เจ้าของร้านพิศวง - บทที่ 309 สู้จนตายไปข้าง
บทที่ 309 : สู้จนตายไปข้าง
เมลิสซ่าที่ควรจะย้ายไปอยู่หน่วยข่าวกรอง ไหงมาอยู่ในภารกิจนี้ได้ล่ะ?!
วิเวียนที่รู้เรื่องทั้งหมดก็เข้าใจได้ทันทีว่าต้องมีใครสักคนในหอพิธีกรรมต้องห้ามเล่นตุกติกแล้ว!
หากคิดสักหน่อยก็จะเข้าใจความร้ายแรงของเรื่องนี้ได้ทันที การที่เมลิสซ่าอยู่ที่นี่ก็ไม่ต่างอะไรกับมีระเบิดเลย!
ถ้าไม่ระวังจะเป็นการจุดระเบิดระหว่างไวลด์และโจเซฟทันที ความขัดแย้งที่ตึงเครียดมาตลอดสองปีจะขาดผึงตอนไหนก็ได้
แล้วจากนั้น สงครามระหว่างนิกายกลืนศพและหอพิธีกรรมต้องห้ามจะอุบัติขึ้นทันที…
แม้ว่าจะเกิดศึกกันแน่ ๆ อยู่แล้วก็ตาม แต่เวลาเกิดของมันจะเร็วขึ้น
แต่ผู้ที่อยู่เบื้องหลังก็น่าจะมีจุดประสงค์อื่นอยู่ เขาต้องการสร้างความโกลาหลนี้เพื่อทำบางอย่างเหมือนที่เกิดเหตุขึ้นกับกระจกมนตราครั้งก่อนแน่ ๆ นี่ไม่ใช่ตัวแปรที่ควบคุมได้ ดังนั้นต้องหลีกเลี่ยง
แต่ว่าตอนนี้ ความกังวลส่วนใหญ่ในใจวิเวียนนั้นมาจากความเป็นห่วงสวัสดิภาพชีวิตของเมลิสซ่า
เพราะถึงอย่างไร ในความเห็นของเธอแล้ว เมลิสซ่าก็เทียบได้กับลูกหลานของเธอเอง “เมลิสซ่า กลับไปเดี๋ยวนี้เลย!”
วิเวียนเมินการสั่งการสนามรบแล้วใช้ช่องสื่อสารด่วนของเครื่องมือสื่อสารออกคำสั่งหาเมลิสซ่าด้วยน้ำเสียงจริงจังทันที
เนื่องจากภารกิจนี้มุ่งเป้าไปที่การกวาดล้างสมาชิกระดับกลางถึงล่างของนิกายกลืนศพที่ซ่องสุมกันอยู่ที่นี่ จึงไม่มีสมาชิกระดับสัตว์ประหลาดปรากฏตัว ดังนั้นวิเวียนจึงรับหน้าที่คุ้มกันเท่านั้น และอยู่ในแนวหลังที่ค่อนข้างปลอดภัยชั่วคราว
เมลิสซ่าอึ้งไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ได้ค่ะ…ฉันจะกลับไปทันที”
การเชื่อฟังคำสั่งของผู้มีตำแหน่งสูงกว่าอย่างไร้ข้อแม้ในสนามรบเป็นหนึ่งในหลักสูตรบังคับของอัศวินของหอพิธีกรรมต้องห้าม
แม้ว่าในใจจะมีคำถาม แต่ก็ต้องทำตามคำสั่งก่อน หลังจากจบศึกค่อยมาถามเหตุผลกับผู้บังคับบัญชา
ทว่าผู้บังคับบัญชาจะตอบหรือไม่นั้นเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน และเป็นไปได้ว่าผู้ถามจะถูกลงโทษจากผู้บังคับบัญชาเนื่องจากประพฤติตนไม่สุภาพด้วย ความเสี่ยงจึงมีมาก
เมื่อได้ยินเธอพูดอย่างนั้น วิเวียนก็ผ่อนคลายลงทันที
…โชคดีที่เรื่องนี้ไม่ยุ่งยากนัก
พอเมลิสซ่ากลับมา เธอต้องถามอย่างแรกเลยคือใครส่งเธอมา ต้องมีคนก่อความวุ่นวายอยู่แน่ ๆ ไม่อย่างนั้นเมลิสซ่าในตอนนี้ก็ควรจะไปเดินพิธีการย้ายหน่วยอยู่ แล้วเธอจะมาที่นี่ทำไม
