เจ้าของร้านพิศวง - บทที่ 302 ตำราอาหาร
บทที่ 302 : ตำราอาหาร
‘สังเวยเลือด’
วินาทีแรกที่เธอเห็นชื่อหนังสือ หัวใจที่เต้นแรงในอกของจี้จือซู่จากภาพหลอนที่น่าสะพรึงกลัวนั้นก็สั่นอีกครั้ง ก่อนที่มันจะสงบลง…
หากพิจารณาเพียงชื่ออย่างเดียว แม้ว่าหนังสือเล่มก่อน ๆ จะทำให้ผู้คนรู้สึกถึงความลึกลับ แต่ก่อนจะทันได้เห็นเนื้อหา คนอ่านก็คงทำได้เพียงจินตนาการเนื้อหาของหนังสือไปต่าง ๆ นานาเท่านั้น
คนอย่างจี้จือซู่ที่ได้ประจักษ์ต่ออำนาจของเจ้าของร้านหลินอย่างเต็มที่มาก่อนย่อมสามารถรักษากิริยาของตัวเองไม่ให้เข่าอ่อนต่อหน้าหนังสืออันน่ากลัวอย่างไม่สิ้นสุดเหล่านี้ได้ ทว่าหากเป็นคนธรรมดาก็ไม่รู้จะเป็นอย่างไร?!
แต่มีแค่หนังสือเล่มนี้เท่านั้นที่เผยด้านที่กดดันน่ากลัวออกมาอย่างตรงไปตรงมา ทำให้ทุกคนเห็นภาพชวนเลือดสาดกันขึ้นมาทันที
เนื้อหาของหนังสือเล่มนี้ มองปราดเดียวก็เข้าใจแล้ว…
สังเวยเลือด!
ใช้เลือดเนื้อสังเวยเพื่อทำพิธีบูชาเทพ!
แต่ปัญหาก็คือ จะใช้เลือดเนื้อของใคร พิธีกรรมอะไร และบูชาเทพองค์ไหน?
หัวใจจี้จือซู่เต้นกระตุก เธอยังจำคืนฝนตกที่เป็นจุดเริ่มต้นของทุกสิ่งทุกอย่างได้ และไวลด์…ชายชราที่เดินสวนกับเธอ
ในตอนนี้ ข่าวกรองแจ้งว่าอีกฝ่ายได้สร้างลัทธิชั่วร้ายใหม่ขึ้นในด้านมืดของนอร์ซิน ใช้ชื่อว่า ‘ลัทธิกลืนศพ’
ว่ากันว่าพวกเขาเชื่อใน ‘พระเจ้าผู้รอบรู้และแข็งแกร่งทุกด้านราวจักรวาลที่ไม่สิ้นสุด’ แล้วพวกเขาก็จะใช้วิธีที่โหดเหี้ยมชั่วร้ายสุดขั้วในการทำพิธีบวงสรวงศัตรูของพวกเขาเป็นเครื่องเซ่นต่อพระเจ้าผู้นี้
นิกายกินศพเพิ่งจะเริ่มเป็นที่สนใจในนอร์ซินได้ไม่นาน และนิกายดังกล่าวกำลังเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วราวกับการพอกสะสมของก้อนหิมะจนเกือบทัดเทียมศาสนาแห่งตะวันได้แล้ว
สองศาสนานี้ หนึ่งเป็นแสงสว่างและหนึ่งเป็นความมืด หนึ่งเหมือนแสงอาทิตย์ที่ส่องลงบนโลก และอีกหนึ่งเหมือนโรคร้ายที่ลุกลามอย่างรวดเร็ว
วิธีการอันโหดเหี้ยมของนิกายกลืนศพและความคลั่งศาสนาขั้นรุนแรงของพวกเขาทำให้ผู้คนแตกตื่นไปกับข่าวลือและถือพวกเขาเป็นภัยพิบัติ ส่วนพระเจ้าผู้แข็งแกร่งทุกด้านที่จู่ ๆ ก็โผล่มานั้นก็ถูกประณามว่าเป็นเทพปีศาจ
พวกเขาไม่รู้ชื่อของพระเจ้าที่ว่า รวมไปถึงที่มาของพระเจ้านั่นด้วย…มีข่าวลือกระทั่งว่าไวลด์กุเรื่องพวกนี้ขึ้นมาเองทั้งหมดเพื่อรวบรวมสาวกมาเป็นลูกน้องผ่านลูกไม้สกปรกอย่างการล้างสมอง
แต่ลูกค้าร้านหนังสืออย่างจี้จือซู่มีการคาดเดาอันใจกล้าอยู่ในใจประการหนึ่ง
เทพปีศาจที่ว่าคงแยกกับร้านหนังสือไม่ได้หรอก
คำถามเดียวก็คือ เจ้าของร้านหลินกำลังเผยแผ่ศาสนาของเขาเอง หรือว่า…
จี้จือซู่ไม่รู้ และไม่กล้าเดา
แต่ตอนนี้ ตรงหน้าเธอ คำตอบก็เหมือนปรากฏอยู่รำไรแล้ว
