เจ้าของร้านพิศวง - บทที่ 273 วิธีปฏิเสธความสัมพันธ์อย่างมีชั้นเชิง
บทที่ 273 : วิธีปฏิเสธความสัมพันธ์อย่างมีชั้นเชิง
มือทั้งสองของหลินเจี๋ยประสานกันไว้ที่ใต้คางพลางครุ่นคิด
แต่เดิมแล้ว ในตอนที่เขาเคยบอกให้จี้จือซู่เลือกอะไรก็ได้ที่เธออยากได้ในร้านนี้เป็นของขวัญ คุณหนูผู้นี้ไม่ได้เรียกร้องขออะไรมากไปกว่ากุหลาบหนึ่งต้นที่เขาปลูกด้วยตนเอง
ด้านราคาแล้ว นอกจากมันจะดูสวยกว่ากุหลาบส่วนใหญ่นิดหน่อย ดอกกุหลาบที่ควรจะหาได้ทั่วไปนี้ก็ไม่น่าจะมีราคาค่างวดอะไรมากจนต้องใส่ใจ ความต่างเดียวของมันก็คือปกติมันขายดอกละเก้าดอลลาร์ ในขณะที่ขายเก้าสิบเก้าดอลลาร์ในวันวาเลนไทน์เท่านั้นเอง
แต่ไม่ว่ามันจะแพงได้สักแค่ไหน แต่ในสายตาจี้จือซู่ มันก็เป็นได้แค่ดอกกุหลาบอยู่ดี
ดอกกุหลาบธรรมดา ๆ จะทำให้จี้จือซู่อ้าปากเอ่ยขอมันได้อย่างไร? ดังนั้นคำอธิบายที่ฟังขึ้นที่สุดก็คงเป็นที่เธออยากได้มันมาก
พูดถึงกุหลาบแล้ว…
หลินเจี๋ยแอบชำเลืองมองที่อกใหญ่ของคุณหนูจี้ ดอกกุหลาบสีแดงสดดอกโตดูเด่นชัดเป็นพิเศษขึ้นมาเมื่อตัดกับคอชุดเดรสเปิดไหล่สีดำ ภาพลักษณ์ของมันไม่ได้ต่างไปจากความทรงจำของหลินเจี๋ยเมื่อหลายเดือนก่อนเลยสักนิด
บางทีจี้จือซู่อาจใช้วิทยาการล้ำสมัยบางอย่างเพื่อคงสภาพมันไว้ แต่เมล็ดพันธุ์ที่โดริสนำมานี่พิเศษจริง ๆ ด้วย ไม่คาดคิดเลยว่ากุหลาบดอกนี้จะยังดูสดเหมือนมีชีวิตไม่เปลี่ยนแปลงหลังถูกเด็ดออกมาจากต้น
แต่จี้จือซู่ก็นำดอกกุหลาบดอกนี้มาประดับติดกับร่างกายของเธอเองตลอดเวลา
หมายความว่าก็ต้องคิดให้มากกว่านี้หน่อย
เด็กสาวคนหนึ่งที่เคยถูกหักหลังและถูกทำร้ายเข้ามาในร้านหนังสือในคืนฝนตก ขอความช่วยเหลือและดูจะพึ่งพาเขามากหลายต่อหลายครั้ง อยากได้กุหลาบของเขาแล้วประดับมันติดตัวมาเป็นเดือน ๆ แล้วตอนนี้ยังชวนเขาไปร่วมงานเลี้ยงวันเกิดของเธอด้วย…
หลินเจี๋ยรู้สึกว่ามีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียว
มีเหตุผลชัดเจน!