เพราะถึงอย่างไร เบื้องบนก็อนุญาตให้เมลิสซ่าไม่ต้องเข้าร่วมปฏิบัติการนี้แล้ว
สีหน้าของวิเวียนครุ่นคิดอย่างเคร่งขรึม แล้วจู่ ๆ เธอก็ได้ยินเสียงที่วุ่นวายจากอุปกรณ์สื่อสารในมือ มันเป็นเสียงอุทาน เสียงฝีเท้า เสียงต่อสู้และเสียงระเบิดที่ปนเปกัน
เสียงของเมลิสซ่าชะงักไป แล้วเธอก็พูดอย่างหนักแน่น “ตอนนี้ ฉันอาจจะกลับไปไม่ได้แล้วล่ะค่ะ…”
หัวใจของวิเวียนดิ่งวูบ เธอเงยหน้ามองไปไกลแล้วสัมผัสได้ทันทีว่ามีออร่าของผู้มีพลังเหนือธรรมชาติเพิ่มมาอย่างกะทันหันหลายจุด และในขณะเดียวกันก็มีปฏิกิริยาอีเธอร์ที่เกิดจากการรบกวนมิติและเวลาด้วย
เห็นได้ชัดว่านี่เป็นฝีมือสัตว์มายาที่ไวลด์ทำสัญญาด้วย…สกายวูลฟ์เกรดี้ที่เปิดช่องว่างมิติแล้วส่งสาวกของไวลด์บางคนมา!
เมื่อเทียบกับระดับสัตว์ประหลาดสองคนที่ค่อนข้างไม่เอาไหนแล้ว เจ้าของออร่านี้ถือได้ว่าเป็น ‘ระดับสัตว์ประหลาด’ ตัวจริงเสียงจริง
ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับสัตว์ประหลาดที่แท้จริงนั้น คำนิยามคือผู้ที่สามารถทำให้บุคคลมากกว่าพันคนแตกตื่นได้
แต่คนธรรมดาหนึ่งพันคนกับผู้มีพลังเหนือธรรมชาติหนึ่งพันคนนั้นแตกต่างกัน
แม้ว่าการเปรียบเทียบนี้จะเกินจริงไปบ้าง แต่เห็นได้ชัดว่าเจ้าของออร่านี้ไม่ได้อยู่ในคำจำกัดความโดยทั่วไปแล้ว
อย่างน้อยก็เป็นตัวตนระดับเดียวกับอัศวินแห่งแสง ความแข็งแกร่งของเขาไม่ได้ด้อยไปกว่าเรา
วิเวียนชั่งน้ำหนักในใจ
เรื่องที่น่าเป็นห่วงที่สุดเกิดขึ้นแล้ว… เกรงว่าอีกฝ่ายคงเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอต้องมาคุ้มกันที่นี่ หนึ่งในสี่ผู้ติดตามของไวลด์ นักล่าที่ใช้ชื่อว่า ‘เหยี่ยวราตรี’
“ฟู่…”
วิเวียนพ่นคำสั่งแบบไม่พักหายใจ “เมลิสซ่า ถอยไปให้ไกลที่สุดก่อน รักษาความปลอดภัยของตัวเองไว้!”
แล้วเธอก็ยืนขึ้นโดยไม่รอให้เมลิสซ่าตอบ คว้าหอกยาวสามเมตรของเธอชี้ไปทางทิศที่เกิดออร่าด้วยมือเดียว ในขณะที่อีกมือกุมบังเหียนม้าไว้แน่น
เปรี้ยง…!
ออร่าอันแข็งแกร่งรวมตัวกันที่ร่างของอัศวินหญิงในเกราะสีแดงเข้มบนหลังอาชาสีดำ ก่อเกิดเป็นพลังที่กลืนกินได้ทุกสรรพสิ่งดั่งน้ำวน
อาชาส่งเสียงร้อง ดวงตาของมันเรืองแสงสีแดงวาววับ ทันทีที่เท้าหน้าของมันกระทืบลงมา อากาศก็ถูกอำนาจมหาศาลแหวกออก ก่อนที่พื้นดินที่ถูกกระทืบจะเว้าตัวลงแล้วแตกเป็นเสี่ยง
เปรี้ยง!
