เจ้าของร้านพิศวง - บทที่ 325 ของฟรีนี่แหละแพงที่สุด
บทที่ 325 : ของฟรีนี่แหละแพงที่สุด
เฟจรู้สึกเหมือนสมองของตนว่างเปล่า เขาพูดด้วยสีหน้าตกตะลึงพรึงเพริด “…หนังสือเหรอครับ?”
หลินเจี๋ยยังคงมีรอยยิ้มเป็นมิตรตามปกติขณะยัดหนังสือ ‘ศาสตร์หน้าด้านใจดำ’ เข้าไปในอ้อมแขนของเฟจแล้วตบบ่าของเขา
“ผมพูดไปแล้วเมื่อครู่นี้ หนังสือดีเป็นตัวรับประกันลูกค้า ตราบใดที่หนังสือขายดีพอ ไม่ว่าจะมีชื่อร้านหรือมีป้ายร้านหรือไม่ก็ไม่สำคัญครับ”
บุคคลหลังยังไม่ทันตอบก็ต้องคว้าหนังสือไว้อย่างงุนงงแล้ว เฟจเงยหน้าขึ้นเหมือนยังมีบางอย่างที่อยากถาม ทว่าเขาก็พบกับรอยยิ้มอย่างมีเลศนัยของหลินเจี๋ย “ตอนนี้คุณสามารถพิสูจน์ได้แล้วครับว่าคำพูดนี้จริงหรือเปล่าโดยการอ่านหนังสือเล่มนี้ ทุกคำถามในใจของคุณจะได้พบคำตอบเองครับ”
เขายิ้มพลางผายมือไปที่หนังสือแล้วกล่าวว่า “ถ้าคุณอยากให้ผมพูด การที่คุณอยากให้คนอื่นเปลี่ยนความคิดเพื่อร่วมมือกับคุณเป็นเรื่องไม่สมจริงเอาเสียเลยครับ ลองลงมือเอง เปลี่ยนกลยุทธ์และทิศทาง หาความคิดริเริ่มแล้วสร้างสภาพแวดล้อมขึ้นมาเองคงดีกว่า”
“เพราะถึงอย่างไร สิ่งต่าง ๆ ล้วนแต่ต้องแข่งกับตัวเอง ถ้าลางเนื้อชอบลางยา การแข่งขันก็จะไม่ดุเดือดนัก แค่ว่ายิ่งมีสิ่งที่เหมือนกันอยู่ใกล้กันเท่าไร การแข่งขันก็ยิ่งดุเดือดครับ”
“ถ้าคุณต้องการโดดเด่นท่ามกลางผู้คนมากมายในประเภทเดียวกัน คุณก็ต้องดึงดูดสายตาผู้คนในมุมมองใหม่ ๆ ครับ”
ชายหนุ่มเดินเข้ามาใกล้เขามากกว่าเมื่อครู่ ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า แต่เฟจรู้สึกว่าใบหน้าของเขาที่ถูกเงามืดปกคลุมบางส่วนดูก้าวร้าวน่าหวั่นเกรง
ถึงจะยิ้มอยู่ แต่ดวงตาสีดำสนิทนั้นดูราวหุบเหวอันเวิ้งว้าง ทำให้ผู้มองรู้สึกอึ้งในใจ
เฟจมองหนังสือที่อยู่ในมือของเขา เห็นชื่อหนังสือที่เขียนด้วยฟอนต์แปลก ๆ เป็นคำว่า ‘รังอสุรกาย’ แล้วรู้สึกว่าคอของตนแห้งผาก อดกลืนน้ำลายไม่ได้
คำตอบนี่มันอะไร…?
เมื่อครู่เขาถามคำถามอะไรออกไปนะ? จากที่คุยกันมา เป็นไปได้ว่า…เขาควบคุมจิตใจผู้เฝ้าประตูให้ยืนยันว่าบัตรเชิญของหลินเจี๋ยเป็นของปลอมถูกวิธีแล้วเหรอ?
ที่หลินเจี๋ยบอกว่า ‘วิธีการของคุณไม่ถูกต้อง’ และคำอธิบายสารพัดเกี่ยวกับผู้เฝ้าประตูไม่ได้สื่อถึงปัญหานี้นักเลย
หมายความว่า เนื้อหาในหนังสือเล่มนี้จะเป็น ‘วิธีที่ถูกต้อง’ แต่… มันไม่เป็นไรจริง ๆ เหรอ? เมื่อครู่นี้เราเพิ่งใช้ความสามารถนี้เล่นงานเขาไป แต่ไหงสุดท้ายกลายเป็นเขามาสอนเราว่าต้องทำอย่างไรแทนเสียล่ะ?
