เจ้าของร้านพิศวง - บทที่ 315 ไม่มีสมอง
บทที่ 315 : ไม่มีสมอง
สมาคมแห่งสัจธรรมที่แท้จริง?!
เมื่อแอนดรูว์กับฮู้ดได้ยินดังนั้น สีหน้าของพวกเขาก็แปรเปลี่ยนไปทันที
เจ้าของร้านหลินบอกใบ้ว่ามีศัตรูจากวิถีแห่งดาบอัคคีอยู่ใต้สังสาระจักรกล และพวกเขาก็มาที่นี่เพื่อตามหา ดังนั้นนี่จึงไม่ใช่เหตุผลที่พวกเขาตกใจ
แต่การปรากฏตัวของ ‘ภูมิปัญญาแห่งสวรรค์’ แกรนแธม ยูมีร์นั้นอยู่ในหมวดหมู่นรกแท้ ๆ
ไม่สิ! ตอนนี้ไม่ว่าเขาจะปรากฏตัวที่ไหน คนที่นั่นต่างก็ทำหน้าเหมือนเห็นผีแน่ ๆ!
การที่จู่ ๆ ใบหน้าที่ควรปรากฏแต่ในตำราเรียนมาปรากฏในปัจจุบันเหมือนที่พวกนักเรียนนักศึกษาชอบล้อเล่นกันว่า ‘นักวิทยาศาสตร์ที่ล่วงลับไปหลายพันปี จู่ ๆ ก็งัดฝาโลงออกมาประชันหน้ากัน’
มันน่าตกใจและน่าสะพรึงกลัว!!
แต่ ‘สมาคมแห่งสัจธรรมที่แท้จริง’ นี้ล้มล้างธรรมชาติทั้งปวงโดยสิ้นเชิง
ใครคือยูมีร์?
เขาคือผู้ก่อตั้งและประธานคนแรกของสมาคมแห่งสัจธรรม ผู้สร้างนครเหล็กนอร์ซิน ผู้ก่อตั้งสถาบันศึกษาของนักวิชาการ และเป็นนักวิชาการระดับเหนือนภาคนแรกผู้ได้รับการยกย่องให้เป็น ‘มหาปราชญ์ผู้เป็นที่มาของความรู้ทั้งหมดบนโลกมนุษย์’
หรือก็คือ ‘ภูมิปัญญาแห่งสวรรค์’
เดิมทีพวกแอนดรูว์มาเพื่อจับขโมยที่ขึ้นบ้านพวกเขา แต่ดันมาเจอบรรพชนเสียนี่!!
ยิ่งไปกว่านั้น อีกฝ่ายยังบอกว่าที่จริงแล้ว บ้านของพวกเขาเป็นของปลอม ส่วนทางเข้าเป็นของจริง…ขโมยกลายเป็นเจ้าของบ้านตัวจริงไปแล้ว
ใครมันจะไปรับเรื่องแบบนี้ได้?!
ความคิดของแอนดรูว์เปลี่ยนไป แววตาของเขาหม่นลงแล้วตัดสินใจทันที
เขาไม่สามารถยอมรับตัวตนและฐานะของคน ๆ นี้ได้อย่างเด็ดขาด!
ต่อให้เขาจะเป็นยูมีร์ตัวจริงก็เถอะ นั่นก็ยังผิดอยู่ดี…
สมาคมแห่งสัจธรรมในทุกวันนี้ไม่ต้องการปราชญ์ผู้สูงส่งในอดีตมาเป็นผู้นำเพื่อเพิ่มความย้อนแย้งแล้ว การแทรกซึมของ ‘ฝ่ายผู้แสวงหาปัญญา’ กำลังปิดม้วนแก่นแท้ของพวกเขาจนเป็นเกลียวเชือก ขอแค่มีเวลาอีกสักพัก ทั้งสมาคมแห่งสัจธรรมก็จะเป็นปึกแผ่นแล้ว
หากผู้คนรู้ว่ายูมีร์ซ่อนอยู่ในสังสาระจักรกลมาโดยตลอดล่ะก็ ปัญหาและความร้าวฉานที่ไม่จำเป็นจะต้องตามมาอย่างเลี่ยงไม่ได้
ยิ่งกว่านั้น จากทุกสัญญาณที่ปรากฏ ในเมื่อยูมีร์อยู่ที่นี่ เมื่อรวมกับเบาะแสทั้งหมดแล้ว เขาก็คือคนจากวิถีแห่งดาบอัคคี และเป็นศัตรูของพวกเขา
สมาคมแห่งสัจธรรมไม่มีทางนับมิตรกับศัตรู
แต่เมื่อแอนดรูว์ตัดสินใจแล้วจะอ้าปากพูด โจเซฟที่อยู่ด้านข้างพลันพูดออกมาก่อน
เขามองขึ้นไปที่เรซิเอลแล้วยิ้มอย่างท้าทาย “แค่บอกว่านายคือยูมีร์ นายก็เป็นยูมีร์แล้วเหรอ? ถ้าเป็นแบบนี้ พวกสวมรอยเหล่าคนดังที่ตายไปก็คงเกร่อน่าดู ขอแค่คนระดับเหนือนภาเปลี่ยนรูปลักษณ์สักนิดก็อ้างได้แล้วว่าตัวเองคือยูมีร์ ใครจะไปเชื่อได้ล่ะ”
…ระดับเหนือนภาไม่ได้หากันง่าย ๆ นะเฟ้ย!
