เจ้าของร้านพิศวง - บทที่ 32 งัดข้อ
บทที่ 32 : งัดข้อ
เหมือนทุกครั้ง หลินเจี๋ยปลดกลอนแล้วเปิดประตูเข้าสู่ร้านหนังสือของเขา
ฝนข้างนอกไม่มีสัญญาณว่าจะแผ่วลงเลย ดูราวกับว่าสวรรค์เปิดก๊อกน้ำทิ้งไว้แล้วลืมปิดเสียอย่างนั้น
ระดับน้ำที่ท่วมขังอยู่บนถนนดูจะลดลงเล็กน้อยในวันนี้ ว่าตามการรายงานข่าว มันน่าจะเป็นเพราะการเร่งระบายน้ำของระบบท่อนั้นอยู่ในระดับเต็มพิกัด
ทว่าสิ่งที่ทำให้ทุกคนประหลาดใจคือรถหนักหลายคันที่ขับผ่านถนนที่ปกติแล้วว่างเปล่า
ไฟหน้ารถส่องสว่างผ่านม่านหยาดฝนและทำให้ถนนสว่างขึ้นในชั่วขณะหนึ่ง บางครั้งบางคราวใบหน้าที่อยากรู้อยากเห็นก็จะโผล่ออกมาจากตามบ้านเรือนและร้านค้าสองฝั่งถนนก่อนที่จะปิดประตูหน้าต่างกลับไปเพื่อป้องกันไม่ให้ฝนสาดเข้าไป
พาหนะเหล่านี้ไปมาอย่างรวดเร็ว ทำให้สภาพแวดล้อมกลับมาเงียบงันเช่นปกติอีกครั้ง
“หรือว่าจะเกิดอุบัติเหตุหรือเปล่า?” หลินเจี๋ยครุ่นคิดขณะที่เขามองเกลียวคลื่นที่เกิดจากรถบรรทุกที่วิ่งผ่าน ลองคิดอีกที อุบัติเหตุก็ดูจะเป็นไปได้ท่ามกลางฝนตกหนักแบบนี้
มีแม้กระทั่งเครื่องจักรกลหนักที่ใช้ในการก่อสร้างเช่นรถปราบดินและรถขุดถนนบนรถบรรทุกเหล่านั้น
หลินเจี๋ยเองก็อยากฟังข่าวรอบเช้าที่ดังมาจากข้างบ้านเพื่อตรวจว่าเกิดอะไรขึ้นเหมือนกัน แต่ทว่าหลังจากนั่งรอมาพักใหญ่ เขาก็ยังไม่ได้ยินแม้แต่เสียงสัญญาณกระชากจากโทรทัศน์แต่อย่างใด
“หืม?”
ถ้าพูดถึงกิจวัตรประจำวันตามปกติ หลินเจี๋ยรู้สึกว่านี่ค่อนข้างแปลก ถ้าเกิดเรื่องผิดปกติอย่างทุกวันนี้ขึ้น ปกติแล้วเจ้าของร้านข้าง ๆ ก็จะเร่งเสียงโทรทัศน์ขึ้นแล้วเปิดไปที่ช่องที่รายงานเรื่องที่ทุกคนกำลังอยากรู้แน่ ๆ เชียว
แต่ทว่าวันนี้เขาไม่ได้ทำแบบนั้น และดูเหมือนเขาจะไม่ได้เปิดโทรทัศน์เสียด้วยซ้ำ
แปลกจัง เพราะไฟตัดอีกหรือเปล่านะ? หรือว่าเจ้าของร้านข้าง ๆ เกิดล้มป่วยขึ้นมากะทันหัน? หลินเจี๋ยอดกังวลไม่ได้
แม้ว่าเพื่อนบ้านคนนี้จะมีจุดด้อยบางที่ แต่เขาก็เป็นแค่พลเมืองคนหนึ่งที่ไม่สมควรจะถูกจัดว่าเป็นคนไม่ดี
เพราะเขาคุ้นชินกับการฟังข่าวในลักษณะนี้มาหลายต่อหลายครั้ง หลินเจี๋ยพบว่ามันดูไม่น่าสบายใจเสียเลยเมื่อขาดมันไป ดังนั้น เขาจึงกระเถิบเข้าไปใกล้กำแพงที่ติดกับร้านแล้วร้องเรียก “ขอโทษครับ…”
เขายังพูดไม่ทันจบ เสียงร้องด้วยความตระหนกก็ดังมาจากอีกฟาก “อ๊า!”
หลินเจี๋ยถามด้วยความงุนงงเล็กน้อย “เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าครับ?”
เกิดความเงียบขึ้นครู่หนึ่งก่อนที่เสียงสั่นๆ จะตอบกลับมา “เปล่า… จริง ๆ นะ… ไม่มีอะไรจริง ๆ ไม่จำเป็นต้องสุภาพมากนักหรอก ไม่จำเป็นเลย…”
เจ้าของร้านสื่อข้างบ้านกลืนน้ำลายหลายหน พูดจาอะไรฟังไม่รู้เรื่องแล้วจึงถาม “มีอะไรหรือเปล่า?”