จี้จือซู่จ้องค้างที่หนังสือเล่มนั้น
หลินเจี๋ยประหลาดใจเล็กน้อย เขาไม่เห็นคุณหนูจี้มีปฏิกิริยาต่อหนังสือเล่มไหนมากเท่าเล่มนี้มาก่อน แต่เดิมแล้วเขาก็คิดว่าสาว ๆ อย่างเธอจะสนใจ ‘ดวลรัก ดับแค้น’ หรือ ‘สาวทรงเสน่ห์’ เสียอีก
เขาไม่คิดเลยว่าเธอจะสนใจหนังสือที่เหมือนธรรมดา ๆ เล่มนี้อย่างมากเสียแทน
บางทีอาจจะเป็นไปตามที่เขาว่า ‘สูงสุดสู่สามัญ’ เมื่อชาชินกับความรัก ความเกลียด อารมณ์ และการล้างแค้นในแวดวงชนชั้นสูงแล้ว เธอคงเหนื่อยแล้วกลับสู่สามัญ หันมาให้ความสนใจเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ พวกนี้ก็ฟังดูมีเหตุผล
เขาอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “ผมไม่คาดฝันเลยว่าคุณจะสนใจหนังสือทำอาหารนะครับ ช่วงนี้อยากลองทำอาหารกินเองเหรอครับ?”
จี้จือซู่ถึงกับชะงัก “???”
คุณหนูจี้ผู้ถูกประคบประหงมมาแต่เด็กผงะไป เธอประมวลความหมายที่เจ้าของร้านหลินแล้วงุนงงโดยสมบูรณ์ “…ตำราอาหารเหรอคะ?”
หลินเจี๋ยพลิกหน้าปกหนังสือในมือมาดูแล้วยืนยันกับตัวเองอีกครั้งว่าไม่ได้หยิบผิดเล่ม จากนั้นก็พูดอย่างงุนงง “ครับ นี่เป็นตำราอาหารไม่ใช่เหรอครับ?”
เขาเบิกตาอย่างใสซื่อและงุนงง แล้วก็ถามกลับเชิงวาทศิลป์ที่สมเหตุสมผล
ถ้าเมินคำว่า ‘สังเวยเลือด’ สีแดงสดตัวเบ้อเริ่มที่เขียนอยู่ทนโท่บนหนังสือในมือเจ้าของร้านหลินไป จี้จือซู่ก็เกือบจะถูกทักษะการแสดงชั้นเซียนของเจ้าของร้านหลินหลอกเอาได้แล้ว…
เจ้าของร้านหลินมีรสนิยมร้ายกาจแบบนี้ด้วยแฮะ จี้จือซู่วิจารณ์อยู่ในใจ และทันใดนั้นก็ชะงักความคิด
ไม่ ๆๆๆ…บางทีครั้งนี้ คุณหลินอาจจะไม่ได้แกล้งเธอเล่นก็ได้
แต่หนังสือเล่มนี้อาจจะเป็นตำราอาหารสำหรับเขาจริง ๆ…
เมื่อจี้จือซู่คิดมาถึงตรงนี้ ร่างของเธอก็หนาวเยือก ขนทั่วตัวของเธอลุกซู่
คำว่าสังเวยเลือดหมายความได้เพียงอย่างเดียว คือการฆ่าคนแล้วสังเวยเลือดและร่างของเขาเพื่อสรรเสริญพระเจ้า
สำหรับคนทั่วไป นี่เป็นการกระทำที่โหดเหี้ยมและชั่วร้าย
สำหรับสาวก นี่คือพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ที่จะพิสูจน์ความศรัทธาของพวกเขา
แต่สำหรับตัวพระเจ้าเองล่ะ?
เครื่องเซ่นเหล่านี้ก็คงเป็นเพียงอาหารเลิศรส และหนังสือที่บันทึกวิธีการสังเวยเลือดก็คงไม่ต่างจาก ‘ตำราอาหาร’ ?!
จี้จือซู่หนังหัวชายิบ เธอรู้สึกหนาววาบไปทั้งตัวราวกับได้แอบมองโลกผ่านมุมมองของพระเจ้าโดยไม่ได้ตั้งใจ ทำให้เธอดูราวกับเป็นปลาที่เพิ่งขึ้นจากน้ำ
ถ้าเป็นแบบนั้นจริง งั้นเจ้าของร้านหลินก็คือ…
“ทำไมคุณไม่พูดล่ะครับ?”
หลินเจี๋ยโบกมือตรงหน้าจี้จือซู่แล้วพลิกหนังสือในมือเขาอย่างเคลือบแคลงเล็กน้อย คิ้วของเขาขมวด “ผมยังงงอยู่เลย… นี่มันก็ตำราอาหารใช่ไหมครับ?”
