เจ้าของร้านพิศวง - บทที่ 330 กลายเป็นกลุ่มชนด้วยตนเอง
บทที่ 330 : กลายเป็นกลุ่มชนด้วยตนเอง
แล้วไหง…เรื่องกลายเป็นแบบนี้ไปได้ล่ะ?!
เมื่อหลินเจี๋ยโอบเอว จับมือคุณหนูจี้แล้วนำการเต้นรำรอบแรกอย่างเงอะงะท่ามกลางสายตาประชาชี ในใจของชายหนุ่มก็อดตั้งคำถามออกมาเช่นนี้ไม่ได้
เขาสัมผัสสายตาที่ลอบมองมาของเหล่าแขกเหรื่อรอบ ๆ ตัวได้อย่างชัดเจน และยังได้ยินเสียงกระซิบคาดเดาตัวตนเบื้องหลังของเขาไปต่าง ๆ นานาด้วยเพื่อเตรียมลอบโจมตี
แม้กระทั่งเฟจและเยด้าที่เคยคุยกับเขายังรวมอยู่ในกลุ่มนั้น
แต่ว่าสิ่งเหล่านี้ก็ถูกกำหนดเอาไว้แล้วว่าไร้ประโยชน์…
เพราะหลินเจี๋ยเป็นเจ้าของร้านหนังสือธรรมดา ๆ จริง ๆ และไม่มีเงินหรืออิทธิพลสั่งการใด ๆ กระทั่งตัวตนของเขายังเป็นของปลอม
แม้ว่าจะมีลูกค้าร้านหนังสือที่มีสถานะไม่ธรรมดาอยู่บ้าน เช่นเชอร์รี่ที่เป็นหนึ่งในรองประธานหอการค้าแอช โจเซฟที่เขามักจะโทรไป ‘ก่อกวน’ อยู่เสมอก็เป็นหัวหน้าหน่วยงานลับของกรมตำรวจเขตกลาง หรือคุณพ่อวินเซนต์ที่ตอนนี้กลายเป็นผู้นำศาสนาที่โดดเด่น
หรืออีกตัวอย่าง…ที่ชัดเจนที่สุด ก็คือคุณหนูจี้ที่เขากำลังเต้นรำด้วยอยู่ในตอนนี้ และจี้ป๋อหนงที่ยังเรียกว่าลูกค้าไม่ได้
แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าเขาทรงอำนาจด้วยตนเอง
นอกจากพลังพิเศษเล็กน้อยที่เขามี เจ้าของร้านหลินก็เป็นแค่คนธรรมดามาก ๆ คนหนึ่ง
หลินเจี๋ยยักไหล่อยู่ในใจ แล้วจู่ ๆ ก็ตาค้าง คิ้วของเขาเลิกขึ้น ตอนนี้เขาเด่นขนาดนี้…ถึงจะไม่เต็มใจ ไม่สิ นี่ต้องเป็นเรื่องดีแน่ ๆ
ไม่ ๆๆ นี่เป็นเรื่องที่ดีมากต่างหาก!
แขกเหรื่อเหล่านี้ ไม่ว่าพวกเขาจะมีความคิดอยากรู้เช่นไร แต่อย่างน้อยที่สุดก็ต้องเริ่มถามที่มาของเขาแล้ว
และด้วยฐานะของพวกเขา การตรวจประวัติหลินเจี๋ยจึงน่าจะเป็นเรื่องง่าย
แล้วพวกเขาก็จะได้รู้ว่าเจ้าคนที่ถูกคุณหนูจี้เชิญมาเป็นคู่เต้นรำรอบแรกในงานเลี้ยงวันเกิดของเธอ ที่จริงแล้วก็เป็นเจ้าของร้านหนังสือโนเนมธรรมดา ๆ แต่คุณหนูจี้เป็นลูกค้าคนหนึ่งของเขา
แล้วพวกเขาก็จะอยากรู้แน่นอนว่าร้านหนังสือธรรมดา ๆ ร้านนี้ดึงดูดคุณหนูจี้ไปเป็นลูกค้าได้อย่างไร?
เป็นที่รู้ ๆ กันว่าร้านหนังสือก็ต้องขายหนังสือ
ดังนั้น สิ่งที่จะดึงดูดจี้จือซู่ได้จึงย่อมไม่ใช่ตัวเจ้าของร้านหนังสือธรรมดา ๆ คนนั้น แต่เป็นหนังสือในร้าน!
รอให้ข่าวการเป็นตัวแทนจำหน่ายหนังสือของบริษัทโรลล์ประกาศออกมาก่อนเถอะ แล้วร้านหนังสือของหลินเจี๋ยจะดังระเบิดอย่างเลี่ยงไม่ได้แน่นอน!
