เจ้าของร้านพิศวง - บทที่ 335 ไว้คุยกันทีหลังนะครับ
บทที่ 335 : ไว้คุยกันทีหลังนะครับ
เมื่อเขาเห็นว่าจอห์นถูกคุณหนูจี้ต่อยร่วง หลินเจี๋ยก็แสดงออกถึงความเห็นอกเห็นใจต่อจอห์น
เพราะถึงอย่างไร ไม่ว่าใครที่ได้ยินข่าวว่าครอบครัวทั้งหมดของตนจากไปกะทันหันก็คงเข่าทรุดไม่ต่างกัน
เมื่อเห็นคุณหนูจี้ออกคำสั่งอย่างเฉียบขาดและเด็ดเดี่ยว จัดการสถานการณ์อย่างเป็นระบบ หลินเจี๋ยก็รู้สึกว่าตนเองได้เห็นจี้จือซู่ในมุมที่ต่างออกไป
มันช่างเป็นความรู้สึกที่มีค่ามาก
ก่อนหน้านี้ เขาได้เห็นเจ้าดำที่แทรกเงามืดออกมาโบกมือให้เขาแวบหนึ่งก่อนที่จะหายตัวไป แล้วหลินเจี๋ยก็รู้ว่าเรื่องนี้ไม่มีเงื่อนงำอะไรแล้ว
ทีแรก หลินเจี๋ยก็ไม่คิดจะสนใจกับคนงี่เง่าที่ปรี่มาหาถึงที่แบบนี้หรอก แต่เมื่อเจ้าหมอนี่ร่ายทฤษฎีบ้าบออะไรมาจัดชนชั้น เจ้าดำที่หายไปนานก็โผล่มา
แต่ถึงจะบอกว่าไม่ได้เจอกันนาน จริง ๆ แล้วความถี่ในการปรากฏตัวของเจ้าดำในช่วงนี้ เทียบกับเมื่อสามปีก่อนแล้ว ถือว่าบ่อยขึ้นมาก
ยิ่งกว่านั้น เขายังดูกระตือรือร้นมากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วย…
เจ้าดำยืนอยู่ข้างหลังจอห์น แล้วหลินเจี๋ยก็รับรู้ถึงความผิดบาปทั้งหมดที่ตระกูลนี้ทำในทันที ทั้งการบังคับซื้อขาย การปฏิบัติอย่างผิดมนุษย์และการฆ่าทาส…ใช้คำสั่งจากนอร์ซินเขตกลางเพื่อปฏิบัติต่อคนธรรมดาอย่างไม่อาจจินตนาการได้
ดังนั้น เมื่อเจ้าดำแสดงออกอย่างสุภาพว่าจะช่วย หลินเจี๋ยจึงเลือกจะเห็นด้วยอย่างเงียบ ๆ
เหมือนสิ่งที่จอห์นพูด นี่คือบาปที่เกินความเป็นมนุษย์และกฏเกณฑ์ หากไม่มีผู้มีอำนาจเหนือกว่าเข้ามากำจัดมัน มันก็จะซุกซ่อนอยู่ในเงามืดไปตลอดกาล ผู้คนก็จะไม่เท่าเทียมกันอีกต่อไป แต่จะไม่ต่างอะไรกับปศุสัตว์
ทว่า อย่างน้อยก็ตอนนี้ ก็มีวิธีเดียวในการจำแนกประเภทคนพวกนี้
นั่นคือพวกที่ยังอยู่…กับพวกที่ตายแล้ว!