คลื่นอัดอากาศที่กระเพื่อมออกอย่างรุนแรงทำให้พื้นดินในระยะสิบเมตรกลายเป็นเศษซาก ฝุ่นควันฟุ้งกระจายไปทั่ว แล้วสิ่งปลูกสร้างรอบ ๆ ก็ถูกลูกหลงของพลังบดขยี้ลงกับพื้นด้วย
ในระหว่างนั้น ทั้งม้าและอัศวินก็ได้หายวับไป
ราวกับเธอกลายเป็นดาบอันแหลมคม เงาหลอนสีแดงเข้มคำรามลั่นแล้วทะยานสู่สนามรบด้วยความเร็วอย่างเหลือเชื่อในทันที ทุกการกวาดผ่านของเธอนำไปสู่ความตาย
ความตายของศัตรูน่ะนะ
ร่างสีแดงของหอกสีชาดบนสนามรบนี้คือฝันร้ายของศัตรู
—
ทันทีที่เหยี่ยวราตรีมาถึง เขาก็เล็งไปที่เมลิสซ่าทันที
เขามาเพื่อการนี้!
ไวลด์บอกเขาไว้อย่างชัดเจนแล้วว่านี่คือลูกสาวของโจเซฟ จุดอ่อนเดียวของเขา ดังนั้น ตราบใดที่เขาจัดการกับเธอได้ เขาก็นับว่าสามารถขัดขวางตำแหน่งของโจเซฟได้แล้ว!
ถึงจะไม่รู้ว่าสมบัติที่ควรได้รับการทะนุถนอมชิ้นนี้หลุดมาอยู่ที่แนวหน้าได้ยังไง แต่สำหรับพวกเขาแล้ว มันคือโอกาสอันงดงามที่หาได้เพียงครั้งเดียวในรอบพันปี
เหยี่ยวราตรีกางแขนราวกับกางปีก ขนนกสีดำงอกออกมา แล้วถักทอกลายเป็นผ้าคลุมแห่งรัตติกาล
เสมือนเหยี่ยวที่อาศัยการพรางตัวในเวลากลางคืนที่มืดมิด นักล่ายกมีดยาวขึ้น การกระโดดหลายครั้งของเขาได้สังหารอัศวินของหอพิธีกรรมต้องห้ามไปหลายคนเพื่อเป็นการอุ่นเครื่อง
การร่ายรำสร้างงานศิลป์แห่งการสังหารเกิดขึ้นเป็นช่วง ๆ พร้อมกับรอยเลือดที่สาดกระเซ็นลอยไปบนอากาศ
ฉัวะ! ฉัวะ! ฉัวะ…!
เมื่อเงื้อมีดครั้งสุดท้าย ร่างสั่นเทาของเมลิสซ่าก็ฉายอยู่ในแววตาชั่วร้ายของเขา เหยี่ยวราตรีบิดเอวแล้วฟันมีดลงมา
ใบมีดยาวทอประกายเย็นเสียดกระดูก
แล้วมันก็ปะทะเข้ากับหอกในมือของอัศวินสีชาดที่แทงเข้ามาอย่างแม่นยำ
เคร้ง! เปรี้ยง!
คลื่นลมกระจายออกไปทุกทิศทาง แล้วพื้นดินก็แยกตัวจากแรงกระแทก
อัศวินหญิงผมสั้นร่างสูงยกหอกยาวในมือของเธอขึ้น เมื่อเธอเหลือบไปเห็นเมลิสซ่าที่ยังอยู่รอดปลอดภัย เธอก็ถอนหายใจโล่งอกออกมายาว ๆ แล้วสายตาที่เจิดจ้าราวกับคบเพลิงก็จ้องเขม็งไปที่นักล่าตรงหน้า
เธอประกาศเสียงดัง “อาชญากรเลวทรามของนิกายกลืนศพ ความยุติธรรมมาถึงแล้ว และนี่จะเป็นจุดจบของพวกนาย!”
เหยี่ยวราตรีแค่นหัวเราะ “ราศีแห่งผู้เป็นเจ้าสว่างไสวราวแสงจันทร์ แต่เธอมันก็แค่หิ่งห้อย กล้ามาตั้งตัวเป็นศัตรูกับคนของนิกายกลืนศพ เดี๋ยวก็ได้รู้ว่าใครกันแน่ที่จะจบจริง ๆ!”
ทั้งสองยืนประจันหน้าราวกับอาวุธที่ถูกชี้ใส่กัน
แล้วการต่อสู้จนตายกันไปข้างหนึ่งที่เดิมพันโดยจุดยืนของพวกเขาก็เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ!