เจ้าของร้านพิศวง - บทที่ 338 หาเหยื่อคนใหม่
บทที่ 338 : หาเหยื่อคนใหม่
นั่นไง…!
เขาเป็นผู้ใหญ่ใจดี จะทำให้คนที่เจอตัวสั่นงันงกเพราะกลัวได้อย่างไรล่ะ?
หลินเจี๋ยพนักหน้าเห็นด้วยแล้วพูดยิ้ม ๆ “จริงสิ ผมได้ยินคุณพูดถึงชื่อโจเซฟ บังเอิญจังนะครับว่าผมก็รู้จักคนชื่อโจเซฟเหมือนกัน”
“เขาเป็นหัวหน้าหน่วยพิเศษของสำนักงานตำรวจเขตกลาง มีลูกศิษย์คนหนึ่งชื่อคล็อด ไม่ทราบว่าเป็นคนเดียวกับที่คุณพูดถึงก่อนหน้านี้หรือเปล่าครับ?”
เกร็กมุมปากกระตุก แล้วก็เข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงคำพูดที่โจเซฟเคยบรรยายว่า ‘เจ้าของร้านหนังสือชอบทำตัวเหมือนสามัญชนธรรมดา’
เนื่องจากเจ้าคนข้าง ๆ เขาที่ดูจนตรอกแต่ก็มาดร้ายคนนี้ก็เป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติเหมือนกัน เขาจึงไม่ต้องปิดบังข้อมูลใด ๆ จากคนที่นี่เลย
แต่เจ้าปีศาจนี่ก็ยังทำตัวเหมือน ‘คนธรรมดาที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย’ ได้เนียนกริบจริง ๆ
แล้วทุกครั้งที่ในใจของผู้คนเกิดคิดขึ้นมาว่า ‘บางทีเขาอาจเป็นแค่คนธรรมดาจริง ๆ ก็ได้’ เขาก็คงเห็นความรู้สึกลึก ๆ ในใจคู่สนทนาแล้วพูดถ้อยคำที่ชวนใจหายวาบออกมาโดยไม่รู้ตัว ทำลายความคิดข้างต้นไปทันที
เขาเล่นสนุกกับหัวใจคนอื่นซ้ำ ๆ แบบนี้ อันตรายจริง ๆ!
เกร็กรู้สึกเหมือนตนเข้าใจสันดานของปีศาจตนนี้อย่างลึกซึ้งแล้ว ดังนั้นเขาจึงจะไม่คล้อยตาม เขาเป็นนักสืบ ความสามารถในการปรับตัวเข้ากับสถานการณ์เป็นคุณสมบัติจำเป็น ดังนั้น เขาต้องรับแรงกดดันในระดับนี้ได้
“ครับ” เกร็กพยักหน้าแล้วพูดอย่างระมัดระวัง “ผมได้รับการยอมรับเป็นศิษย์ฝึกหัดของคุณโจเซฟเมื่อราว ๆ ครึ่งปีก่อน ส่วนคล็อดก็เป็นศิษย์รุ่นพี่ผมครับ”
“อย่างนี้นี่เอง”
หลินเจี๋ยพยักหน้า “ก่อนหน้านี้ผมเหมือนได้ข่าวว่าคล็อดบาดเจ็บสาหัส ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้วใช่ไหมครับ? แย่จัง งานของสำนักงานตำรวจเขตกลางนี่อันตรายจริง ๆ ไม่รู้ว่างานแบบไหนกันที่ทำให้เขาเจ็บหนักได้…”
ไม่ใช่เพราะ ‘บุรุษหน้ากากดำ’ ไวลด์ สมุนของนายเรอะ เจ้าปีศาจ!