แต่ปัญหาเดียวคือ เขาไม่มีแผนในเรื่องนี้เลย
แล้วคำถามที่สำคัญกว่านั้นก็คือ เราจะปฏิเสธยังไงดี…ถ้าพูดไปตรง ๆ ก็เจ็บเกินไป เราต้องหาวิธีปฏิเสธความสัมพันธ์อย่างมีชั้นเชิงและไพเราะ แต่จะให้ความหวังเธอไม่ได้ ถ้าไม่หนักแน่นพอก็อาจจะเกิดปัญหาตามมาเยอะแยะได้
หลินเจี๋ยคิด
ยิ่งไปกว่านั้น เธอยังเป็นแขกคนสำคัญอีกต่างหาก ถ้าจัดการเรื่องนี้ไม่ดีเราก็อาจเสียลูกค้ารายใหญ่ไปก็ได้ และสัญญิงสัญญาก็ไม่ต้องเซ็นกันแล้ว
แต่น่าเสียดายมากที่แม้หลินเจี๋ยจะโอ่ว่าตัวเองเป็นไลฟ์โค้ชที่ปรึกษาวิชาชีวิตและนักพูดเยียวยา แต่เขาก็ไม่ได้มีประสบการณ์ทางอารมณ์ฝังใจอะไร เรียกได้กระทั่งว่าเขาว่างเปล่า
มากจนรู้สึกเหมือนถูกหนามทิ่มตำขึ้นมาหน่อย ๆ
ในขณะเดียวกัน จี้จือซู่ก็มองหลินเจี๋ยที่อยู่ในระหว่างขบคิดอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ เธอกระวนกระวายใจมาก ในช่วงเวลานี้เธอสัมผัสได้ว่าคำตอบที่ตามมาคงจะเป็นคำปฏิเสธ
จี้จือซู่ก้มหน้าลง
จริง ๆ เลย…การให้เจ้าของร้านหลินออกจากร้านคงเป็นเรื่องยากมาก
เป็นที่รู้กันว่าในช่วงสามปีที่ผ่านมานี้ เขาแทบไม่ออกไปไหนเลย นอกจากจะปลอมตัวเป็นคนธรรมดาแล้วออกไปซื้อของจำเป็นที่ต้องใช้ในแต่ละวันที่ตลาดใกล้ ๆ เป็นบางครั้ง
ดูเหมือนว่าบริษัทโรลล์จะยังไม่มีหนทางรับการสนับสนุนและแพลตฟอร์มที่แข็งแกร่งกว่านี้
ใช่แล้ว…นี่คือคำขอที่ฟุ่มเฟือยเกินตัว
ทว่าในเมื่อเจ้าของร้านหลินยอมให้พวกเธอเป็นตัวแทนจำหน่าย ต่อให้เขาปฏิเสธไม่ไปงานเลี้ยง แต่นี่ก็ถือว่าบรรลุความคาดหวังอย่างงดงาม แค่นี้ก็พอแล้ว
“ที่จริงแล้ว ผมลังเลนิดหน่อย หรือก็คือผมไม่ได้อยากไปที่นั่นเท่าไหร่ ผมชอบอยู่ในร้านมากกว่า แต่นอกจากเราจะเป็นพ่อค้าและลูกค้ากันแล้ว เราก็เป็นเพื่อนกันด้วยไม่ใช่เหรอครับ?”
หลินเจี๋ยมองคุณหนูตรงหน้าเขา ถอนหายใจแล้วเผยรอยยิ้มอบอุ่น “คนเราไม่ควรปฏิเสธคำเชิญอันอบอุ่นที่เต็มไปด้วยความคาดหวังของเพื่อนนี่เนอะ”
“หมายความว่า…”
จี้จือซู่นิ่งค้างไปครู่หนึ่ง แล้วความปีติยินดีก็ผุดขึ้นมาในใจของเธออย่างบ้าคลั่ง
“คุณตกลงเหรอคะ?!”
เสียงของเธอรัวเร็วเล็กน้อย เธอยังวิงเวียนนิดหน่อย รู้สึกว่าเรื่องพลิกผันนี้แปรเปลี่ยนไปในทางที่เหนือจริงไปสักหน่อย
แค่เราตอบตกลงไปงาน เธอก็ดีใจขนาดนั้น…
หลินเจี๋ยพยักหน้าแล้วพูดยิ้ม ๆ “ครับ ผมตกลง ผมจะไปร่วมงานเลี้ยงวันเกิดคุณ”
เจ้าของร้านหลินตกลง!
ยิ่งไปกว่านั้น…เขายังพูดเองด้วยว่านี่คือคำเชิญ ‘จากเพื่อน’!
ความหมายของมันชัดเจนมาก อย่างแรกคือกล่าวได้ว่าบริษัทโรลล์และร้านหนังสือเป็นคู่ธุรกิจที่ดีมาก ทั้งสองจะเป็นมือซ้ายและมือขวาที่เจ้าของร้านหลินวางใจได้ และศักยภาพของเธอก็คู่ควรแก่การฝึกฝน
จี้จือซู่เข้าใจความคาดหวังอันหนักอึ้งของเจ้าของร้านหลินทันที แล้วเธอก็จมดิ่งในความลิงโลดอย่างถอนตัวไม่ขึ้น แล้วเธอก็รีบพูด “ขอบคุณที่ตอบตกลงคำขอที่เอาแต่ใจของฉันด้วยนะคะ หลังจากคุณพ่อได้ยินเรื่องของคุณ เขาก็นับถือคุณมากเช่นกัน ฉันเชื่อว่าเขาเองก็ตั้งตารอการมาถึงของคุณมาก ๆ เหมือนกันค่ะ”
ถึงแม้ว่าพ่อของเธอที่นี่จะถูกเตือนจนสติบินไปครู่หนึ่งก็เถอะ แต่เพื่อให้พบกันหลังจากนี้ได้โดยไม่ตะขิดตะขวงใจ ที่ส่วนใหญ่เป็นของจี้ป๋อหนงฝ่ายเดียว แต่เธอก็ต้องพยายามปรับทัศนคติของเจ้าของร้านหลินต่อเขาให้ได้ก่อน
หลินเจี๋ยได้ยินดังนั้น สีหน้าของเขาก็ยิ่งซับซ้อน
“จริงเหรอครับ? ผมเองก็เคยได้ยินเรื่องของคุณพ่อคุณมาเยอะเลย แล้วผมก็ตั้งหน้าตั้งตารอเข้าพบท่านประธานใหญ่ของบริษัทโรลล์อยู่เหมือนกันนะครับ แหะ ๆ”
จี้จือซู่สัมผัสได้ถึงคำเหน็บแนมเธอในคำพูดเหล่านี้ของเจ้าของร้านหลินเสมอ…
เธอหันอย่างฝืด ๆ ไปมองพ่อของเธอที่ยืนค้างกับที่ จากนั้นก็หัวเราะแห้ง ๆ แล้วพูดอย่างระมัดระวังว่า “ที่ไหนล่ะคะ? เขาก็เป็นแค่มนุษย์คนหนึ่งที่ใส่ใจอนาคตของบริษัทโรลล์มาก ๆ เท่านั้นเองค่ะ”
“ฉันมักจะพูดกับเขาเกี่ยวกับคุณบ่อย ๆ แล้วเขาก็ชื่นชมในความรู้ที่กว้างขวางของคุณเอาการเลย แล้วก็อยากรู้เกี่ยวกับหนังสือพวกนี้ด้วย…”
หลินเจี๋ยอยากจะปิดหน้า
แม้แต่พ่อแม่ก็บอกหมด…แต่ไม่เป็นไร จะเป็นไปได้ไหมนะถ้าจะขอปรึกษากับผู้ปกครองเธอตรง ๆ?