แอนดรูว์อดบ่นในใจไม่ได้
ทว่าเขาก็ยังคงผงกหัวแสดงความเห็นด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง
อย่างไรก็ตาม โจเซฟก็ตระหนักว่าหลังจากนี้หากยูมีร์ที่ยืนอยู่ตรงนี้เป็นตัวจริงและเป็นคนของวิถีแห่งดาบอัคคีล่ะก็ จุดยืนของสมาคมแห่งสัจธรรมก็คงสั่นคลอนอย่างควบคุมไม่ได้…
แม้ว่าโจเซฟจะดูเหมือนเย้ยหยันยั่วยุกันเต็มที่ แต่จริง ๆ แล้วเขาก็ให้ความสนใจทักษะภาษาของเขาเองอยู่ อย่างเช่นที่พูดว่า ‘คนดังที่ตายไป’ ในขณะที่ยังสงสัยในตัวตนของอีกฝ่าย หากอีกฝ่ายคือยูมีร์ตัวจริง ถ้าคิดตามหลักเหตุผลทั่วไปแล้วก็ไม่มีเหตุผลให้ต้องโกรธกันเรื่องนี้เลย
ไม่ใช่เรื่องบังเอิญเลยที่เปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ไร้เทียมทานผู้นี้จะมีฐานแฟน ๆ มากมาย…
แอนดรูว์ลอบคิดในขณะที่หันความสนใจไปที่เรซิเอล
ตอนนี้…ก็รอดูว่าเจ้าหมอนี่จะตอบสนองยังไง
เรซิเอลยังรักษารอยยิ้มของเขาไว้ กางมือออกแล้วหัวเราะอย่างเฉยเมย “หากเจ้าคิดว่าไม่ใช่ก็ไม่ใช่แล้วกัน นามของยูมีร์ถูกจารึกในประวัติศาสตร์มานานแล้ว และกลายไปเป็นสัญลักษณ์เปื่อย ๆ ที่คนอ่านออกเสียงกันซ้ำ ๆ มิใช่บุคคลที่ยอดเยี่ยมใด ๆ เลย”
แล้วเขาก็พูดว่า “ยามนี้ข้าถูกเรียกว่าเรซิเอล ผู้เป็นเพียงนักวิชาการที่เสาะแสวงหาโครงการอันน่าสนใจมาทำวิจัยเท่านั้นแหละ”
โจเซฟยังคงระแวงและมองไปที่เหล่ามนุษย์ประดิษฐ์ที่นิ่งค้างอยู่รอบ ๆ “นี่คือโครงการน่าสนใจที่นายเจอเหรอ?”
ในเมื่อตอนนี้พวกเขาถูกขังอยู่ในฐานของศัตรู ถิ่นของนักวิชาการระดับเหนือนภา ย่อมหมายความว่าอีกฝ่ายเตรียมการมาอย่างเต็มที่แล้ว ถึงแม้ว่าร่างหลักของเขาจะค่อนข้างอ่อนแอ แต่ถ้าเขาให้อาวุธล่ะก็ พวกเขาคงราบคาบได้ง่าย ๆ แน่นอน…
ถ้าสู้กัน โอกาสชนะจะน้อยมาก…!
ตอนนี้เขาส่งคำขอกำลังเสริมไปที่หอพิธีการต้องห้ามแล้ว และจะดีกว่าถ้าสื่อสารถ่วงเวลาได้สักพัก
เรซิเอลตอบว่า “แต่เดิมก็ใช่”
แอนดรูว์ตั้งสันนิษฐานที่อยู่ในใจมานาน “โครงการ ‘เทวรูปดิน’ ถึงจะได้รับการยอมรับจากสมาชิกทุกคนของสมาคมแห่งสัจธรรมและผมลงนามยินยอมด้วยตนเองก็ตาม แต่โครงการนี้ต้องใช้ทรัพยากรบุคคลมหาศาลและเป็นเหมือนหลุมดำที่ดูดทรัพยากรอย่างไม่รู้จบ แต่กลับไม่มีใครตั้งคำถามใด ๆ เกี่ยวกับมันเลย แล้วเมื่อกลับไปย้อนคิดในตอนนี้…คุณใช่ไหม ตัวการที่ส่งอิทธิพลต่อพวกเรา?”