เฟจมองหนังสือในมืออย่างงุนงง
แต่ในที่สุด หัวใจของเขาก็ตระหนักถึงเรื่องบางเรื่องอย่างถ่องแท้ ที่จริงแล้ว คำว่า ‘เจ้าของร้านหนังสือธรรมดา’ ที่เจ้าคนตรงหน้าพูดในทีแรกมันก็แค่ล้อเล่น!
เขาไม่ใช่คนธรรมดา ดังนั้นร้านหนังสือที่เขาเปิดก็ต้องไม่ธรรมดาเช่นกัน
บางทีธุรกิจที่เขาทำอาจจะเป็นการขายหนังสือพิเศษบางอย่างที่มีพลังพิเศษให้กับผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ ดังนั้นจี้ป๋อหนงจึงเชิญเขามา
หลังจากเฟจคิดมาถึงจุดนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียใจภายหลัง เขารู้แค่ว่าผู้มีพลังเหนือธรรมชาติจะมาเข้าร่วมงานนี้ด้วย แต่ไม่คิดเลยว่าคนที่โผล่มาคนแรกให้เจอตั้งแต่หน้าประตูจะเป็นหนึ่งในนั้น ยิ่งกว่านั้นยังเห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายดูเหมือนจะแข็งแกร่งกว่าเขามากกว่าหนึ่งขั้น
แม้ว่าเฟจผู้ไร้ระดับจะไม่สามารถแยกแยะระดับขั้นของพลังเหนือธรรมชาติได้อย่างชัดเจน แต่การที่ความสามารถของเขาไร้ผลนั้นก็เป็นความจริง
ไม่เพียงแต่ล้มเหลวในการผูกมิตร แต่ยังเกือบได้เป็นศัตรูกันแล้วด้วย โชคดีที่ความสามารถของเขาไร้ผล…
เฟจคิดอย่างดีใจ แต่จากนั้นเขาก็อดสงสัยบางอย่างไม่ได้
อย่างไรเสีย หนังสือแบบนี้…จะสามารถเสริมความสามารถของเขาได้จริง ๆ เหรอ?
ความสามารถของเฟจคือศาสตร์แห่งจิตใจที่เขาได้มาจากช่องทางผิดปกติ หากอีกฝ่ายไร้การป้องกันจิตใจ หลังจากเตรียมการเพียงพอแล้ว เขาก็จะสามารถยุยงจิตใจได้กระทั่งบุคคลในระดับสัตว์ประหลาด หลังจากยุยงซ้ำ ๆ หลายครั้ง การรับรู้และความคิดของอีกฝ่ายก็จะเปลี่ยนไปโดยถาวร
ประเด็นนี้เฟจได้ทำการพิสูจน์ด้วยตนเองมาแล้ว และผลที่ได้ก็ดีมาก
ความสามารถนี้เรียบง่ายและหยาบคาย มันมีวิธีใช้ทั้งที่ถูกและผิดด้วยเหรอ?
แม้ว่าสถานการณ์ปัจจุบันจะแสดงให้เห็นว่าความสามารถของเฟจไร้ผลโดยสิ้นเชิง และอีกฝ่ายก็มองทะลุเห็นความรู้สึกลึก ๆ ในใจของเขาอย่างปรุโปร่งแล้วก็ตาม…เขาแพ้การประมือที่มองไม่เห็นนี้อย่างราบคาบในเวลาสั้น ๆ
แต่เฟจก็ยังคงมั่นใจในความสามารถของตนเช่นเมื่อก่อน
ความสามารถเหนือธรรมชาติของเฟจแตกต่างจากผู้มีพลังเหนือธรรมชาติคนอื่น ๆ มันไม่ใช่ความสามารถที่ติดตัวมาแต่เกิดหรือทักษะที่เรียนรู้มา
เมื่อหลายเดือนก่อน เขายังคงเป็นหนึ่งในคนจรจัดธรรมดา ๆ ที่หารายได้โดยการเล่นดนตรีข้างถนน จนกระทั่งคืนหนึ่งที่เขาได้รับพลังที่คนนับไม่ถ้วนใฝ่หาในชั่วข้ามคืน แล้วกลายเป็นอัจฉริยะด้านดนตรี
ส่วนเหตุผลของมัน ที่จริงแล้วก็ง่ายมากด้วย
คืนหนึ่ง เมื่อในที่สุดเฟจก็พบประตูสู่โลกใหม่อย่างปรีดา ชายลึกลับคนหนึ่งก็ปรากฏตรงหน้าเขาแล้วมอบโอสถแปลก ๆ ให้
มันเป็นหมอกสีดำทึบ ๆ ที่ลอยวนอยู่ในภาชนะแก้ว
จากคำบอกเล่าของบุคคลผู้นั้น นี่คือ ‘วิญญาณ’ ของหนึ่งในผู้มีพลังเหนือธรรมชาติที่ตายไป ขอเพียงเขาดื่มมัน เขาก็จะได้รับพลังควบคุมจิตใจของผู้อื่นได้ทันที แต่ข้อเสียคือพลังนี้จะไม่มีช่องว่างให้เติบโต มันจะมีผลเทียบเท่าพลังของเจ้านายเดิมก่อนที่เขาจะตายเท่านั้น
แต่คนจรจัดไม่สนใจเรื่องราคาแบบนี้หรอก…มันมีความเสี่ยงอยู่จริง ๆ แต่เพราะเขาเห็นทางสว่างที่จะเปลี่ยนชีวิตของตนในตอนนั้น เขาจึงโลภเสียจนสติหลุดลอย
แล้ว…จะเสริมพลังที่ได้จาก ‘วิญญาณ’ ของคนตายอย่างไรล่ะ? วิธีไหนกันที่ถูกต้อง?
