เจ้าของร้านพิศวง - บทที่ 266 เอาชนะใจลูกค้า
บทที่ 266 : เอาชนะใจลูกค้า
“ขอบคุณครับ ผมคิดว่าเพื่อนร่วมงานของผมต้องชอบชานมไข่มุกนี่มาก ๆ แน่เพราะมันอร่อยจริง ๆ”
แอนดรูว์ยิ้มให้มูเอนในขณะที่เขากำลังจัดเก็บชานมไข่มุกสิบแก้วแล้วหันหลังจากไปอย่างลูกค้าที่พึงพอใจ แน่นอนว่าสิบแก้วนี้ซื้อเต็มราคา
เขาไม่ได้มีความรู้สึกเชิงลบใด ๆ จากการกลืน ‘ไข่มุก’ เหล่านี้เลย แล้วคิดว่าการต่อต้านก่อนหน้านี้เป็นไปตามสัญชาตญาณของร่างกายเขา ทว่าความรู้สึกต่อต้านเหล่านี้ได้หายไปแล้วหลังกินมันเข้าไป
‘ไข่มุก’ เหล่านี้คือแมวขาวตัวนั้น และยังเป็นส่วนหนึ่งของเปลบุตรแห่งจันทราด้วย แต่ต่างจาก ‘แก่นจันทร์ศักดิ์สิทธิ์’ ซึ่งจะเปลี่ยนเจตจำนงของบุคคล ร่างโคลนที่สมบูรณ์เหล่านี้จะไม่ส่งผลใด ๆ ต่อความคิดของเจ้าของร่าง
แต่หากเจ้าของร่างมีเจตนาทรยศใด ๆ พวกมันก็จะยึดสิทธิ์การควบคุมสมองของเจ้าของร่างทันที
นี่คือมาตรการป้องกันข้อผิดพลาดอย่างหนึ่งที่มีโอกาสสำเร็จเกือบ 100% แต่มันจำกัดแค่ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับต่ำกว่าภัยพิบัติ
แอนดรูว์เชื่อว่าสิ่งนี้จะให้ผลดีอย่างมากกับการพัฒนาของ “ฝ่ายผู้แสวงหาปัญญา”
พวกเขาสามารถรับประกันได้ว่าพวกเขาจะภักดีต่อร้านหนังสือ แต่รับประกันไม่ได้ว่าคนอื่น ๆ จะภักดีเหมือนพวกเขาด้วย
แต่ชานมไข่มุกพวกนี้ทำได้
“หากกลุ่มองค์กรในระยะแรกต้องการเติบโตและอยู่รอดในองค์กรที่เข้มแข็งกว่าตัวเองไม่รู้กี่เท่าแล้วค่อย ๆ ครอบงำให้หมดทั้งองค์กร สิ่งสำคัญที่สุดก็จะไม่ใช่ความแข็งแกร่งของสมาชิกในองค์กร แต่เป็นความจงรักภักดีและความตั้งใจที่แน่วแน่”
แอนดรูว์เดินออกจากร้านหนังสือแล้วมองไปในทิศที่ตั้งสมาคมแห่งสัจธรรมที่ไกลออกไป
เมื่อได้นั่งในตำแหน่งรองประธานแล้ว ชายหนุ่มก็รู้ดีว่านักวิชาการให้การยอมรับต่อ “สมาคมแห่งสัจธรรม” ดีเพียงใด
สมาชิกส่วนใหญ่ของ ‘ผู้แสวงหาปัญญา’ ยังมองว่านี่เป็นกลุ่มเหมือน ‘ผู้แสวงหาความจริง’ เดิม ซึ่งเป็นเพียงฝ่ายที่อยู่ในองค์กร ไม่ใช่องค์กรที่แยกออกมาเป็นอิสระ
เจตจำนงของพวกเขายังเป็นส่วนหนึ่งของสมาคมแห่งสัจธรรม
แต่ด้วยความแข็งแกร่งของสมาคมแห่งสัจธรรม ฮู้ดจึงยังไม่กล้าเปิดเผยเจตนารมณ์ที่แท้จริงของเขาให้สมาชิกส่วนใหญ่รับรู้ เขาทำได้เพียงสร้างอิทธิพลต่อพวกเขาแบบอ้อม ๆ และจำนวนสมาชิกที่ไปร้านหนังสือกับเขาในทีแรกนั้นมีน้อยและอ่อนแอเกินไป
มันช้าเกินไป…
“เราต้องการวิธีการดึงคนที่เด็ดขาดกว่านี้เพื่อทำให้ ‘ผู้แสวงหาปัญญา’ แข็งแกร่งกว่านี้ได้ ด้วยเกียรติภูมิปัจจุบันของเราแล้ว เราต้องเปลี่ยนสมาคมแห่งสัจธรรมเป็นถิ่นของเราให้ได้ก่อนที่พวกเขาจะมีปฏิกิริยา!”