เรซิเอลยกมือขึ้นขุดรูบริเวณใกล้ขมับของเขาราวกับรู้สึกคัน เขาหรี่ตาลงแล้วพูดยิ้ม ๆ “ใช่แล้ว เจ้าเห็นห้องเล็ก ๆ ที่มีแสงสีเขียวที่นี่หรือไม่? ในแต่ละห้องพวกนี้บรรจุชิ้นส่วนสมองส่วนสีเทาของนักวิชาการแต่ละคนและใช้เป็นสื่อกลางแทรกแซงความคิดของพวกเขาได้”
สถาปัตยกรรมทรงรังผึ้งนี้มีห้องเล็ก ๆ ที่ว่าประกอบอยู่เป็นจำนวนมหาศาล และแต่ละห้องก็ส่องสว่างด้วยแสงไฟสีที่แตกต่างกัน
ห้องที่มีสีเขียวมีราว ๆ หลายร้อยห้องได้
แอนดรูว์ตาค้าง แล้วเขาก็รู้สึกหนังหัวชายิบอย่างตกใจ
สมองส่วนสีเทาของนักวิชาการแต่ละคน?! นี่หมายความว่าเขาเคยสัมผัสสมองของสมาชิกทุกคนของสมาคมแห่งสัจธรรมมาแล้วเหรอ?!
เขาทำแบบนั้นได้ยังไง?
แค่เขาคิดว่ามีใครบางคนงัดกระโหลกแล้วฉีกชิ้นส่วนสมองของตนเองด้วยนิ้วสด ๆ โดยไม่รู้ตัว ชายหนุ่มก็รู้สึกชาวาบไปทั้งตัว มันเป็นความบ้าคลั่งที่เกาะกุมหัวใจของตัวเองอย่างช้า ๆ
แม้ว่าโจเซฟจะไม่ใช่นักวิชาการ แต่เขาก็หนาวเยือกไม่ต่างกัน
นี่มันเท่ากับว่าอีกฝ่ายสามารถครอบงำสมาคมแห่งสัจธรรมได้โดยสมบูรณ์…เป็นศัตรูที่น่ากลัว นี่หรือคือระดับเหนือนภาตัวจริง?
เรซิเอลพูดยิ้ม ๆ “ลืมแล้วเหรอ? ก่อนการเข้าร่วมสมาคมแห่งสัจธรรม สมาชิกแต่ละคนต้องได้รับการตรวจร่างกาย ตราบใดที่เป็นสมาชิกของสมาคมแห่งสัจธรรมก็จะได้รับการตรวจร่างกายปีละหนึ่งครั้งโดยความร่วมมือจากโบสถ์แห่งจุดสูงสุด”
โบสถ์แห่งจุดสูงสุด!
จู่ ๆ ชื่อของศาสนาที่พังทลายลงไปก็วนกลับมาในบทสนทนา แล้วหัวใจของผู้ฟังทุกคนก็ตะลึงไป
อย่างนี้นี่เอง…
จู่ ๆ ฮู้ดก็ชี้ไปที่รูบนหัวของเรซิเอลแล้วพูดขึ้นว่า “ถ้าอย่างนั้น…นั่นล่ะอะไร? คุณทดสอบการแทรกแซงจิตใจกับตัวเองด้วยหรือเปล่า?”
โจเซฟคว้าด้ามดาบของเขาทันที เส้นเลือดที่หน้าผากปูดเขียว อยากจะคว้าเจ้าเด็กบ้านี่มาอุดปากแท้ อย่าได้พูดถึงความไม่ชอบมาพากลต่อหน้าศัตรู ไม่ใช่ว่านี่คือความรู้ทั่วไปในการเผชิญหน้าก่อนเปิดศึกเหรอ?
เป็นไปตามคาด เรซิเอลอึ้งไปครู่หนึ่ง แล้วสีหน้าของเขาก็บิดเบี้ยว เขาเอียงศีรษะแล้วยิ้มแปลก ๆ “มิใช่หรอก…”
เขาเสียบมือเข้าไปในรูแล้วกวนซ้ำ ๆ ด้วยสีหน้าบันเทิงใจ พร้อม ๆ กับเยาะเย้ยอย่างภาคภูมิ “เจ้าของร้านหนังสือที่พวกเจ้าเชื่อน่ะร้ายกาจมาก เขาเตรียมพร้อมย้อนการควบคุมจิตใจของข้ากลับมาในยามที่ข้าประมาท แต่ข้ามองมันออกอย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว”
เขาดึงมือที่เปื้อนไปด้วยเลือดออกมา แต่ไม่มีไขสมองติดมาสักนิด “ฮ่า ๆๆ…คงไม่คิดล่ะสิว่าถ้าหากข้าไม่มีสมอง เจ้าจะควบคุมข้าได้เช่นไร?”
—