เจ้าของร้านพิศวง - บทที่ 280 นัดบอดสหายรัก
บทที่ 280 : นัดบอดสหายรัก
ไวลด์ลอยตัวอยู่กลางอากาศ ยื่นมือออกมารับการ์กอยล์ที่กลับสู่สภาพรูปสลักอีกครั้ง
ดวงตาหลังหน้ากากของเขาหรี่ลงอย่างพินิจพิจารณาพลางพลิกการ์กอยล์ในมือไปรอบ ๆ เพื่อยืนยันว่าจะไม่มีข้อบกพร่องใด ๆ กระทั่งรัศมีของมันที่เมื่อเทียบกับแต่เดิมแล้วก็ยังแข็งแกร่งขึ้นหลายเท่าตัว
พอใช้วัตถุดิบระดับสูงอื่น ๆ ซ่อมแซมมัน จากนั้นก็ใช้วิญญาณของออสวาลด์ รวมกับวิญญาณผู้มีพลังเหนือธรรมชาติอีกเก้าร้อยเก้าสิบเก้าดวงเป็นแหล่งพลังงานแล้ว มันก็นับได้ว่าขึ้นถึงระดับภัยพิบัติแล้ว…
แต่อย่างไรเสียการผลงานก็คือสิ่งที่ถูกสร้าง สุดท้ายในการต่อสู้ มันก็เทียบอะไรกับมนุษย์ไม่ได้อยู่ดี!
การ์กอยล์ที่สมบูรณ์แล้วยังมีโอกาสชนะคนที่มีระดับภัยพิบัติอย่างแท้จริงได้ยาก แต่มันก็ยังสามารถกวาดล้างผู้ที่มีระดับต่ำกว่าภัยพิบัติได้ทั้งหมด
ถึงอย่างไร ระดับภัยพิบัติก็ไม่ได้สามารถได้มาง่าย ๆ เว้นแต่ว่าจะได้รับของขวัญจากเจ้าของร้านหลินอย่างวินเซนต์ ดังนั้นสิ่งประดิษฐ์พวกนี้ แค่มาถึงระดับภัยพิบัติได้ก็นับว่าสุดความสามารถแล้ว
ไวลด์ทำการประเมินในใจอย่างพึงพอใจ เขาร่ายคาถาฉีกมิติรอบตัวเขาเอง จากนั้นก็ใส่การ์กอยล์ลงไปแล้วปิดมัน
มันคู่ควรพอที่จะเป็นยามเฝ้าประตูให้เจ้าของร้านหลินแล้ว
เขาไม่แปลกใจเลยที่การ์กอยล์จะถูกทำลาย!
สุดท้ายแล้ว สำหรับเจ้าของร้านหลิน มันก็เป็นได้เพียงงานศิลปะที่มองได้อย่างเดียว จึงเป็นเรื่องธรรมดามากถ้าจะบังเอิญไปชนมันเข้าแล้วทำการ์กอยล์พัง
ยิ่งไปกว่านั้น สาเหตุการพังของการ์กอยล์นั้นก็มาจากตัวอ่อนเทพเจ้าจอมปลอมที่เจ้าของร้านหลินเลี้ยงไว้ได้ดูดวิญญาณที่มันเก็บไว้ไปเสียเกลี้ยงเพื่อเป็นสารอาหารในการเติบโตของมันเอง
หรือก็คือ การ์กอยล์ตัวนี้ถูกเจ้าของร้านหลินใช้เป็น ‘อาหารแมว’
สัตว์เลี้ยงที่มีแนวโน้มจะโตไปเป็นสัตว์เลี้ยงระดับพระเจ้าได้ เมื่อเทียบกับงานชุ่ย ๆ ในอดีตของเขาแล้ว มูลค่าของมันย่อมสูงกว่าเป็นธรรมดา
ต่อให้ไวลด์ต้องเลือกด้วยตนเอง เขาก็จะยังอดไม่ได้ที่จะใช้การ์กอยล์เลี้ยงตัวอ่อนพระเจ้าจอมปลอมนี้อยู่ดี เพราะเขาอยากเห็นว่าเจ้านี่จะทำอะไรได้อีกบ้าง
ดังนั้น ไวลด์จึงคิดว่าการ์กอยล์ตายอย่างควรค่าแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น การซ่อมแซมยังไม่เชิงเป็นไปไม่ได้ ตราบใดที่เขาเก็บวิญญาณที่แข็งแกร่งพอได้เพียงพอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิญญาณผู้ตายชั้นยอดอย่างตอนนี้
ไวลด์หรี่ตาลงมองโจเซฟ เพื่อนเก่าของเขาที่ไม่ได้เจอกันเสียนานที่เห็นกันอย่างรีบ ๆ ที่หน้าร้านหนังสือ แต่ยังไม่ทันได้คุยกันเท่าไร
เขาลงจอดที่ยอดสิ่งปลูกสร้างใกล้เคียง เหน็บไม้เท้าไว้ใต้วงแขน จากนั้นก็ถอดหมวกทักทายอย่างสง่างาม พูดอย่างเรียบ ๆ ว่า “ไม่เจอกันนานเลยสหายรัก ใจเย็นก่อนนะ ผ่านไปเกือบสองปีแล้วนับแต่การพบกันครั้งล่าสุดมาจนถึงตอนนี้ แต่นายก็ยังดูอารมณ์ร้อนเหมือนเดิม”
จังหวะการพูดของเขาถูดขัดไปครั้งหนึ่ง เพราะโจเซฟควบคุมให้ ‘ภาพจิตเสมือน’ ก่อตัวเป็นยักษ์สีขาวปรากฏขึ้นด้านหลังไวลด์แล้วต่อยเขาอย่างไม่ปรานีปราศรัย
หมัดนี้ไม่พลาดเป้า ตรงกันข้าม หมัดของยักษ์สีขาวชกเข้าเต็มศีรษะของไวลด์
แต่สิ่งที่แปลกคือ ไวลด์ยังไม่ตาย!