บริษัทโรลล์เป็นผู้นำแนวโน้มของตลาดทั้งหมดในนอร์ซิน แขกทุกคนที่เข้าร่วมงานเลี้ยงนี้ก็คือผู้ประสบความสำเร็จในสาขางานของตนและถูกจี้ป๋อหนงเชิญมา และส่วนใหญ่ก็ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะเป็นแฟน ๆ ของบริษัทโรลล์และเคลื่อนไหวไปตามกระแส…
นอกเหนือจากการคาดเดาแบบสุ่มเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างเขาและจี้จือซู่จากมุมมองของการแพร่ความเห็นสาธารณะแล้ว เรื่องนี้เป็นประโยชน์อย่างมาก
เพราะถึงอย่างไร คนสนใจหนังสืออาจมีไม่มาก…แต่คนที่สนใจเรื่องซุบซิบต้องมีไม่น้อยแน่นอน
การเป็นตัวแทนขายสินค้าในครั้งนี้เริ่มต้นได้อย่างดีทีเดียว
หลินเจี๋ยครุ่นคิดอย่างปรีดาว่าเขาจะเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ในการมาเยือนครั้งนี้อย่างไรดี และหนังสือทั้งห้าเล่มที่ทดลองขายในครั้งนี้จะได้รับเสียงตอบรับอย่างไรบ้าง
ถ้าไม่ดี ครั้งหน้าควรเปลี่ยนไปเป็นหนังสือแบบไหน แต่ถึงผลตอบรับจะไม่ค่อยดี ด้วยความสัมพันธ์กับบริษัทโรลล์ อย่างไรเสียมันก็จะยังทำเงินได้อยู่ดี
แต่หากผลตอบรับดี จากนั้นก็ควรรักษากลยุทธ์การตลาดอย่างหิวโหย หรือแค่ฝึกมูเอนให้พร้อมเตรียมการสนับสนุนบริษัทโรลล์เพื่อเปิดสาขาดีนะ…
“คุณหลิน…คิดเรื่องอะไรดี ๆ ได้เหรอคะ?”
จี้จือซู่มองหลินเจี๋ยใกล้ ๆ แล้วอดถามเบา ๆ อย่างสงสัยไม่ได้
แม้ว่าบนในหน้าของชายหนุ่มจะมีรอยยิ้มยินดี ดูเหมือนจะโอ้อวดตัวเองอย่างภาคภูมิที่ได้เต้นรำกับคุณหนูจี้ของบริษัทพัฒนาทรัพยากรโรลล์อย่างที่แขกคนอื่น ๆ คาดเดา แต่ที่จริงเขาไม่ได้ทอดสายตามองลงมาที่เธอเลย แววตาของเขาว่างเปล่า เห็นได้ชัดว่ากำลังคิดเรื่องอื่นอยู่
…จากฝีเท้า คุณหลินอาจจะดูเต้นไม่เก่ง แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาเต้นไม่เป็น แค่การเคลื่อนไหวของเขาเป็นเพียงพื้นฐานธรรมดาสุด ๆ เท่านั้น
แต่การที่สามารถเต้นได้โดยไม่สร้างข้อผิดพลาดแม้แต่ข้อเดียว ในขณะที่ใจลอยไปไกลลิบ และแม้กระทั่งขยับหลีกผู้คนที่เต้นไปมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ ต้องพูดว่าสมกับที่เป็นเจ้าของร้านหลินจริง ๆ
“เอ๋?”
หลินเจี๋ยกะพริบตาแล้วดึงสติกลับคืนมาจากผลประโยชน์อันหอมหวาน เขาฝืนรอยยิ้มไม่ให้ดูหยิ่งเชิดพลางนำจี้จือซู่หมุนตามเพลงเป็นครึ่งวงกลมอย่างงดงาม จากนั้นก็ปฏิเสธเสียงต่ำ “เปล่าครับ อะแฮ่ม…แค่นึกถึงการปลูกพืชน่ะครับ หว่านเมล็ดแล้วเก็บเกี่ยวพืชพันธุ์เขียวขจี”
จี้จือซู่งุนงง
สีหน้าของคุณหนูจี้งุนงงอยู่ครู่หนึ่ง แต่ในภายหลังก็พยักหน้าอย่างจริงจัง “คิดไม่ถึงเลยว่าคุณจะรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย สมกับเป็นผู้มีความรู้เหนือคนทั่วไปจริง ๆ ค่ะ”
เธอดูจริงจังแฮะ หลินเจี๋ยหรี่ตามองสีหน้าของจี้จือซู่แล้วแสดงสีหน้าเรียบ ๆ “ที่ไหนกันครับ? ผมแค่ว่างกว่าชาวบ้าน เลยได้อ่านหนังสือเยอะ แล้วบังเอิญผมความจำดีเท่านั้นเอง”
จี้จือซู่กังวลกับการสัมผัสใกล้ชิดกับหลินเจี๋ยในทีแรก แต่เมื่อตอนนี้เธอเห็นว่าอีกฝ่ายมีอากัปกิริยาเหมือนปกติ เธอจึงใจกล้าขึ้นเล็กน้อยแล้วถามอย่างสงสัย “คุณเข้าใจการเต้นรำนี้เหมือนกันด้วยไหมคะ?”
