เจ้าของร้านพิศวง - บทที่ 283 พลังของอาหาร
บทที่ 283 : พลังของอาหาร
ธีโอดอร์คิดว่าบทสรุปนี้ออกจะไร้สาระไปหน่อย…
เพราะถ้าหนังสือเล่มนี้เป็นบันทึกการวิจัยบางอย่างจริง ๆ คนที่เขียนมันก็ดูจะกำลังศึกษาคำเหล่านั้นอยู่ เหมือนเด็กที่ถูกบังคับให้คัดลายมือตามแบบ
แต่…ยังมีอะไรให้ต้องเรียนเหรอ?
คำเหล่านี้เป็นคำที่ใช้กันบ่อยและเป็นคำง่าย ๆ ทั่วไป… อย่างเช่น ‘คุณ’ ‘ฉัน’ ‘เยี่ยม’ ‘ดวงอาทิตย์’ ‘ท้องฟ้า’ ‘แสงสว่าง’ ‘พ่อ’ ‘ไม่มี’ และอีกมากมาย
กระทั่งเด็กสามขวบสักคนที่เดินเตร่บนถนนยังรู้ความหมายของคำพวกนี้เลย จำเป็นด้วยเหรอที่จะต้องมาเขียนทำบันทึกเป็นเล่ม ๆ แถมยังมีความเห็นแปลก ๆ ที่ข้าง ๆ อีก?
ถ้าเป็นการศึกษาข้อความที่จารึกอยู่ในวัตถุโบราณล่ะก็ หนังสือเล่มนี้ก็จะกลายเป็นสมบัติได้โดยไม่แปลกอะไรนัก…
เพราะสุดท้ายแล้ว ข้อความเหล่านั้นก็มักจะมีข้อมูลทางประวัติศาสตร์ยุคต่าง ๆ และมีมูลค่าสูงมาก นักโบราณคดีมากมายและกระทั่งผู้ดีมีอำนาจจะสนใจของเหล่านี้มาก
ก่อนหน้านี้ธีโอดอร์ก็เคยซื้อหนังสือในลักษณะนี้มาขายต่อได้ด้วยราคาสามเท่าของต้นทุน ทำให้ตัวเองได้กำไรมหาศาลในทันที
ครั้งนี้เขาก็มีความคิดเช่นนั้นเหมือนกัน แต่ไม่คิดเลยว่าจะได้ปัญหาใหญ่โตกลับมาเสียแทน…
แต่เพราะเกิดเรื่องนี้ขึ้น เขาจึงยิ่งรู้สึกแปลก
การวิจัยคำง่าย ๆ ที่แยกกันอย่างไร้ความหมายนี้มัน… มัน… เกินพรรณนา! หรือจะเรียกว่าโง่ไปแล้วดีล่ะ?
ธีโอดอร์อ่านบันทึกในมือพลางขมวดคิ้วแล้วระดมสมอง เกาหูเกาแก้มและยังเข้าใจมันไม่ได้อยู่ดี
บางที…เราอาจจะคิดผิดหรือเปล่า? ถึงมันจะดูเหมือนบันทึกการวิจัยเอาเสียมาก ๆ แต่มันก็แค่ความรู้สึกส่วนตัวของเราเท่านั้นเอง
เป็นไปได้ว่าภาษาอาซีร์ที่เขียนอยู่พวกนี้อาจจงใจทำขึ้นเพื่อทำให้คนอื่นสับสน ไม่เข้าใจเลยว่าพวกผู้มีพลังเหนือธรรมชาติจะต้องการมันไปทำไม?
สุดท้ายแล้ว ธีโอดอร์ทำได้เพียงใช้เหตุผลดังกล่าวมาปลอบใจตัวเองให้ลืมการคาดเดาที่พาตัวเองไปสู่ทางตันเมื่อครู่นี้เสีย
ไม่อย่างนั้นเขาคงสติแตกไปจริง ๆ…
ความรู้สึกนี้มันไม่ต่างจากตอนที่เขายังเรียนอยู่แล้วต้องมานั่งแก้โจทย์คณิตศาสตร์ยาก ๆ เลย ยิ่งเรียนยิ่งสมองไหล ไร้พลังเหมือนมีสิ่งกีดขวางใหญ่ที่มองไม่เห็นกั้นอยู่ตรงหน้า จะปีนก็ปีนไม่ได้ มีแต่จะทำให้หงุดหงิดและสิ้นหวังขึ้นกว่าเดิมเรื่อย ๆ
ธีโอดอร์ไม่คิดมาก่อนเลยว่าจะต้องมาเจอสถานการณ์ที่ตัวเองทำอะไรไม่ได้โดยแท้จริงแบบนี้ และเขาก็ไม่อยากทำให้สติของตัวเองเสียศูนย์ด้วย
เขาปรับความคิดและสติของตัวเองเก่งมาตลอด ไม่อย่างนั้นคงเป็นไปไม่ได้ที่จะใจเย็นในทุกสถานการณ์มาจนถึงตอนนี้ได้
เป็นคนทั่วไปมาเห็นคนเป็น ๆ ตัวโต ๆ กลายเป็นนกอินทรีไปต่อหน้าต่อตา คงกลัวจนฉี่ราดแล้วไหม?