เขากระทั่งพูดต่อด้วย
บนกระโหลกที่แตกเป็นเสี่ยง ๆ เนื้อเและสมองที่แหลกเหลวดิ้นยุกยิกแล้วประกอบใหม่เป็นรูปปาก ดวงตาก็งอกขึ้นมาบนนั้นด้วย ดูแปลกและผิดปกติมาก
“หุ่นเชิดเนื้อ” โจเซฟที่รู้กลอุบายต่าง ๆ ของไวลด์เป็นอย่างดีแค่นยิ้ม “ความเชี่ยวชาญของแกก็ยังน่ารังเกียจเหมือนเดิม ต้องบอกว่าขี้กลัวเหมือนหนูและหัวหดเหมือนเต่าคงเหมาะสมกว่า เพราะยังไงแกก็ชอบไปซ่อนตัวตามท่ออยู่แล้วนี่”
เขาเองก็ไม่ได้หวังอะไรมากจากหมัดนี้ เขาก็แค่อยากสัมผัสความรู้สึกของการได้ชกไวลด์อีกสักหมัดเท่านั้น
ครั้งสุดท้ายที่ไวลด์ผู้ไปมาอย่างภูตผีปรากฏตัวอย่างเปิดเผยให้เขาจับได้ ก็เพราะวัตถุเหนือธรรมชาติที่ล้ำค่าสุดยอดที่ไวท์ฮิลส์
หอพิธีกรรมต้องห้ามและโจเซฟร่วมกันจัดเตรียมตาข่ายที่ดิ้นไม่หลุดเอาไว้
และสุดท้ายก็จับตัวนักเวทมนตร์ดำระดับภัยพิบัติผู้โหดร้ายได้ แล้วโจเซฟก็ใช้แขนหนึ่งข้างและการบาดเจ็บภายในทั่วตัวเป็นราคาในการสังหารไวลด์อย่างไม่เต็มใจนัก
แต่ถึงอย่างนั้น…เขาก็ยังไม่ตายอยู่ดี!
แม้ว่าจะมีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นฝีมือของร้านหนังสือก็ตาม แต่ขั้นแรกก็คือ ไวลด์จะต้องเข้าไปในร้านหนังสือให้ได้ก่อนในตอนนั้น
หรือจะให้พูดอีกอย่างก็คือ ก่อนที่ไวลด์จะได้ไปยังร้านหนังสือ เขาก็มีชีวิตอยู่ก่อนแล้ว
เขาเป็นคนฉลาดแกมโกง พิถีพิถัน และเด็ดเดี่ยว และหลังจากเพิ่งรอดตายมา นักเวทมนตร์ดำที่อันตรายและร้ายกาจเช่นนี้จะยอมเผยตัวต่ออันตรายตามใจชอบได้อย่างไร?
“สรุปว่าความทุกข์ที่นายเผชิญมาสองปีนี่ไม่ได้ช่วยให้นายรู้จักทำตัวให้สุภาพขึ้นมาบ้างเลยหรืออย่างไร?”
