เจ้าของร้านพิศวง - บทที่ 317 ฤดูหนาวมาเยือน
บทที่ 317 : ฤดูหนาวมาเยือน
เมื่อกี้…มันเกิดอะไรขึ้นกันนะ?
โจเซฟยืนเหม่ออยู่ที่เดิมอย่างงุนงงและถูกอัศวินที่สังเกตเห็นเขาเข้ามารุมล้อมถามคำถาม เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความแตกตื่นโดยไม่จำเป็น เขาจึงทำได้เพียงจัดการกับมันอย่างลวก ๆ ไปก่อน
ที่จริงแล้วตัวเขาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ต่อให้อยากอธิบายแค่ไหน เขาก็ทำไม่ได้อยู่ดี
โจเซฟปล่อยให้คนเหล่านี้กลับไปทำหน้าที่ของตัวเองต่อจึงสงบสติอารมณ์ลงได้อย่างช้า ๆ แล้วจู่ ๆ ก็คิดขึ้นมาได้ว่า ในเมื่อเขาถูกย้ายตัวกลับมา อัศวินใต้บังคับบัญชาที่ติดตามเขาไปที่สมาคมแห่งสัจธรรมก็ควรจะถูกส่งกลับมาด้วยเช่นกัน
ดังนั้นเขาจึงหยิบเครื่องมือสื่อสารของเขาออกมาเพื่อยืนยัน แล้วก็พบว่ามีการตอบกลับจากจุดต่าง ๆ ในหอพิธีกรรมต้องห้ามจริง ๆ
แม้ว่าพวกเขาจะงงงวยยิ่งกว่าโจเซฟ แต่ทุกคนก็ถูกส่งตัวกลับมาครบถ้วน
“เฮ้อ…ก็ถือว่าเป็นโชคดีในโชคร้ายล่ะนะ”
โจเซฟผ่อนคลายลงเล็กน้อย
แต่เดิมแล้ว หากอิงตามการดำเนินสถานการณ์ปกติ เขาก็คงต้องเข้าปะทะกับเรซิเอลอย่างดุเดือดอย่างเลี่ยงไม่ได้…
นี่เป็นนักวิชาการระดับเหนือนภาผู้ถูกจารึกในประวัติศาสตร์ แถมชัยชนะยังเป็นของอีกฝ่ายด้วย เขาประเมินว่าในจำนวนลูกน้องสิบคนที่พาไป นอกจากจะช่วยไว้ไม่ได้สักคนแล้ว แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่มั่นใจนักว่าจะชนะได้เลย
พูดได้แค่ว่าโอกาสแพ้ชนะมีเพียงครึ่งต่อครึ่ง
แม้ว่าสถานการณ์ในตอนนี้จะแปลกออกไป แต่ในเมื่อไม่มีใครบาดเจ็บล้มตายก็นับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีแล้ว
“แต่สรุป…แอนดรูว์เข้าใจจุดประสงค์ของเรซิเอลจริง ๆ หรือเขามีเป้าหมายอื่นในใจกันแน่?”
โจเซฟแจ้งการเปลี่ยนแผนให้กับเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาให้ติดต่อสมาคมแห่งสัจธรรมเพื่อยืนยันสถานการณ์ก่อน
เขากลับห้องทำงานของตน ปิดประตูอย่างรวดเร็ว แล้วก็ขมวดคิ้วแน่น เขายังคิดถึงเรื่องที่ค้างคาในใจ
ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วเกินไป…
นับแต่การปรากฏตัวของเรซิเอล ‘ภูมิปัญญาแห่งสวรรค์’ ที่หายตัวไปจากประวัติศาสตร์ไม่รู้กี่ปี เรื่องราวก็ได้ดำเนินออกนอกขอบเขตความเข้าใจในข้อมูลอันผิวเผินของโจเซฟทันที จากนั้นสถานการณ์ก็คืบหน้าเร็วจี๋แล้วหักมุมกะทันหัน
แต่เดิมแล้วพวกเขากำลังลองเชิงและยื้อสถานการณ์…แต่ดูเหมือนจู่ ๆ แอนดรูว์จะเข้าใจความคิดของเรซิเอลขึ้นมากะทันหัน แล้วเรซิเอลก็ยังเห็นดีเห็นงามกับ ‘ความเข้าใจ’ ที่ว่าของแอนดรูว์ด้วย
ทั้งคู่ดูเหมือนวิทยุที่จูนคลื่นความคิดเข้าหากันติด