“ชานมไข่มุกสิบแก้วนี้คือจุดเริ่มต้นของการปฏิวัติ!”
แอนดรูว์รู้สึกถึงเปลวเพลิงที่โหมกระหน่ำในใจของเขา ทำให้เขาตื่นเต้นมาก
เจ้าของร้านหลินบอกให้เขาช่วยบอกต่อ ส่งเสริมการขายชานมไข่มุก
“เจตจำนงของคุณ ผมรับทราบแล้ว!”
—
มูเอนวางเจ้าขาวลงบนโต๊ะแล้วแปรงขนของมัน
เจ้าขาวสะบัดหางฟู ๆ ของมัน แสดงออกถึงความสุขใจ มันส่งเสียงกรนออกมาเล็กน้อยแล้วนอนลงพลิกหงายท้องอยากให้เอาใจ…แต่เพราะมันอ้วนเกินไปจึงพลิกไม่ได้
เจ้าขาวมองพุงอวบ ๆ ของตัวเองด้วยความสงสัย
ดวงตาของมูเอนหยีลง เธอจิ้มท้องนุ่ม ๆ ของเจ้าขาวแล้วช่วยเจ้าแมวอ้วนพลิกตัว จากนั้นก็มองตามแผ่นหลังของลูกค้าที่จากไป แล้วสีหน้าของเธอก็ค่อย ๆ สงบลง
สมาคมแห่งสัจธรรม…
นั่นคือสถานที่ที่เธอเกิด แต่ที่นั่นเธอไม่ใช่คน เป็นเพียงหุ่นเชิด เป็นเครื่องมือที่ใกล้ตายเท่านั้น ที่นั่นแทบไม่ทำให้เธอรู้สึกถึงอุณหภูมิใด ๆ ได้เลย มันช่างเหน็บหนาวเย็นชา
จนกระทั่งเกิดไฟไหม้ใหญ่ครั้งนั้น รังสีอันเย็นชาจึงสลายไป
แล้วเมื่อเธอตื่นขึ้นมา ภาพที่ได้เห็นก็คือผู้ชายคนนั้น รอยยิ้มอ่อนโยนนั้นก็ดูราวกับจะทำให้รอบข้างสว่างไสว
เขาให้ชื่อกับเธอ และชีวิตที่แท้จริงด้วย…
ดังนั้นมูเอนจึงตัดสินใจอยากช่วยหลินเจี๋ย แต่ว่าเดิมทีแล้วเธอเล็กจ้อยและอ่อนแอเกินไป ดังนั้นในแต่ละคืน ตามความต้องการของหลินเจี๋ย เธอก็จะเรียนรู้อำนาจของแม่มดจากวัลเพอร์กิส สังหารเทพปลอม ริบอำนาจคืน แล้วกลายเป็นเทพธิดาดวงจันทร์และผู้ปกครองยามค่ำคืนคนใหม่
สิ่งที่หลินเจี๋ยพูดคือหนทางสู่อำนาจของเธอ
ตอนนี้เขาต้องการเปลี่ยนสมาคมแห่งสัจธรรมเป็นของเล่นของเขา ดังนั้นมูเอนก็จะทำทุกอย่างเพื่อช่วยเขา
เธอจะเป็นดวงจันทร์อันเที่ยงธรรม
แต่ที่จริงแล้ว มันเป็นความยุติธรรมของเขา
“เราต้องใช้นมและใบชา ความข้นของนมและรสชาติของใบชานั้นให้สัมผัสดุดันและอร่อยมาก แล้วก็…ฮ่า ๆ ถ้าเราใส่สารปรุงแต่งอื่น ๆ ลงไป คนอื่นก็ตรวจไม่เจอหรอก”
คำพูดตะกุกตะกักของหลินเจี๋ยตอนสอนเธอให้ชงชานมดังอยู่ในหูของเธอ หลินเจี๋ยมักจะแสดงท่าทีเหมือนนักฉวยโอกาส ขยิบตาให้เธอแล้วยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์มาก
“สิ่งที่สำคัญที่สุดของไข่มุก…ชิ ที่นี่คงไม่มีวัตถุดิบทำ ลำบากแท้ แต่เราน่าจะหาของมาใช้แทนได้มั้งครับ?”