“ผมแค่อยากถามครับว่าทำไมวันนี้คุณไม่เปิดทีวี มีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ?”
พระเจ้าจอร์จยอดมะพร้าว! เขาพบว่ามีบางอย่างผิดปกติ! ตามพล็อตหนังทำนองนี้ พวกที่แสดงความมุ่งร้ายออกมาตายเรียบกันทุกคน!
เจ้าของร้านสื่อรีบกุลีกุจอไปเปิดโทรทัศน์ทันที “เปิดแล้ว เปิดแล้วจ้า! ฉันขอโทษจริง ๆ! ฉันจะเปิดมันให้เดี๋ยวนี้แหละจ้า!”
โทรทัศน์ข้างบ้านถูกเปิดและถ่ายทอดข่าวเกี่ยวกับอุบัติเหตุที่ทำให้สิ่งก่อสร้างจำนวนมากพังทลาย
อ้า ตึกถล่มนี่เอง… ก็นะ มันก็เป็นไปได้ที่ตึกที่สร้างอย่างชุ่ย ๆ บางตึกอาจจะถล่มได้ถ้าเจอสภาพอากาศย่ำแย่สุด ๆ แบบนี้เข้าไป โอ้ มีผู้บาดเจ็บด้วยแฮะ แปลว่าอุบัติเหตุนี่ร้ายแรงเอาเรื่องอยู่
“เอาล่ะ ขอบคุณครับ” หลินเจี๋ยพยักหน้าและกล่าวขอบคุณ แต่จู่ ๆ เขาก็รู้สึกว่าบางอย่างมันดูชอบกล
เสียงเพื่อนบ้านวันนี้ดูร้อนรนแต่ก็สุภาพด้วยเหรอ? ดูฟังไม่ขึ้นเอาเสียเลย
หลินเจี๋ยอดคาดเดาไปต่าง ๆ นา ๆ ไม่ได้ และดังนั้นจึงถามออกไป “คุณคอลินครับ คุณแน่ใจนะว่าคุณสบายดี? คุณควรพักเยอะ ๆ เพื่อสุขภาพร่างกายที่ดีนะครับ”
หยาดเหงื่อเริ่มผุดขึ้นบนหน้าผากของคอลิน
ทำไมเจ้านั่นมาถามอะไรตูแบบนี้เนี่ย? อย่าบอกนะว่าเขาทำอะไรกับตัวตู? เขากำลังเตือนตูไม่ให้บุ่มบ่ามทำอะไร ไม่อย่างนั้นอยู่ไม่สุขแน่ ๆ …
คอลินเหลือบไปทางโทรทัศน์ แล้วขยับสายตาไปทางโทรศัพท์มือถือที่เขากำลังถืออยู่ซึ่งแสดงหน้าข้อความที่เขากำลังลังเลที่จะส่งอยู่นานแล้ว ร่างกายของเขาแข็งทื่อราวกับถูกแช่แข็ง
เสียงของหลินเจี๋ยแว่วมาจากข้างบ้าน “คุณคอลินครับ?”
คอลินสะท้านตัว นิ้วของเขาขยับนิดหน่อย เมื่อมองลงไปอีกทีเขาก็พบว่าเขากดส่งข้อความไปเสียแล้ว
ผู้รับข้อความ : โบสถ์แห่งจุดสูงสุด, คุณพ่อวินเซนต์
คอลินหน้าซีด วิญญาณแทบจะปลิวออกนอกร่างด้วยความสะพรึง ใช้พลังงานทุกเฮือกที่มี คอลินควบคุมกรามที่สั่นกึก ๆ ไว้ไม่ให้ปล่อยคำสบถอะไรออกมา เขากัดฟันก่นด่าตัวเองอย่างรุนแรง แต่อะไรที่เกิดไปแล้วก็ต้องให้มันเกิด มันสายไปแล้วถ้าจะเสียใจทีหลัง
ตอนนี้ข้อมูลนี่ก็น่าจะถูกส่งไปที่คุณพ่อแล้ว ถ้าคอลินจะสามารถปิดเรื่องต่อไปได้อีกสักพัก ดีไม่ดีเขาก็อาจจะยังมีทางรอดอยู่
โอ้ คุณพ่อครับ ช่วยลูกช้างด้วย!