หลินเจี๋ยอึกอัก “ก็…ส่วนหนึ่งนะครับ”
เขาไม่ได้เรียนการเต้นมาโดยเฉพาะ แต่ถ้าแค่ท่าเต้นพื้นฐาน เขาก็พอทำได้อยู่
เพราะก่อนหน้านี้ที่เขาเป็นนักวิชาการ เพื่อที่จะเข้าใจงานวิจัยหลักสังคมที่เกี่ยวข้องกับคติชนวิทยา เขาจึงต้องเข้าร่วมงานเลี้ยงระดับสูงเพื่อตีซี้คนบางคนไว้ และเพื่อไม่ให้ไปปล่อยไก่ในงาน เขาจึงต้องเรียนรู้มารยาทและการปฏิบัติเหล่านี้เอาไว้บ้าง
หลังจากย้ายโลกมาทำงานในร้านหนังสือได้สามปี มันย่อมกลับมาสนิมเกาะอีกครั้ง
เขาพูดเสริม “มนุษย์คุ้นเคยกับการบันทึกทุกอย่างไว้ในหนังสือ รวมไปถึงความรู้และทักษะครับ”
“พูดได้ว่าหนังสือเป็นพาหะนำความรู้ให้กับทั้งกลุ่มชน การทำงานของมันช่วยให้ผู้ที่อ่านมันได้รับประสบการณ์เพิ่มเติมนอกจากสิ่งที่พวกเขามีอยู่แล้ว ยิ่งอ่านมากก็ยิ่งเพิ่มพูนปัญญา หลังจากอ่านไปถึงระดับหนึ่งแล้ว บางทีอาจจะถูกมองเหมือนบุคคลผู้รอบรู้และทรงอำนาจก็ได้นะครับ ความรู้คือพลัง คำพูดนี้ไม่ได้กล่าวเกินจริงเลย”
ดังนั้นคุณเลยต้องซื้อหนังสือไงครับ!
หลินเจี๋ยพูดต่อในใจ
จี้จือซู่พยักหน้าอย่างระมัดระวัง คาดเดาในใจว่าพลังสำหรับเจ้าของร้านหลินจะปรากฏในรูปแบบนี้ แต่วิธีนี้ไม่เหมาะสำหรับคนทั่วไปเลย
“แต่สำหรับเรา เราต้องพิจารณาด้วยนะคะว่าจะทนรับปัญญาที่อยู่ในหนังสือได้หรือเปล่า…”
เสียงของเธอเบาลงเรื่อย ๆ จนเกือบจะเป็นพึมพำ “นั่นสินะ…พูดแบบนี้ดีกว่า สติปัญญาของแต่ละคนมีจำกัดค่ะ บางทีการใช้กลุ่มคนเพื่อรับความรู้ของกลุ่มชนก็น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่านะคะ”
นับแต่วันที่ไปเยือนร้านหนังสือวันนั้น เธอก็ได้กลายไปเป็นสมาชิกเผ่ายิธผู้ยิ่งใหญ่คนสุดท้าย แล้วเธอก็ได้ครุ่นคิดความหมายอันลึกซึ้งของเจ้าของร้านหลิน
ในตอนแรก เธอคิดว่าเธอจะสามารถใช้ความสามารถของเผ่ายิธในการควบคุมจิตใจอย่างสมบูรณ์ได้ เพื่อป้องกันไม่ให้มีคนทรยศแฝงเข้ามาในองค์กรใต้บัญชาของเธอ แต่แล้วมันก็ทำให้เธอรู้สึกว่าวิธีใช้นี้ผิดและไร้ประสิทธิภาพ
แต่ตอนนี้ คำพูดของเจ้าของร้านหลินเตือนใจเธออีกครั้ง
หลินเจี๋ยมองเธออย่างประหลาดใจเล็กน้อย “แนวคิด ‘ใช้กลุ่มคนเพื่อรับความรู้ของกลุ่มชน’ นี้ค่อนข้างน่าสนใจนะครับ บางทีมันอาจจะเป็นหัวข้องานวิจัยในเชิงการผสมผสานวัฒนธรรมก็ได้ แต่มนุษย์ไม่เหมือนมดที่มีสามารถรวบรวมข้อมูลแบบกลุ่ม หรือที่เรียกว่าวิธีอาณาจักรมดได้ แต่มนุษย์ก็สามารถใช้ภาวะพึ่งพาในการทำงานของแต่ละบุคคลเช่นกัน…”
ม่านตาของจี้จือซู่หดตัวอย่างรวดเร็ว เธอรู้สึกเหมือนหมอกหนาที่ปกคลุมจิตใจของเธออยู่สลายตัวไปเร็วดุจสายฟ้า แล้วเธอก็พลันเห็นทางสว่าง
จริงด้วย ภาวะพึ่งพา!
เธอสามารถกลายเป็นกลุ่มชนด้วยตนเองได้!
—