แล้วในกรณีนี้ ความขลาดของพวกเขาก็จะทำให้ประเด็นที่ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติพวกนี้กลัวคำว่า ‘ร้านหนังสือ’ อย่างไร้เหตุผลปลิวหายไปด้วย
บางทีเขาอาจจะมานึกได้อีกทีก็วันถัดไป แต่ก่อนหน้านั้นเขาจะต้องรอจนกว่าจะปรับสติกลับมาขยับแข้งขาได้ก่อนไหม?
“เฮ้อ…”
ธีโอดอร์ถอนหายใจแล้ววางหนังสือในมือกลับเข้าไปในกล่อง อดเป็นกังวลในใจไม่ได้ เรื่องนี้ไม่น่าเป็นเพราะเขาแสดงความสามารถให้เราเห็นโดยประมาท และเขาก็ไม่ได้มีความลังเลด้วยเหตุผลบางอย่างด้วย
ยิ่งกว่านั้น ใครจะรู้ว่า ‘ร้านหนังสือ’ ที่ว่านั่นมันร้านไหนกัน…
มีหลายต่อหลายคนที่เข้ามาในร้านของเขา แต่สองในสามจะแสดงพฤติกรรมและสีหน้าแปลก ๆ ต่อคำอย่าง ‘หนังสือ’ และ ‘ร้านหนังสือ’ ซึ่งธีโอดอร์ได้ลองเชิงอย่างระมัดระวังแล้วมั่นใจได้ว่าไม่ผิดแน่
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ การเคลื่อนไหวของเขาก็พลันชะงัก แล้วในใจก็เกิดความรู้สึกบางอย่างที่ดูราวกับมีฟ้าผ่าเปรี้ยง
“เดี๋ยวนะ…ร้านหนังสือเหรอ?!”
ธีโอดอร์ผุดลุกขึ้นทันทีแล้วคว้าหนังสือพลางหันมองไปอีกฟากของถนนแล้วจ้องร้านหนังสือที่ตั้งอยู่ที่นั่น
ห่างออกไปไม่กี่สิบเมตร คั่นไว้ด้วยถนนเพียงหนึ่งสาย มีร้านหนังสือไร้ชื่อที่ไม่มีกระทั่งป้ายร้านตั้งอยู่
มันดูซอมซ่อและโดดเดี่ยว และมีลูกค้าเพียงไม่กี่คนจนถึงทุกวันนี้
แต่มันกลับสามารถทำให้คุณหนูใหญ่ของบริษัทโรลล์นำของขวัญมาให้ด้วยตัวเองอย่างนอบน้อม
หรือว่า…ร้านหนังสือนี้คือที่พวกเขาพูดถึงเหรอ?
เมื่อความคิดนี้แล่นเข้ามา ธีโอดอร์ก็เก็บอารมณ์ของตัวเองไว้ในใจไม่ได้
ก่อนหน้านี้ความคิดของเขาเต็มไปด้วยความกังวลใจ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้มองไปทางนั้นเลย และไม่แม้แต่จะคิดว่าจะมีคนอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
แต่ตอนนี้ เมื่อโยงทุกอย่างเข้าด้วยกัน เขาก็พลันพบสิ่งที่จะน่าจะทำให้สถานการณ์นี้คืบหน้าได้!
สมัยยังเด็ก พ่อของเขาเคยสอนไว้ว่าโลกนี้ไม่มีความบังเอิญเกิดขึ้นมากนัก…หากมีความคิดอะไรในใจ ก็อย่าลังเลที่จะเชื่อมัน!
