เจ้าของร้านพิศวง - บทที่ 275 หนังสือที่เลือก
บทที่ 275 : หนังสือที่เลือก
บทที่ 275 : หนังสือที่เลือก
ปึ้ก!
หลินเจี๋ยปิดกระเป๋า
เขาสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วกลืนชาในปากของตัวเองลงคอไปอย่างเยือกเย็น แล้วเขาก็วางถ้วยชาลงที่เคาเตอร์อย่างนุ่มนวล จากนั้นเขาก็ยิ้มให้ในขณะที่มูเอนรับถ้วยชาไปล้าง
ในขณะที่ชายหนุ่มมองแผ่นหลังของเด็กสาวที่คล้อยหลังไป รอยยิ้มของเขาก็ค่อย ๆ เลือนหาย แล้วเขาก็เปิดกระเป๋าหนังออกมาใหม่ด้วยสีหน้ามืดทะมึน
“ให้ตายเถอะ ผมก็คิดว่าคุณแค่อยากได้ของพวกนี้ แต่ไม่คิดเลยว่าคุณจะเหนือล้ำไปอีกขั้นแล้วกินพวกมันเป็นขนมไปซะอย่างนั้น พวกมันกินได้ด้วยเหรอครับ?”
“เอาเถอะ บางทีมันอาจจะกินได้สำหรับตัวตนแบบคุณก็ได้ แต่ไม่ใช่ว่ากระเพาะคุณใหญ่ไปหน่อยเหรอครับ?”
หลินเจี๋ยจ้องกระเป๋าว่าง ๆ อย่างสิ้นหวัง ครั้งนี้ กระทั่งเงามืดในกระเป๋าก็หายไปแล้ว
เห็นได้ชัดว่าตัวการเชี่ยวชาญการหายตัว และไวเป็นที่หนึ่งเลยด้วย
หลินเจี๋ยไม่สามารถแม้แต่จะเห็นเสี้ยวหนึ่งของสมบัติเหล่านั้นได้เป็นครั้งที่สอง และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตกลงในกระเป๋ามีอะไรอยู่บ้างกันแน่!
จู่ ๆ เขาก็สัมผัสได้ว่ามีเสียงที่ถอดรหัสไม่ออกดังอยู่ข้างหูของเขา
บางเสียงเหมือนคนละเมอ บางเสียงเหมือนพึมพำ แยกไม่ออกว่าเสียงผู้ชายหรือผู้หญิง และฟังไม่ออกเลยว่าภาษาอะไร
แต่หลินเจี๋ยกลับสามารถรู้ถึงความหมายของมันได้
หลินเจี๋ยพบว่าเสียงนี้ทั้งแปลกหูและคุ้นเคย เพราะเสียงนี้ก็เคยดังขึ้นในตอนที่เขาย้ายโลกมา และเขายังไม่เคยเห็นตัวตน ‘แบบเงา’ ของเจ้าดำที่ใช้เงาเป็นเครื่องมือสื่อสารกับเขาเลยด้วย
ตอนนี้อีกฝ่ายมีตัวตนที่ชัดเจนแล้ว เขาสามารถใช้การสื่อสารทางอากาศได้แล้ว
ต้องบอกว่ามันคลับคล้ายเหมือนเด็กที่ถูกพ่อแม่จับได้ว่าแอบขโมยกินขนมแล้วกลัวโดนตี จึงรีบหนีไปแอบอย่างรู้สึกผิดแล้วแสร้งทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“กินไปแล้ว? ถ้าคุณกินผิดจะคืนให้ผมได้ไหม? ของพวกนั้นไม่มีประโยชน์กับคุณเหรอ?”
หลินเจี๋ยตะลึงเมื่อได้ยินคำพูดนั้น แล้วรีบเอื้อมมือไปหยิบมันออกมา
แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร แต่ก็อาจจะหมายความว่าเจ้าดำยังเหลือบางอย่างให้เขา
ในขณะเดียวกัน เขาก็รู้สึกโล่งใจพลางเริ่มมีความหวังขึ้นมาจาง ๆ สิ่งที่เหลือจะเป็นแอปเปิลทองคำที่มีค่าที่สุดไหมนะ?
บนอากาศพลันเกิดจุดที่บิดเบี้ยวขึ้น หมุนวนแล้ว ‘ถุย’ วัตถุชิ้นหนึ่งออกมา
สิ่งนั้นหล่นลงบนมือของหลินเจี๋ย แล้วเขาก็เพ่งสายตานิ่งไปที่มัน
มันคือแผ่นศิลาที่มีลวดลายเปลวเพลิงแผ่นนั้น
หลินเจี๋ยพูดไม่ออก
คุณมันโคตรใจดำเลยว่ะ!