การสลับฉากเล็ก ๆ นี้เป็นแค่การปิดท้ายหลังจบการเต้นรำเปิดงาน ถึงแม้มันควรจะเป็นการจบงานเลยก็ตาม
จี้จือซู่ใช้อุปกรณ์สื่อสารติดต่อสำนักงานตำรวจเขตกลางและหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง และหลังจากยืนยันได้ว่าสถานการณ์นี้สามารถได้รับการแก้ไขจากทั้งภายในและภายนอกได้ เธอก็ยิ้มและใช้คำพูดสุภาพอย่างเปี่ยมทักษะเพื่อปลอบขวัญแขกเหรื่อ ประกาศจุดจบของงานเต้นรำอุ่นเครื่องครั้งนี้ แล้วจัดเตรียมให้แขกทุกคนได้เข้าไปพักยังห้องของพวกเขาตามลำดับ
แม้ว่าจี้ป๋อหนงจะเป็นเจ้าภาพที่แท้จริงของงานเลี้ยงนี้ แต่เขาไม่เหมาะสมที่จะออกมามีบทบาทในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับผู้มีพลังเหนือธรรมชาติอย่างเรื่องนี้
หากมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นก่อนหน้าที่จี้จือซู่จะกลายเป็นนักล่า พวกเขาก็ต้องให้บุคคลจากเขตกลางที่ควบคุมเบื้องหลังบริษัทพัฒนาทรัพยากรโรลล์ออกมาจัดการแทน
แต่ตอนนี้ที่จี้จือซู่กลายเป็นนักล่าที่มีอิทธิพลในนอร์ซิน เธอก็สามารถจัดการปัญหาที่เกิดจากผู้มีพลังเหนือธรรมชาติด้วยตัวคนเดียวได้แล้ว
การแก้ปัญหาส่วนใหญ่ในแวดวงผู้มีพลังเหนือธรรมชาตินั้นเป็นเรื่องง่ายมาก พวกเขาใช้กฏแห่งป่า มีเพียงผู้ที่ยังอยู่รอดเท่านั้นที่ถูกต้อง
ดังนั้น ในตอนนี้แม้ว่าจะมีผู้มีพลังเหนือธรรมชาติที่เป็นมิตรกับตระกูลเฟร็ดปะปนอยู่ในงานเลี้ยงและตื่นตกใจกับสถานการณ์ แต่พวกเขาก็ไม่กล้าที่จะออกมาพูดอะไรเลย…
เพราะถึงอย่างไร การที่จอห์นออกมาพูดยั่วยุไม่กี่คำก่อนที่ครอบครัวของเขาจะตายยกตระกูลทันทีเช่นนี้ยังเป็นเรื่องที่น่ากลัวเกินไป กระทั่งสำหรับผู้มีพลังเหนือธรรมชาติด้วยกัน!
ความคิดของพวกเขาเปลี่ยนจาก ‘เราไม่รู้เราไม่เห็น’ อย่างใจเย็นในทีแรกไปเป็น ‘เราไม่เคยเห็นเรื่องนี้มาก่อนเลยจริง ๆ นะ’ ไปทันที
ที่ร้ายแรงกว่านั้นคือ ในเวลาต่อมา ไม่ว่าพวกเขาจะถามจะสืบอย่างไร จี้จือซู่และตัวแทนของบริษัทพัฒนาทรัพยากรโรลล์คนอื่น ๆ ก็ไม่ออกมาตรการอะไรเลยจนเหมือนเป็นการยอมรับผิดกลาย ๆ
ทัศนคตินี้น่าเก็บไปคิดมาก
ตอนนี้ หากพวกเขาต้องการคำอธิบาย ก็ต้องคิดให้ถี่ถ้วนก่อน
หรือจะบอกว่า ธรรมเนียมที่บริษัทพัฒนาทรัพยากรโรลล์ต้องบริหารด้วยคนธรรมดาเท่านั้นจะสามารถเปลี่ยนแปลงได้?
