าของร้านหนังสืออยู่ผ่านเลนส์แว่นตา แล้วเอ่ยเรียกด้วยเสียงแหลมราวกรีดร้อง
“นี่ไง!”
นิ้วของเขาที่แนบขมับอยู่พลันคมกริบแล้วเจาะเข้าไปในผิวหนัง เนื้อและกระดูกกะโหลกของเขา เข้าไปใกล้สมองขึ้นเรื่อย ๆ…จนในที่สุดฝ่ามือของเขาก็คว้าสมองทั้งก้อนของตัวเองไว้แน่น
เผละ!