ไม่ดี ไม่ดี ไม่ดีแล้ว เป็นอย่างนี้ต่อไปไม่ดีแน่ ต้องรีบเดินเกมก่อนจะหลุดไปไหนต่อไหนแล้วสิ
จะปฏิเสธอย่างมีชั้นเชิงก็มีแต่ต้องใช้วิธีนี้เท่านั้น…
“คุณจี้ชอบอ่านหนังสือเหรอครับ? งั้นผมจะไปเลือกหาหนังสือเป็นของขวัญให้เขาอย่างระวังแล้วกัน แต่ว่าก่อนหน้านั้น ผมมีหนังสือเล่มหนึ่งจะให้คุณ หวังว่าคุณจะสนใจมัน”
หลินเจี๋ยคิดแล้วหยิบหนังสือ ‘เดอะ เกรท แกตสบี้’ จากชั้นวางหนังสือแถวนั้นออกมา เขาเข้าใจว่าหากอ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว ด้วยความปราดเปรื่องของคุณหนูแห่งบริษัทโรลล์จี้จือซู่ เธอต้องมองความหมายที่แฝงอยู่ในหนังสือเล่มนี้ออกอย่างแน่นอน
ใช่แล้ว…วิธีปฏิเสธแบบนี้แหละคือทางที่อ่อนโยนที่สุดเท่าที่เขาจะคิดได้แล้ว
“คนเราต้องเติบโตอยู่เสมอครับ นี่คือหนังสือที่น่าทึ่ง ผมคิดว่าคุณคงเก็บเกี่ยวอะไรหลาย ๆ อย่างจากมันได้และเข้าใจมากขึ้น คิดเสียว่านี่เป็นของขวัญวันเกิดครบยี่สิบปีจากผมล่วงหน้าแล้วกันนะครับ…แน่นอน ในวันงานจริง ผมจะเตรียมของขวัญอย่างเป็นทางการไว้ให้คุณด้วย”
หลินเจี๋ยวางหนังสือในมือของจี้จือซู่แล้วพูดอย่างจริงใจ
“สัญชาตญาณของมนุษย์จะไล่ตามสิ่งที่จะจากเราไปเสมอ และในขณะเดียวกันก็วิ่งหนีสิ่งที่ไล่ตามเรา”
นี่คือหนึ่งในประโยคที่อยู่ในหนังสือ เดอะ เกรท แกตสบี้
“คุณต้องเรียนรู้และเอาชนะสัญชาตญาณของตัวเอง ไม่อย่างนั้นคุณจะเติบโตไม่ได้ครับ เรียนรู้ที่จะปล่อยมือเมื่อถึงเวลา และเรียนรู้ที่จะยอมรับเมื่อถึงเวลาต้องยอมรับ…เข้าใจไหมครับ?”
เสียงทุ้มต่ำก้องขึ้นในหูของจี้จือซู่ที่ตกสู่ภวังค์ หนังสือในมือของเธอเหมือนจะเปลี่ยนไปเป็นชิ้นส่วนสิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาดอย่างยิ่ง มันปกคลุมด้วยเกล็ดสีรุ้งที่ยืดหยุ่นและไม่เป็นระเบียบ มีรยางค์สีขาวบาง ๆ และอวัยวะที่เหมือนดอกไม้ครึ่งดอก หนวดสีเขียว และเหงือกสีขาวที่กระเพื่อมไปมาตลอดเวลา
ยากจะอธิบายได้ว่ามันคือตัวอะไร แต่ก็สัมผัสได้ว่ามันเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง
แล้วทันใดนั้น ภาพหลอนที่น่าสะพรึงกลัวนี้ก็หายไป และหนังสือก็กลับเป็นหนังสือ
ชื่อของหนังสือเล่มนี้ก็คือ ‘เผ่าพันธุ์ยิธอันยิ่งใหญ่’