หลินเจี๋ยถือแผ่นศิลาที่แทบแยกจากก้อนหินทั่วไปไม่ออกถ้าไม่นับลายเส้นพวกนั้นไว้ แล้วสีหน้าที่มีความหวังอยู่เล็กน้อยของเขาก็แข็งค้าง
จุดบิดเบี้ยวบนอากาศหายไปแล้ว แล้วเสียงพูดพล่ามก็หายไปแล้ว
เจ้าดำไปแล้ว…
หลินเจี๋ยมุมปากกระตุก ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี แล้วเขาก็ส่งแผ่นศิลาเข้าไปยังแดนนิมิต
“เอาล่ะ…อักษรรูนบนนั้นก็ยังมีค่าให้ศึกษาอยู่มาก ถึงมันจะไม่ครบถ้วนก็เถอะ แต่จากความทรงจำของแคนเดลาแล้ว อักษรพวกนี้น่าจะเป็นภาษาบางอย่างในยุคแรก น่าจะโบราณกว่าภาษาในยุคที่สองอีก”
เขาปลอบใจตัวเองให้รับความจริงอย่างไม่เต็มใจนัก แล้วก็ขมวดคิ้วอย่างกังวลเล็กน้อย
“แคนเดลาไม่ได้เรียนภาษานี้ แต่เราก็อยากรู้ความหมายของมัน คาดว่ากระทั่งในห้องสมุดของสมาคมแห่งสัจธรรมก็อาจจะไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องเลยก็เป็นได้”
หลินเจี๋ยลูบคางของเขา “คุณหนูจี้พูดไปก่อนหน้านี้ว่าของพวกนี้ถูกขุดขึ้นมาโดยบริษัทโรลล์จากโครงการพัฒนาเมืองเขตล่าง พวกเขาอาจเจอวัตถุโบราณเป็นจำนวนมากและอาจมีบางอย่างที่เราอยากได้ก็ได้…”
แล้วเขาก็ส่ายหน้า “แต่เมืองเขตล่างจำกัดผู้สัญจร ถ้าเราจะลงไปเราก็ต้องได้รับอนุมัติจากองค์กรต่าง ๆ ในเขตกลางชั้นแล้วชั้นเล่า แถมยังต้องมีเหตุผลที่ฟังขึ้นกว่านี้ด้วย และเป็นไปไม่ได้แน่นอนถ้าบริษัทโรลล์จะยกโควตาของตัวเองให้เรา…ช่างมันเถอะ ไว้ว่ากันทีหลังแล้วกัน”
หลินเจี๋ยถอนหายใจ ยืนขึ้นบิดขี้เกียจแล้วหันกลับไปเผชิญหน้ากับชั้นหนังสือต่าง ๆ
ตอนนี้งานหลักของเขาตามสัญญาก็คือ เขาจะต้องเลือกหนังสือที่เหมาะสมที่เครือบริษัทพัฒนาทรัพยากรโรลล์ บริษัทตัวแทนของร้านหนังสือไร้ยามของเขาจะเอาไปขายได้
ส่วนวิธีการขาย ราคาเท่าไร ขายกี่เล่มนั้น พวกมันถูกระบุไว้ในหนังสือสัญญาที่มูเอนกับจี้จือซู่ช่วยกันเขียนอย่างชัดเจนแล้ว
เรื่องที่หลินเจี๋ยต้องทำนั้นก็คือเลือกหนังสือที่เหมาะสมออกมาทุกเดือนแล้วรอจี้จือซู่มารับมันไป แล้วจี้จือซู่ก็จะกลับมาอีกครั้งเพื่อรายงานยอดขายแล้วรอรับเงิน
ตรงตามที่หลินเจี๋ยกังวลไว้
ไม่ใช่ว่าหนังสือที่เขามีทั้งหมดจะขายได้ เนื้อหาของหนังสือหลาย ๆ เล่มนั้นไม่ได้มีในโลกนี้มาก่อนเลย หากมีคนเข้าใจ จะก่อให้เกิดความโกลาหลขึ้นบนโลกได้อย่างแน่นอน
ดังนั้นเขาจึงต้องเลือกสรรอย่างระวัง
หลินเจี๋ยคิดพลางพลิกหนังสือ แล้วหนังสือทั้งชั้นก็ถูกเปลี่ยนไปเป็นนวนิยาย
ใช่แล้ว…จากการคำนึงของเขา ความเสี่ยงของวรรณกรรมต่ำที่สุดแล้ว และในขณะเดียวกันหนังสือที่ได้รับความนิยมมากที่สุดก็มักจะเป็นนวนิยาย