เขาตัดสินใจไปตายเอาดาบหน้า ปิดกล่องลงแล้วหนีบหนังสือต้นเรื่องไว้แนบอก จากนั้นก็ออกเดินไปที่ร้านหนังสือที่อยู่อีกฝั่งของถนน
เขาไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า แต่ธีโอดอร์ที่กำลังเดินออกจากประตูไปรู้สึกว่ามีใครบางคนจ้องมองเขาอยู่
สายตาที่เต็มไปด้วยความมาดร้ายนั้นจ้องนิ่งที่หลังของเขา และนั่นทำให้ธีโอดอร์ต้องเร่งฝีเท้า
—
หลินเจี๋ยกำลังเล่นกับแมว
เขานั่งบนที่นั่งของเขา ถือไม้หยอกแมวที่ทำขึ้นเองจากวัตถุดิบที่มูเอนซื้อมาให้ในมือแล้วโบกมันไปมาอย่างกระตือรือร้น ทำให้เจ้าขาวผู้อวบอ้วนวิ่งไล่ตะครุบขนนกที่ผูกไว้ที่ปลายไม้อย่างเซ่อซ่า
ไม้หยอกแมวนี้เป็นตัวดึงความสามารถช่างฝีมือมือใหม่ของหลินเจี๋ยออกมาอย่างถึงขีดสุด ด้ามจับไม้นั้นเขาเหลาเอง ผูกสายเบ็ดเอง ขนนกก็…ดึงจากลูกขนไก่เอง เขายังขัดเงา แถมยังลงแว็กซ์เองด้วย ชายหนุ่มทำขายได้โดยไม่มีปัญหาเลยด้วยซ้ำ
มันน่าเบื่อและใช้เวลานาน กว่าจะบรรจงทำให้มันออกมาดีที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้
นอกจากการอ่านหนังสือโดยปกติแล้ว หลินเจี๋ยก็แทบไม่มีเรื่องอื่นให้ทำเลย
เดิมทีก็กังวลว่าจะไม่มีลูกค้าเข้ามาให้ได้พูดคุยรื่นเริงเพราะมีคาเฟหนังสือมาตั้งข้าง ๆ แล้ว แถมยังมีเรื่องสัญญาตัวแทนจำหน่ายหนังสืออีก
แต่ตอนนี้หลินเจี๋ยไม่จำเป็นต้องกังวลอีกต่อไปแล้ว เขาเข้าสู่โหมดเกษียณอายุอย่างเป็นทางการ ทั้งหยอกแมว ทั้งหยอกคุณหนูทั้งสองในร้าน ชีวิตดีสุด ๆ
จะว่าไป อาการบาดเจ็บของพรีม่าก็ดีขึ้นแล้ว และยังดูเหมือนเธอจะเข้าใจเค้าโครงตำราโอสถเป็นอย่างดี ควรให้เธอกลับไปได้แล้วล่ะมั้ง…
ที่จริง พรีม่ากลับบ้านได้สองสามวันแล้ว เพราะแอนดรูว์โทรมาหาเขาแล้วบอกว่าเรื่องทั้งหมดใกล้คลี่คลายหมดแล้ว…
หลินเจี๋ยถามแอนดรูว์ไปอย่างสงสัยว่าแก้ปัญหานี้ยังไง?
หลังจากทราบจากปากพรีม่าว่าแม้ตระกูลของเธอจะเป็นคนกลุ่มน้อยในสมาคมแห่งสัจธรรม แต่พวกเธอก็มีประวัติสืบทอดอันยาวนานและมีตำแหน่งที่พิเศษเฉพาะที่นั่น
ต่อให้รองประธานจะคิดอยากแก้ปัญหาความขัดแย้งในตระกูลที่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องความขัดแย้งทางความเชื่อ พรีม่าและพี่สาวของเธอเป็นฝ่ายอนุรักษ์นิยม ส่วนพวกเจโรมเป็นพวกหัวรุนแรง มันก็ยังทำได้ยากและไม่ใช่อะไรที่จะแก้ได้ในวันสองวันอยู่ดี
แล้วแอนดรูว์ก็ตอบว่าเป็นเพราะชานมไข่มุกที่ซื้อไปอร่อยมาก
???
เจ้าของร้านหลินงุนงง แต่แอนดรูว์พูดอย่างจริงจังมาก แถมยังพูดอีกว่าในตอนแรกมีบางคนที่ไม่อยากดื่มมันแล้วดื้อด้านขัดขืน
แต่หลังจากได้รับการเชิญอย่างเมตตาสุด ๆ จากเขาแล้วดื่มมันเข้าไป พวกเขาก็ต่างสรรเสริญมันซ้ำแล้วซ้ำเล่าแล้วตกหลุมรักชานมไข่มุกกันอย่างหมดใจ
แล้ว…พวกเขาก็หมกมุ่นอยู่แต่กับความอร่อยของชานม ทิ้งความเคลือบแคลงก่อนหน้านี้ไปหมดแล้วเห็นพ้องต้องกัน ความขุ่นข้องหลายต่อหลายปีสลายไป แล้วครอบครัวก็สมานฉันท์กันได้ทันที
สำหรับเรื่องนี้ แม้หลินเจี๋ยจะยังมีความเคลือบแคลงในใจนิด ๆ แต่สุดท้ายชายหนุ่มก็เลือกที่จะปล่อยมันไป
หลินเจี๋ยมองเจ้าขาวที่ง่วนอยู่กับการไล่กวดขนนกแล้วยิ้มอย่างผ่อนคลาย “บางทีนี่อาจจะเป็นพลังของอาหารจากต่างโลกก็ได้มั้ง?”