“ฮ่า… ไม่มีอะไร ฉันสบายดี ขอบใจที่เป็นห่วง” คอลินบังคับตัวเองให้ใจเย็นลงแล้วแสร้งทำเป็นผ่อนคลาย
ได้ยินคำตอบนี้ หลินเจี๋ยก็รู้สึกได้ว่าคอลินไม่ได้พูดความจริงเสียทีเดียว แต่เขาก็จะไม่ละลาบละล้วงไปมากกว่านี้อยู่ดี
“ถ้าอย่างนั้น ผมไม่กวนแล้วครับ” หลินเจี๋ยตอบในขณะที่กำลังชั่งใจว่าควรจะไปเยี่ยมร้านข้างบ้านสักหน่อยดีไหม
ในตอนนี้เอง เสียงกระดิ่งก็ดังขึ้นที่ประตู
“ยินดีต้อนรับครับ” หลินเจี๋ยพูดขณะที่เงยหน้าขึ้น ดูเหมือนว่าวันนี้เราจะมีลูกค้าใหม่จริง ๆ ด้วย หลินเจี๋ยคิดในใจ
บุคคลที่เข้ามาในร้านหนังสือเป็นเด็กสาววัยรุ่นตอนปลายตัวสูงที่มีผมสีแดง เด็กสาวคนนี้มีใบหน้าสวยงามที่เปี่ยมด้วยความเยาว์วัยและดวงตากระจ่างใสที่เด่นชัด
เธอสวมเสื้อเชิ้ตสีขาว เครื่องแต่งกายอื่นล้วนทำจากผ้ายีนส์เป็นส่วนใหญ่ และรองเท้าบู๊ตปลายมนสีเหลืองสว่าง เส้นผมยาว ๆ ของเธอถักเป็นเปียคู่ยาวประมาณไหล่ซุกซ่อนอยู่หลังหมวก
ลูกค้าอายุน้อยแบบนี้โผล่มาในร้านหนังสือน้อยครั้ง
“มีอะไรที่ผมช่วยได้ไหมครับ?” ชายหนุ่มที่หลังเคาน์เตอร์เอ่ยถาม
เมลิสซ่าสำรวจร้านหนังสือทั้งร้านอย่างสงสัยก่อนที่เธอจะเบนความสนใจมาที่หลินเจี๋ย
ก้าวยาว ๆ สามที เธอก็มาถึงที่โต๊ะ ดึงม้านั่งออกมาแล้วนั่งลงบนนั้น “นายคือเจ้าของร้านหนังสือนี้ใช่ไหม?” เธอถามขณะที่กำลังสั่นขาไปมา
หลินเจี๋ยพยักหน้าแล้วตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “ใช่ครับ ผมเอง บอกผมได้เลยนะครับถ้าคุณต้องการอะไร จะยืมหนังสือ ซื้อหนังสือ หรือแค่มาอ่านหนังสือก็ได้ครับ”
เขาดูไม่ได้เจ๋งเป้งสุดยอดอะไร… ร้านหนังสือร้านนี้มันอยู่ในระดับ S จริง ๆ เหรอ? หรือพ่อคำนวณผิดกันนะ?
ความคิดสงสัยต่าง ๆ นานาไหลผ่านภวังค์ของเมลิสซ่า เธอได้สำรวจร้านหนังสือนี้อย่างละเอียดแล้วก็สังเกตเห็นแค่การ์กอยล์หินที่ดูจะเป็นผลงานของนักเวทมนตร์ดำ นอกเหนือจากนั้นมีแต่สิ่งของที่ธรรมด๊าธรรมดาโดยสมบูรณ์
เมลิสซ่าจ้องพ่อหนุ่มตรงหน้าของเธออย่างผิดหวัง เธอลืมกระทั่งว่าเหตุผลที่เธอมาที่นี่ก็เพราะว่าเธอสงสัยเกี่ยวกับตอนจบของเมล็ดพันธุ์แห่งขุมนรกที่เธอยังอ่านไม่ถึง
ที่นี่มันดูธรรมดาเกินไปหรือเปล่า…
เธอฝ่าสายฝนและเสี่ยงที่จะโดนพ่อดุจนหูพังเพื่อจะมาที่นี่ แต่ทว่านี่กลับไม่ใช่ร้านหนังสือที่เปี่ยมไปด้วยเวทมนตร์และชวนหลงใหลอย่างที่เธอคาดฝัน เมลิสซ่าหยุดตัวเองไม่ได้เมื่อเธอนึกถึงมัน
“นายจะช่วยได้ทุกเรื่องจริง ๆ เหรอ?” เมลิสซ่าวางคางของเธอลงบนมือทั้งสองพร้อมพึมพำเบา ๆ
เฮ้อ… เด็กสมัยนี้ความคิดความอ่านเป็นยังไงกันไปหมดแล้วเนี่ย
บนหน้าผากของหลินเจี๋ยปรากฏหยดเหงื่อสองสามหยด แต่เขาก็ยังยิ้มแย้มอย่างสุภาพแล้วตอบกลับ “แน่นอนครับว่าไม่รวมคำขอที่ไม่สมเหตุสมผล”
เมลิสซ่าทุบมือทั้งสองลงไปบนเคาน์เตอร์ “ถ้าอย่างนั้น ถ้าฉันจะของัดข้อกับนาย มันจะมากไปไหม?”