แม้ว่าจะมีบางสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง แต่ก็สามารถอธิบายได้ด้วยคำว่า ‘สิ่งสมมติ’ และผู้อ่านก็จะสร้างทฤษฎีต่าง ๆ ขึ้นมารองรับมันเอง ซึ่งค่อนข้างปลอดภัย
ในการรับแขกร้านหนังสือครั้งก่อน ๆ เขาเองก็แนะนำนิยายต่าง ๆ ให้พวกเขาอยู่บ่อย ๆ และจนตอนนี้ก็ยังไม่มีอุบัติเหตุใด ๆ เกิดขึ้น
ในหมู่พวกมัน วรรณกรรมยอดนิยมอย่างนิยายโรแมนติกและนิยายแฟนตาซีนั้นมีความเสี่ยงน้อยกว่าแนวอื่น ๆ
เพราะถึงอย่างไร มันก็เป็นเรื่องที่ผู้คนชอบอ่าน…ไม่ว่าจะที่โลกหรืออาซีร์ก็ต่างเห็นตรงกัน
หลินเจี๋ยหยิบหนังสือ ‘ดวลรัก ดับแค้น’ ขึ้นมาเป็นเล่มแรก
นวนิยายแนว ‘ล้างแค้น’ เล่มนี้พูดได้ว่าเป็นหนังสือ ‘จรรโลงใจ’ พื้นฐาน เมื่อควบคู่กับโครงเรื่องที่พลิกผันขึ้น ๆ ลง ๆ ก็คาดได้ว่าในต่างโลกนี้ก็จะยังขายดีได้เช่นกัน
จากนั้น เขาคิดสักพักแล้วดึง ‘สาวทรงเสน่ห์’ ออกมาอีกเล่ม
หนังสือเล่มนี้เป็นนวนิยายรักคลาสสิก มันไม่ใช่แค่นิยายรักเท่านั้น มันยังแฝงข้อขบคิดถึงธรรมชาติของมนุษย์อีกด้วย ไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเลย
ต่อจากหนังสือเล่มนี้ก็เป็น ‘ความรักของเจน แอร์’ ซึ่งมีชื่อเสียงพอ ๆ กันหรืออาจจะดีกว่า…หลินเจี๋ยไม่เคยคิดถึงหนังสือเล่มนี้มาก่อนเลย บางทีในยุคสมัยนั้น หนังสือเล่มนี้อาจจะถือได้ว่าเป็นตัวแทนกลุ่มสตรีนิยมและเป็นสัญลักษณ์ของเสรีภาพและความเท่าเทียมก็ได้
แต่ถ้าต้องการทำให้หนังสือเล่มนี้ได้รับการเชิดชูในฐานะวรรณกรรม มันคงเป็นเรื่องยากเย็นในยุคสมัยต่อ ๆ มา
จากโครงเรื่องและเนื้อหา เรื่องนี้หลัก ๆ แล้วก็ไม่ต่างจากหนังสือประเภท ‘คลั่งรักท่านประธานบริษัท’ เลย…
หลินเจี๋ยบ่นในใจแล้วหยิบหนังสืออีกสองเล่มออกมา นั่นก็คือ ‘เฒ่าผจญทะเล’ และ ‘ซ้องกั๋ง’
‘เฒ่าผจญทะเล’ ในฐานะงานของเฮมิงเวย์ ไม่จำเป็นต้องพูดเลยว่าได้แสดงจิตวิญญาณของมนุษย์ออกมาอย่างเต็มที่
ส่วน ‘ซ้องกั๋ง’ นั้น หลินเจี๋ยรู้สึกว่าเล่มนี้มีช่องว่างทางวัฒนธรรมน้อยที่สุดแล้วในหมู่หนังสือทั้งสี่เล่มนี้ อย่างน้อยมันก็สามารถทำให้คนอ่านเข้าใจได้ไม่ยาก อย่างไรก็ตาม ในเมื่อมีตัวแทนขาย เขาก็อยากจะลองใส่ดูว่าจะทำตลาดได้หรือไม่
สี่เล่มนี้ให้ความรู้สึกคล้ายกันหมด เปลี่ยนแนวบ้างดีกว่า
หลินเจี๋ยพยักหน้าอย่างพึงพอใจ หนังสือแต่ละเล่มน่าจะขายได้สักห้าสิบ…ไม่สิหนึ่งร้อยคงดี
ความทะเยอทะยานสูงขึ้นอีกแล้ว!
เขารวบรวมหนังสือแล้วเดินออกไปสองก้าว ชะงักกะทันหัน เดินกลับมา ครุ่นคิด แล้วหยิบ ‘1,000 เมนูอาหารพื้นบ้านคลาสสิก (ฉบับสี 365 วัน)’ ออกมาจากชั้นหนังสือ