ไวลด์ถามอย่างประหลาดใจแล้วชี้ศีรษะของเขาที่เละตุ้มเป๊ะไปแล้ว
โจเซฟพูดพลางยิ้มเยาะ “นี่แหละความสุภาพฉบับฉันล่ะ”
เขายื่นหมัดไปในอากาศ แล้วยักษ์สีขาวจาก ‘ภาพจิตเสมือน’ ก็กำหมัดตาม แล้วหัวส่วนที่เหลืออยู่และลำตัวของไวลด์ก็ถูกชกกระจาย
หมอกโลหิตระเบิดออกแล้วรวมตัวกันเป็นรูปร่างมนุษย์ที่บิดเบี้ยวอีกครั้ง ตรงส่วนที่เป็นดวงตาเป็นประกายด้วยเพลิงสีดำสนิท
คนทั้งสองมองหน้ากัน แล้วบรรยากาศก็พลันตึงเครียด พร้อมปะทุสงครามระหว่างระดับภัยพิบัติได้ทุกเมื่อ
อย่างน้อยแคโรไลน์ก็คิดอย่างนั้นจริง ๆ
เส้นขนเล็กบางทั่วร่างของเธอชี้ชัน ร่างของเธอชุ่มโชกด้วยเหงื่อเย็น ๆ แล้วเธอก็กระเถิบถอยไปที่ขอบซากปรักหักพังอย่างระมัดระวังแล้วสั่งลูกน้องของเธอให้เตรียมตัวเปิดจุดเคลื่อนย้ายวงกว้างของหอพิธีกรรมต้องห้ามที่เพิ่งปรับปรุงขึ้นใหม่เมื่อไม่นานนี้เพื่อเตรียมอพยพคนในเขตกลางอย่างรวดเร็ว
หมอกโลหิตที่มีรูปร่างคล้ายมนุษย์เงียบไปแล้วเหมือนจะฉีกยิ้ม “ดีจริง ๆ นะ ดูเหมือนว่าเจ้าของร้านหลินจะมอบความแข็งแกร่งให้นายเป็นของขวัญเหมือนกัน นายของฉันใจกว้างและเมตตา นั่นจะไม่มีทางเปลี่ยนได้เพราะความเขลาของโลกนี้แน่นอน”
ไวลด์ไม่สนใจการประทุษร้ายต่อเขา แล้วออกปากสรรเสริญหลินเจี๋ยพลางด่าโจเซฟว่าโง่ไปในตัว
โจเซฟไม่โต้วาทีด้วย แต่ใจของเขาหล่นวูบ นาย? หมอนี่ถือว่าเจ้าของร้านหลินเป็นเจ้านายเหรอ?
หรือว่า…ที่พูดมาจะมีอีกความหมาย?!
เขาครุ่นคิด ศาสนาแห่งตะวันคือศาสนาที่เจ้าของร้านหลินอยากเผยแพร่ แต่ไวลด์ก็รับใช้เจ้าของร้านหลินเช่นกัน หรือก็คือ…การกระทำในช่วงนี้ของเขาก็เป็นไปตามเจตจำนงของเจ้าของร้านหลิน
บางทีลัทธิอื่น ๆ ที่อันตรายกว่านี้ก็กำลังถูกเผยแพร่อยู่…
ไวลด์อ้าแขนออกแล้วหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “ตัวตนที่ช่างยอดเยี่ยม ช่างสูงส่ง ช่างล้ำเลิศอย่างเขา ทำไมจะเป็นเจ้านายฉันไม่ได้ล่ะ? หอพิธีกรรมต้องห้ามกับฉันคิดต่างกันตรงไหน? เกรงว่าผู้อาวุโสของพวกนายก็คิดจะมาเป็นข้ารับใช้เจ้าของร้ายหลินด้วยนี่”
เขามองโจเซฟ “ไม่ขอบคุณฉันสักหน่อยเหรอ? ที่เจ้าของร้านหลินขอให้ฉันซ่อมการ์กอยล์ตัวนี้ ที่จริงแล้วก็เพื่อช่วยพวกนายถอนรากถอนโคนปัญหา และจัดการกับคนทรยศนี่ซะไง เพื่อไม่ให้พวกนายไม่โดนวิถีแห่งดาบอัคคีปั่นหัวซะก่อน”
คนทรยศ? วิถีแห่งดาบอัคคี?
ออสวาลด์เป็นไส้ศึกจากวิถีแห่งดาบอัคคีเหรอ?!
ไวลด์ไม่รอให้โจเซฟมีปฏิกิริยา เขาแดกดัน “คิดสิว่าทำไมออสวาลด์ถึงรอดอยู่ในหอพิธีกรรมต้องห้ามมาได้ตั้งหลายปี จะไปถามแขกคนอื่น ๆ ของร้านหนังสือที่นั่นก็ได้ว่าเขาทำอะไรลงไปบ้าง”
หมอกโลหิตหมุนวนแล้วในที่สุดก็หดเหลือเพียงจุดเล็ก ๆ จากนั้นก็หายไปจากสายตา
สีหน้าของโจเซฟดูไม่จืด แล้วภาพจิตเสมือนของเขาก็วูบไหวเพราะสมาธิเสียไปครู่หนึ่ง เขาก็คว้าหมอกโลหิตนั้นไว้ไม่ได้อีกแล้ว
—
ไวลด์ลืมตาขึ้นแล้วตัดการควบคุมหุ่นเชิดเนื้อ
มีหมอกโลหิตปรากฏขึ้นบนมือของเขา แล้วการ์กอยล์ก็ปรากฏขึ้น
เขามองวิญญาณที่ดิ้นรนอย่างเจ็บปวดภายในแล้วพูดพร้อมรอยยิ้มหยัน “พวกนายล่วงเกินเจ้าของร้านหลิน แล้วยังจะอยากได้พลังอีกเหรอ? โง่แท้ ๆ แต่ในเมื่อเริ่มที่นายแล้ว คนต่อไปก็จะเป็นหลานชาย… ไม่สิ ลูกชายที่โง่กว่านายก็แล้วกัน!”