ผลสุดท้ายก็คือ พวกเขาผลัก ‘คนนอก’ คนอื่น ๆ ออกไป
โจเซฟวิเคราะห์สถานการณ์เมื่อครู่เป็นฉาก ๆ
ที่บอกได้แน่นอนเลยคือแอนดรูว์ไม่รู้มาก่อนจริง ๆ ว่าเรซิเอลจะอยู่ในพื้นที่ต้องห้ามของสังสาระจักรกล สีหน้าของเขาก็ตกใจเหมือนกัน… เขารู้แค่ว่ามีคนของวิถีแห่งดาบอัคคีซุกซ่อนอยู่ในพื้นที่ตกสำรวจของเขตต้องห้าม แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร
ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะใช้เวลาเพียงพริบตาเดียวในการได้รับการยอมรับจากเรซิเอลได้ พูดอีกนัยหนึ่งก็คือ…เขาไม่มีทางแน่ใจได้เลยว่าตัวเองจะปลอดภัย หรือกระทั่งได้ประโยชน์ใด ๆ จากการเผชิญหน้ากับเรซิเอล
แต่ว่าจากบทสนทนาก็ไม่มีปัญหาใหญ่ใด ๆ…ถ้าเรซิเอลอยากจะส่งคนที่เป็นภัยคุกคามต่อเขาออกไปจริง ๆ แล้วจัดการกับพวกของแอนดรูว์ก็ยังสมเหตุสมผลอยู่มาก
แต่ปัญหาก็คือ แอนดรูว์เอาความรีบร้อนแย่งตอบคำถามเรซิเอลมาจากไหน? เขาต้องรู้สิว่ามีแค่พวกเราที่จะรับประกันความปลอดภัยให้พวกเขาได้ การที่เขารีบร้อนตอบแบบนี้อาจจะเป็นเพราะว่าเขามีความคิดอีกอย่างก็ได้
แล้วเขาจะคิดเอาตัวเองไปอยู่ในอันตรายได้อย่างไร
หรือเขาจะถูกเรซิเอลควบคุมความคิดอยู่?
โจเซฟงุนงง ก็ไม่น่าถูก…ถ้าเขาถูกควบคุมอยู่จริง ๆ ทำไมเรซิเอลต้องมานั่งเล่นถามตอบกับตัวเองด้วยล่ะ? แค่ส่งเราออกไปก็จบแล้ว
เดี๋ยวนะ คนไม่มีสมองเนี่ยนะที่จะ ‘คิด’
เขาพึมพำซ้ำไปมาหลายครั้ง แล้วทันใดนั้นก็ใช้กำปั้นทุบโต๊ะ ม่านตาของเขาหดลงอย่างรวดเร็ว
โจเซฟมั่นใจแล้วว่าเรซิเอลจะไม่เป็นอันตราย และคำพูดของเขาจะทำให้เรซิเอลเปลี่ยนใจได้
และกุญแจที่จะทำให้เรื่องนี้เป็นไปได้ก็คือ…ที่จริงแล้วเรซิเอลถูกเจ้าของร้านหลินควบคุมแบบย้อนกลับอยู่ตั้งแต่แรกแล้ว!
ดังนั้นจึงเป็นไปได้สูงมากว่าเจ้าหมอนี่สามารถถูกควบคุมด้วยวาจาจากลูกค้าของร้านหนังสือได้!
เขาไม่ใช่ตัวอันตราย ในทางกลับกัน เขาเป็นผู้ช่วยรายใหญ่ที่สุดที่เจ้าของร้านหลินทิ้งไว้ให้!
ทันใดนั้น โจเซฟก็ตระหนักถึงประเด็นสำคัญทั้งหมดที่ซุกซ่อนอยู่
แล้วตัวเองก็ยังเข้าใจด้วยว่าการตระหนักรู้ครั้งนี้สายเกินไปอย่างแท้จริง…
“แม่งเอ๊ย! ไอ้พวกนักวิชาการพวกนี้มันยังเป็นคนอยู่หรือเปล่าเนี่ย! สมองมันใช้งานง่ายขนาดนั้นเลยเหรอวะ?!”
โจเซฟสบถหยาบคายอย่างโกรธเคือง
เขาใช้เวลาหลายนาทีกว่าจะเข้าใจ แต่แอนดรูว์เข้าใจทันทีที่เรซิเอลถามคำถามออกมา แล้วทำให้เขาส่ง ‘บุคคลที่ไม่เกี่ยวข้อง’ ออกไปเสียดื้อ ๆ
เป็นการกระทำที่เผยธาตุแท้ของนักวิชาการผู้นี้ออกมา
ก๊อก ๆ
เสียงเคาะดังออกมาจากประตูห้องทำงาน
โจเซฟที่กำลังเดือดดาลกำลังปรับอารมณ์ให้เป็นปกติแล้วกัดฟันพูด “เข้ามาเลย”
“เดือดดาลขนาดนี้…ช่วงนี้หายากนะเนี่ย เกิดอะไรขึ้นเหรอ?”