จี้จือซู่ฝืนยิ้มแล้วพูด “เปล่าค่ะ เมื่อกี้ฉันคิดเรื่องอื่นกะทันหัน คุณไม่ผิดหรอก มันเป็น…ตำราอาหารจริง ๆ ค่ะ”
“งั้นก็ดีแล้วล่ะครับ”
หลินเจี๋ยมองหนังสือ ‘1,000 เมนูอาหารพื้นบ้านคลาสสิก (ฉบับสี 365 วัน)’ ในมือแล้วคิดเสมอว่าสีหน้าของคุณหนูจี้ดูแปลก ๆ อาจเป็นเพราะเธอเพิ่งหัดทำอาหารแล้วดันนึกถึงพวกแก๊งต้มตุ๋นที่มาหลอกเธอ แล้วก็อดรู้สึกเศร้าไม่ได้หรือเปล่าหนอ?
อืม…ก็เป็นไปได้
หลินเจี๋ยติดสินใจเลิกขุดคุ้ยเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ไปสะกิดแผลใจคุณหนูจี้ แล้วเขาก็พูดขึ้น
“จากการวิเคราะห์ล่วงหน้าของผม ในหนังสือห้าเล่ม เล่มนี้คงเป็นที่นิยมที่สุดแล้วครับ ดังนั้นผมจึงหวังว่าคุณจะลงทุนการประชาสัมพันธ์หนังสือเล่มนี้อย่างสูงสุด เพราะถึงยังไงเรื่องทำกับข้าวก็น่าจะเป็นเรื่องที่ทุกคนสนใจไม่มากก็น้อย หรืออย่างน้อยก็น่าจะเคยมีส่วนร่วมในกระบวนการมากันก่อนแล้ว และหนังสือเล่มนี้ก็เกี่ยวกับเมนูอาหารที่ทำเองได้ที่บ้านด้วย ในเมื่อเป็นกิจกรรมในครอบครัว ส่วนผสมก็ควรมีกันทุกครัวเรือนนะ”
แล้วเขาก็เพิ่มเติม “แต่จริง ๆ แล้วมันไม่ง่ายหรอกที่จะทำตามสูตรพวกนี้ได้สำเร็จ ต่อให้รู้วิถีการที่ถูกต้อง แต่ก็ยังขึ้นกับความแข็งแกร่งของแต่ละบุคคลด้วยครับ”
จี้จือซู่พยักหน้าอย่างแข็งทื่อ
จริงของเขา ทุกคนน่าจะมีส่วนร่วมในการประกอบอาหารกันอยู่แล้ว จะมีใครไม่กลายเป็นอาหารได้บ้างล่ะ?
ส่วนผสมก็ควรมีกันทุกครัวเรือน ก็จริงอีกเช่นกัน มีครอบครัวไหนไม่มีคนบ้างล่ะ?
ไม่ง่ายหรอกที่จะทำได้สำเร็จตามสูตร จากทุกอย่างที่ว่ามาและข้อกำหนดของลัทธิกลืนศพที่จะใช้เหยื่อระดับสัตว์ประหลาดขึ้นไปเท่านั้น มันก็ไม่ง่ายจริง ๆ
“สรุปคือ หนังสือทั้งหมดห้าเล่มนะครับ…ตามข้อตกลงเลยครับผม”
หลินเจี๋ยซ้อนหนังสือทั้งห้าเล่มกลับเป็นกองอีกครั้ง แล้ววางมันในมือจี้จือซู่
หญิงสาวสัมผัสได้ว่าจู่ ๆ ก็มีน้ำหนักถ่วงมือเธอแล้วจิตหลุดไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ได้สติแล้วพยักหน้ารัว ๆ “เข้าใจแล้วค่ะ บริษัทโรลล์จะหาผู้ซื้อที่เหมาะสมที่สุดให้คุณแน่นอนค่ะ”
“ไม่หรอกครับ ไม่ต้องเหมาะสมที่สุดก็ได้ เอาที่คุณเห็นสมควรก็พอแล้ว” หลินเจี๋ยยิ้มแล้วพูดอย่างไม่เห็นแก่ตัวว่าเขาไม่ได้ตั้งข้อกำหนดอะไรไว้สูงนัก
จี้จือซู่รู้สึกกดดันราวถูกภูเขาทับ เธอทำได้แค่พูดแบบไปตายเอาดาบหน้า “ขอบคุณสำหรับความเชื่อใจค่ะ…นี่บัตรเชิญไปงานเลี้ยงวันเกิดนะคะ เราจะมารับคุณด้วยตนเองค่ะ…”
หลินเจี๋ยรับบัตรเชิญไปนั้นมาดูแล้วส่ายหน้า ตอบว่า “ไม่ต้องลำบากหรอกครับ ถึงเวลาผมจะไปหาเองแล้วกัน”
—