เฟจวางหนังสือลงแล้วจ้องแผ่นหลังของหลินเจี๋ยที่เดินสวนไปด้านหน้าอย่างเหม่อลอย พลางพึมพำว่า “หลังจากอ่านแล้วจะพบคำตอบเอง… การขายแบบนี้ดูน่าตื่นเต้นกว่าละครดังในช่วงนี้อีกแฮะ”
อย่างไรก็ตาม หัวใจของเฟจที่เมื่อครู่คิดจะก่อเรื่องกำลังบอกเขาว่า ไม่ว่าหนังสือเล่มนี้จะมีประโยชน์หรือไม่ แต่เขาก็ประทับใจในคำพูดของหลินเจี๋ยแล้ว
‘การแข่งขัน’…ก็ไม่ผิด สิ่งที่เขาใฝ่หาที่สุดก็คือการที่เขาสามารถยืนอยู่บนจุดสูงสุดเหนือผู้อื่น เหยียบย่ำพวกเขาขึ้นไปสู่จุดที่สูงกว่า และเก็บเกี่ยวสายตาผู้คนให้มากขึ้น
เขาไม่อยากใช้ชีวิตมุมตึกที่จะเป็นหรือตายและไม่มีคนสนใจ!
การใช้ความสามารถควบคุมจิตใจเพื่อเอาชนะนักดนตรีระดับท็อปที่ตีหน้านิ่งอย่างบ้าระห่ำนั้นเติมเต็มความปรารถนาของเขา
แค่ควบคุมจิตใจคนให้ร่วมมือกับเราได้ก็ไม่ได้ดีอย่างแท้จริงเสียทีเดียว เพราะต้องใช้กับคนเดิม ๆ ซ้ำ ๆ
ยิ่งกว่านั้น…เจ้านั่นก็ยังบอกด้วยว่าความสามารถของเราจะอยู่ที่ระดับสัตว์ประหลาดตลอดไป แต่สำหรับความต้องการของเรา…บางทีมันอาจจะไม่พอก็ได้
เขามองหนังสือในมือแล้วอยากจะเปิดมันออก แต่จู่ ๆ ก็คิดได้ว่าอีกฝ่ายยังไม่ได้บอกราคาของหนังสือเล่มนี้เลย เขาจึงรีบสาวเท้าตามไปแล้วรีบร้อนถาม “หลิน…คุณหลินครับ หนังสือของคุณขายอย่างไรเหรอครับ?”
หลินเจี๋ยได้ยินเสียงจากด้านหลังแล้วเผยรอยยิ้มอย่างบรรลุแผน ไขว้มือไว้ด้านหลังแล้วกระแอม จากนั้นก็หันกลับมาพูดว่า “คุณเป็นคนแรกที่ผมพบในงานเลี้ยงนี้ คิดเสียว่าเป็นของขวัญฉลองมิตรภาพแล้วกันครับ”
…ยิ่งไปกว่านั้น คุณก็ดูเหมือนไม่ได้รวย แต่กลับสามารถเข้าร่วมงานเลี้ยงนี้ได้ ถือได้ว่ามีโอกาสเป็นลูกค้า
เฟจอ้าปากค้าง แต่แทนที่จะผ่อนคลาย หัวใจของเขากลับดิ่งวูบ
หลังจากที่เขาได้รับวิญญาณดวงนั้นมา เขาก็รู้แล้วว่าโลกนี้ไม่มีของฟรี บ่อยครั้งที่ของฟรีนี่แหละแพงที่สุด
หลินเจี๋ยหัวเราะแล้วพูดอย่างสบาย ๆ ว่า “หนังด้านที่มือและเท้าพอกหนาขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว ล้างเศษฝุ่นถ่านที่เปื้อนอยู่ออกสักหน่อยก็ดีนะครับ…ผมหวังว่าคุณจะสามารถเข้าใจความจริงในหนังสือเล่มนี้ บ่มเพาะพฤติกรรมใหม่โดยแท้จริง แล้วสร้างเป็นความสำเร็จครับ”
—