ผู้ที่เข้ามาใหม่เป็นเพื่อนเก่าของโจเซฟ หัวหน้าหน่วยรบวินสตัน เขามองโจเซฟด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“ไม่มีอะไรหรอก…แค่อุบัติเหตุนิดหน่อยน่ะ”
โจเซฟสูดหายใจลึก ๆ แล้วส่ายหน้า จากนั้นก็พูดทื่อ ๆ “ฉันคิดว่าพวกเขาคงไม่ได้อยากได้ความช่วยเหลือจากเราแล้วล่ะ”
วินสตันปิดประตูแล้วพยักหน้าพร้อมพูดกลั้วหัวเราะ “สมาคมแห่งสัจธรรมตอบกลับมาแล้วล่ะว่าไม่มีปัญหาอะไรเลย ก็แค่การใช้เวทมนตร์เคลื่อนย้ายธรรมดา ๆ รองประธานแอนดรูว์ก็พอใจกับงานนี้มาก เขาขอบคุณนายมากที่ช่วยเหลือ แล้วตัดสินใจมอบส่วนลดค่าอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้หน่วยโลจิสติกส์ด้วยห้าสิบเปอร์เซ็นต์”
“…” หน้าผากของโจเซฟมีเส้นเลือดปูดเขียวขึ้นมากะทันหัน
วินสตันระงับรอยยิ้มแล้วขมวดคิ้วพูดเสียงต่ำ “นายดูไม่โอเคเลย เกิดเรื่องที่สมาคมแห่งสัจธรรมเหรอ?”
“เกิดเรื่องสุด ๆ เลยล่ะ!”
โจเซฟเน้นเสียงทีละคำ
เขาจ้องวินสตันแล้วกล่าวว่า “ภารกิจครั้งนี้ ฉันต้องรายงานต่อสภาผู้อาวุโสด้วยตัวเอง”
วินสตันเงียบไปสักพักแล้วพูดช้า ๆ “แล้วสิทธิประโยชน์ที่สมาคมแห่งสัจธรรมเสนอมาล่ะ? จะรับไว้ไหม?”
“รับสิ”
“เฮ้อ”
โจเซฟแค่นเสียงอย่างเย็นชา “ผลประโยชน์ขนาดนี้ ไม่คว้าไว้ก็โง่แล้ว”
เขานั่งลงที่โต๊ะของตนแล้วจัดเอกสารอย่างใจเย็น ทันใดนั้นเขาก็นิ่งไป จากนั้นก็ขมวดคิ้ว
คำนวณจากเวลาแล้ว เมลิสซ่าก็น่าจะมารายงานตัวที่นี่สักพักแล้ว แต่ทำไมบนโต๊ะของเขาถึงไม่มีเอกสารส่งตัวและใบสมัครงานภายในวางอยู่ล่ะ?
วินสตันส่ายหัวยิ้ม ๆ ทว่าในตอนที่เขากำลังจะพูด เครื่องมือสื่อสารที่อยู่ติดตัวเขากลับส่งเสียงร้อง แล้วเมื่อเขาต่อสาย เขาก็ได้ยินรายงานจากผู้ใต้บังคับบัญชา “หัวหน้าหน่วย เกิดเหตุครับ!”
วินสตันพูดอย่างเคร่งขรึม “เกิดอะไรขึ้น?”
“ตอนที่เราเรียกดูข้อมูลย้อนหลัง เราก็พบว่ามีครูฝึกคนหนึ่งปลอมข้อมูลภารกิจเพื่อหลอกให้เจ้าหน้าที่อัศวินเมลิสซ่าติดตามกลุ่มเจ็ดของเธอไปปิดล้อมที่มั่นของนิกายกลืนศพ ตอนนี้ที่ซอยหกสิบเจ็ดมีการใช้เครื่องจำลองนิมิตปิดกั้นไว้ เรารับข้อมูลจากภายในไม่ได้ แต่จากการสังเกตการณ์ก็พบว่ามีการต่อสู้ระดับสัตว์ประหลาดเกิดขึ้นอย่างน้อยห้าแห่งแล้วครับ! แล้วหนึ่งในนั้นยังเป็นลูกน้องสายตรงของไวลด์ด้วยครับ!”
เปรี้ยง!
เสียงรายงานเพิ่งสิ้น โจเซฟก็ผุดลุกขึ้นเสียงดัง แล้วเขาก็เปลี่ยนเป็นเส้นแสงทะลุออกประตูไป
วินสตันวิ่งตามไปสองสามก้าว แต่ก็พลันเงยหน้ามาพบว่ากำแพงหอพิธีกรรมต้องห้ามถูกทุบเป็นรู ภายในองค์กรดูโกลาหล แต่ท้องฟ้าภายนอกส่องแสงสีขาวพราวพร่างลงมา เกล็ดหิมะหลายต่อหลายชิ้นร่วงหล่นลงบนเงาสลัวอย่างเงียบงัน
กระแสลมหนาวจากรูโหว่บนกำแพงโชยเข้ามา
ฤดูหนาวมาเยือนแล้ว!