หลินเจี๋ยเบนความคาดหวังของเขาไปที่ผู้ช่วยผู้เก่งรอบด้านของเขา แล้วกล่อมเธออย่างมีชั้นเชิงและอดทน
“มูเอน ลองคิดดูนะครับว่ามีอะไรที่เราสามารถเอามาปั้นเป็นก้อนกลม ๆ สีดำได้มั้ย อืม…รสชาติจะหยุ่น ๆ กลม ๆ เรียบ ๆ หนึบ ๆ อาจแข็งนิดหน่อย ทำให้คนกินเคี้ยวกินแบบหยุดไม่ได้เลยน่ะครับ”
“เป็นอะไรไปเหรอเจ้าขาว? ทำไมตัวสั่นแบบนั้นล่ะ ให้ฉันตรวจหน่อย คงไม่ใช่ว่าเป็นลมแดดหรอกใช่ไหม เจ้าเหมียวน้อยที่ดูดีแบบนี้ต้องอร่อยแน่นอน…อ้าว ไม่เป็นไรแล้ว แปลกจัง”
“…โอ้ คิดออกแล้วเหรอครับ? ดีเลย ลองทำตามที่คิดเถอะครับ แล้วเอามาให้ผมอนุมัติก่อนนะครับ”
“สิ่งเหล่านี้คือกุญแจในการมัดใจผู้คน อย่างที่เขาว่าหากอยากชนะใจลูกค้า ก็ต้องชนะกระเพาะลูกค้าให้ได้ก่อน…”
มูเอนเหยียวนิ้วเรียวของเธอเล่นกับเส้นขนของเจ้าขาวอย่างชื่นชม มุมปากของเธอยกยิ้มอย่างมองแทบไม่เห็น แล้วคีบ ‘ไข่มุก’ วางบนมือของเธอเบา ๆ แล้วไข่มุกหนึ่งเม็ดก็กลายเป็นสองไปในทันทีราวกับแยกร่าง
บางที…เขาก็คงสุขใจมากเหมือนกัน
—
หลินเจี๋ยกำลังครุ่นคิดว่าทับทิมเม็ดใหญ่ขนาดนี้จะตีราคาได้สักเท่าไหร่
ชายหนุ่มมองไปที่อัญมณีสีแดงวาววับซึ่งเกือบจะมีขนาดเท่ากับฝ่ามือ มือของเขาหยิบมันขึ้นมาส่องอย่างระมัดระวังซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับว่าเขามีเงินนับล้านอยู่ในมือ เป็นความรู้สึกที่ดีเสียนี่กระไร
แม้ว่าจะบอกว่าเป็นศิลานักปราชญ์ก็เถอะ แต่เขาก็ไม่มีที่ให้ใช้มัน… อีกอย่าง เขาได้ลองใช้สิ่งนี้อย่างลับ ๆ เพื่อดูว่าเขาจะสามารถเปลี่ยนโลหะธรรมดาเป็นทองได้ไหมในตอนที่ไม่มีใครอยู่ในร้าน และผลก็คือเขาผิดหวังมาก
ศิลานักปราชญ์อะไรกัน ของเก๊ชัด ๆ!
ในเมื่อเปลี่ยนหินเป็นทองไม่ได้ แล้วมันจะไปมีประโยชน์อะไร?!
แต่การใช้งานอื่น ๆ ของมันในตำนาน อย่างการมีชีวิตนิรันดร์หรือตายแล้วเกิดใหม่อะไรเทือกนั้น เขาก็ไม่ได้มีความปรารถนาแบบนั้นเลย
เมื่อคิดดูแล้ว ราคาค่างวดที่สูงที่สุดของสิ่งนี้ก็คือการขายแลกเงินเหมือนอัญมณีทั่วไปนั่นแหละ
ทว่า…เพราะมีคาเฟ่หนังสือเพิ่มเข้ามาทำให้กิจการร้านหนังสือดีขึ้น เขาจึงไม่ได้จนตรอกอย่างแต่ก่อนแล้ว และชายหนุ่มก็มีความรู้สึกว่าการขายอัญมณีเม็ดใหญ่หายากขนาดนี้ก็อาจจะเป็นการสิ้นเปลืองเปล่า ๆ
“ยกให้มูเอนไปคงดีกว่า!”
หลินเจี๋ยพลันมีแรงบันดาลใจขึ้นทันที แล้วเขาก็มองอัญมณีในมืออย่างพออกพอใจอย่างยิ่ง “มูเอนทำชานมไข่มุกออกมาได้ ก็ควรให้รางวัลความดีความชอบของเธอ อีกอย่างในฐานะผู้หญิงเธอก็น่าจะชอบของวิบวับแบบนี้ด้วยเหมือนกัน”
ยิ่งเขาคิดเรื่องนี้มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าเป็นไปได้มากขึ้นเท่านั้น เขาพยักหน้าแล้วจิบชานม “เก็บมันไว้นี่แหละ มันเหมาะมากสำหรับเป็นของขวัญ”