ความแข็งแกร่งที่จี้จือซู่แสดงออกมาในตอนนี้ทรงพลังมาก…มันเป็นอะไรที่เหนือความคาดหมาย
จากมุมมองของพวกเขาแล้ว การสนทนาระหว่างคนทั้งสามนี้มีแต่การพูดคุย แล้วจู่ ๆ สถานการณ์ก็หักมุมกะทันหัน คฤหาสน์ตระกูลเฟร็ดถูกไฟคลอก แล้วตัวเขาเองก็ถูกจี้จือซู่ต่อยร่วง
แต่สาเหตุ…เรื่องทั้งหมดนี้เกิดจากคนธรรมดาคนหนึ่งเป็นชนวน แต่เหตุผลของมันลึก ๆ แล้ว พวกเขาเชื่อว่าจี้จือซู่กำลังแสดงจุดยืนของตัวเธอเอง
ชื่อที่ไม่ค่อยคุ้นหูเท่าไรในนอร์ซินชื่อนี้กลายเป็นโด่งดังในแวดวงผู้มีพลังเหนือธรรมชาติในชั่วข้ามคืน
บริษัทพัฒนาทรัพยากรโรลล์ที่ก้ำกึ่งระหว่างคนธรรมดาและผู้มีพลังเหนือธรรมชาติเสมอมา ก็ดูเหมือนจะล้ำเส้นผ่านเข้าไปในวงการผู้มีพลังเหนือธรรมชาติมากขึ้นแล้วในตอนนี้…
บรรดาแขกเหรื่อต่างมีความคิดของตน แล้วในที่สุดพวกเขาก็เลือกเหยียบมันไว้ชั่วคราว รอให้คนรับใช้นำพวกเขาไปยังห้องพักของตนเองแล้วจึงสืบเรื่องราวอย่างลับ ๆ
“คุณหลินคะ เบื้องบนรับรองมาแล้วว่านามสกุลเฟร็ดจะไม่ปรากฏในเขตกลางอีก ส่วนทาสที่ได้รับการช่วยเหลือมาได้พวกนั้นก็จะถูกจัดที่อยู่ให้อย่างเหมาะสมแล้วเริ่มสืบหาขบวนการที่เกี่ยวข้องอย่างเข้มงวดเพื่อไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาอีกค่ะ ทำใจให้สบายได้เลยนะคะ”
จี้จือซู่พูดกับหลินเจี๋ยเบา ๆ หัวใจของเธอเต็มไปด้วยความปรีดา
ก่อนหน้านี้เธอไม่เคยได้ยินน้ำเสียงและกิริยาระมัดระวังเช่นนี้จากคนของเขตกลางมาก่อนเลย
พวกเขายังเลียบเคียงถามจี้จือซู่ถึงความคิดและความต้องการอื่น ๆ ของเจ้าของร้านหลินด้วย ทว่า…แน่นอน จี้จือซู่ไม่พูดเรื่องแผนความร่วมมือออกไปในตอนนี้ แต่เธอก็ไม่รู้เรื่องอื่น ๆ จริง ๆ จึงทำได้เพียงตอบไปตรง ๆ ว่าเธอก็ไม่รู้เหมือนกัน และให้จัดการกับเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วก่อน
“โจเซฟติดงานอื่นอยู่และไม่สามารถมาช่วยเหลือได้ครับ ดังนั้นเพื่อนร่วมงานของเขาจึงเป็นคนไปจัดการเก็บกวาดคฤหาสน์เฟร็ดแทน…แต่จากที่เคยกล่าวไป การช่วยเหลือทางไกลของเขายอดเยี่ยมมาก และยังทำประโยชน์ให้แก่ปฏิบัติการนี้อย่างมหาศาล ดังนั้นความดีความชอบจึงยังเป็นของเขาอยู่ครับ”
จี้จือซู่อดคิดเหน็บแนมไม่ได้ การช่วยเหลือทางไกลมาจากไหนไม่ทราบยะ? หอพิธีกรรมต้องห้ามในตอนนี้กำลังรบตึงมือกับนิกายกลืนศพอยู่ ใครจะว่างมาดูแลเรื่องนี้ได้ล่ะ…
แค่เพราะเจ้าของร้านหลินเป็นคนเสนอเรื่อง เจ้าพวกนี้จึงรีบเสนอยกความดีความชอบเพื่อเอาใจเจ้าของร้านหลิน
สงครามที่เกิดขึ้นในตอนนี้ก็ด้วย ก่อนที่เจ้าของร้านหลินจะแถลงจุดยืน พวกเขตกลางก็ดูจะลังเลในการเข้าไปแทรกแซงเหมือนกัน
ดูเหมือนว่าเขตกลางจะเข้าใจแจ่มแจ้งถึงความแข็งแกร่งของเจ้าของร้านหลินแล้วสินะ
“โอ้”
หลินเจี๋ยกะพริบตาอย่างงุนงงเล็กน้อย…ไหงความดีความชอบของพวกโจเซฟถึงตกมาอยู่กับเขาล่ะ?
แต่นี่ก็เป็นเรื่องดีเช่นกัน ไม่จำเป็นที่เขาต้องเข้าไปยุ่งวุ่นวาย
อย่างไรก็ตาม ความเร็วของตำรวจในครั้งนี้สูงอย่างไม่คาดคิด ทำให้หลินเจี๋ยรู้สึกแปลกใจอย่างมาก
เพราะถึงอย่างไร เมื่อเกิดแก๊สระเบิดในอดีต สำนักงานตำรวจเขตกลางก็มักจะมาสายโดยตลอด…
จี้จือซู่พูดต่อ “อย่างไรก็ตาม ฉันได้ซื้อบ้านตระกูลเฟร็ดที่โซน A หลังจากเก็บกวาดเสร็จสิ้นและร้างเจ้าของไว้เมื่อครู่นี้แล้ว อยากถามว่าคุณสนใจจะรับไว้ไหมคะ?”
ซื้อแล้ว…พวกคนรวยนี่ตัดสินใจซื้อขายบ้านกันปุบปับเกินไปไหม?
มุมปากของหลินเจี๋ยกระตุก เขารับของขวัญกะทันหันแบบนี้ไม่ได้หรอก
แต่ไม่เป็นไร…นี่มันผลประโยชน์ ไม่สิ! เห็นลูกค้าเติบโตแข็งแกร่ง แถมยังเป็นผู้คิดข้อเสนอออกมาเองด้วย หากไม่รับไว้ก็เหมือนไม่ถนอมน้ำใจ เขาควรรู้สึกขอบคุณต่างหาก!
เขาครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วน จากนั้นก็พยักหน้าตอบว่า “ครับ หากความร่วมมือเป็นไปได้ด้วยดี ผมก็จะพิจารณาเปิดร้านสาขาในเขตกลางต่อเลย พอถึงเวลานั้นเราก็จะใช้ที่นี่ได้ หากคุณไม่ได้จะใช้ประโยชน์อื่น ๆ จากมัน ก็ขอให้ผมเก็บไว้ก่อนได้ไหมครับ? แน่นอนว่าเพื่อตอบแทน ถ้ามีปัญหาใด ๆ คุณก็สามารถมาขอความช่วยเหลือจากผมได้ตลอดเลยนะครับ”
จี้จือซู่พยักหน้าอย่างนอบน้อมแล้วพูดอย่างจริงจัง “แน่นอนค่ะ ฉันจะเก็บมันไว้ให้คุณอย่างดีเลย”
หลินเจี๋ยส่งเสียงอืมในลำคอ แล้วทันใดนั้นก็ตาค้าง
เขาเพิ่งตระหนักว่าก่อนหน้านี้ คุณหนูจี้ไม่ได้มีความแปลกใจกับการตายยกตระกูลของตระกูลเฟร็ดเลยสักนิด…
ท่าทางของเธอต่อเรื่องนี้เป็นธรรมชาติเกินไปแล้ว!
ยอมรับง่าย ๆ ขนาดนี้ได้อย่างไรเนี่ย?
แล้วเขาก็ดันเรียบเรียงคำพูดอยู่นานแล้วเสียด้วยว่าจะอธิบายอย่างมีชั้นเชิงว่าตนเองเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติอย่างไรดี
สุดท้ายก็คือ พอหลินเจี๋ยอยากจะพูด เขาก็ดันโดนท่าทีสงบนิ่งของอีกฝ่ายทำให้พลาดโอกาสไป การที่เธอทำเหมือนเรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมดามากทำให้เขาแอบเขินถ้าจะพูดเรื่องนี้ออกไป
พอคุยกันจบแล้ว ถ้าจู่ ๆ ก็โพล่งออกมาว่า ‘ที่จริงแล้ว ผมเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติครับ…’ ก็คงพิลึกเกินไป
“อย่างนั้นก็แค่นี้ก่อน… ไว้คุยกันทีหลังนะครับ”
—