เกร็กลอบเบ้ปาก
ในฐานะสมาชิกหน่วยข่าวกรอง เขาเคยได้ยินข่าวการวิเคราะห์เกี่ยวกับหลินเจี๋ยมาไม่รู้กี่แบบแล้ว
ในการกบฏของออสวาลด์ครั้งก่อน ถ้าไม่ใช่เพราะไวลด์ราดน้ำมันลงบนกองเพลิง ระดับฝีมืออย่างคล็อดคงไม่ถึงกับหมดหนทางตอบโต้อย่างแน่นอน
แม้ว่าต้นเหตุจะเป็นออสวาลด์ก็ตาม แต่การกระทำของไวลด์ก็มีจุดประสงค์เพื่อซ่อมการ์กอยล์ที่เขาให้ร้านหนังสือไป ดังนั้น ตัวการหลักของเรื่องนี้จึงโยงกลับมาที่เจ้าของร้านหนังสือหลินเจี๋ยที่อยู่ตรงหน้าเขา
เจ้าของร้านหนังสือคนนี้ชอบเสี้ยมให้เกิดข้อพิพาทอย่างลับ ๆ เรื่องนี้ ซึ่งเป็นที่รู้กันดีในหมู่ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติที่รู้ถึงการมีอยู่ของเขา และเพราะเหตุนี้เอง โจเซฟและไวลด์ในตอนนี้จึงรบพุ่งกันอยู่ในสนามรบ
แล้วตัวการหลักก็ยังมาทำตัวไม่รู้ไม่ชี้อยู่ที่นี่…
เป็นความบันเทิงที่ชั่วร้ายจริง ๆ
แม้ว่าเกร็กจะคิดเช่นนี้ แต่ปากของเขาก็ตอบออกไปว่า “คล็อดกำลังจะหายดีแล้วล่ะครับ แต่เขายังไม่สามารถกลับมารับภารกิจได้อย่างอิสระ ดังนั้นเขาเลยยังไม่ได้…ติดตามคุณโจเซฟไปทำภารกิจ”
เกือบไปแล้ว อันตรายชะมัด เกือบหลุดปากเรื่องกวาดล้างนิกายกลืนศพแล้วไง
เจ้าคนตรงหน้าเราตามทฤษฎีแล้วก็น่าจะเป็นผู้นำที่แท้จริงของนิกายกลืนศพ…ขืนพูดออกไปได้ตายแน่!
เกร็กใจหายใจคว่ำ เหมือนทุกคำพูดของเขาชี้เป็นชี้ตายให้ตัวเองได้ทุกคำ
หลินเจี๋ยไม่ได้สังเกตความหมายแฝงอันลึกซึ้งของการชะงักคำพูดเล็กน้อยของเกร็ก เมื่อเขาได้ยินเช่นนี้ก็โล่งใจ แม้ว่าคล็อดจะไม่ถือเป็นลูกค้าของร้านหนังสือก็ตาม แต่เขาก็มีส่วนช่วยเหลือในการสร้างคาเฟ่หนังสืออย่างมาก และยังเป็นคนคุ้นเคยของหลินเจี๋ยด้วย ดังนั้น จึงเป็นธรรมดาที่เขาจะเป็นห่วง
แต่โชคยังดีที่ฟังดูแล้ว เหมือนปัญหาในตอนนี้จะไม่ใหญ่โตเท่าไร
“ดีแล้วล่ะครับ จริงสิ โจเซฟก็ทำภารกิจอันตรายอีกแล้วเหรอครับ? ผมมีบางเรื่องอยากให้เขาช่วยอยู่ แต่ผมว่าคงต้องพับเก็บไปก่อน…” หลินเจี๋ยถาม “คุณรู้สถานการณ์อย่างละเอียดไหมครับ?”
เกร็กหาข้ออ้าง “เอ่อ…เรื่องนี้อันตรายจริง ๆ ครับ แต่เรื่องนี้ผมบอกไม่ได้… ผมหมายถึงว่าไม่สามารถบอกเรื่องแบบนี้กับคนนอกได้ครับ”
เขาพูดพลางเหลือบมองเฟจด้วยหางตา
เป็นที่ชัดเจนว่า ‘คนนอก’ ที่ว่าหมายถึงใคร
เจ้าหมอนี่โพล่งความจริงว่าเขากลัวสุด ๆ ออกมาก่อนหน้านี้ แล้วสายตาลำพองและเป็นปรปักษ์ก็ยังมองเขาอยู่เลย
ด้วยความเป็นมืออาชีพของเขา เกร็กวิเคราะห์ว่าเจ้าหมอนี่น่าจะใช้เขาเพื่อพิสูจน์คุณค่าของตัวเอง น่าจะพยายามเลียแข้งเลียขาเป็นสมุนเจ้าของร้านหนังสืออยู่
หากยั่วโมโหเจ้าหมอนี่มากไปกว่านี้ ความคิดจริง ๆ ของเขาก็อาจถูกเปิดโปงมันตรงนี้เลยก็ได้…ดังนั้นเขาต้องพิจารณาความปลอดภัยของตัวเองแล้วไล่เจ้านี่ออกไปก่อน
หลินเจี๋ยลูบคางแล้วคิดว่ามันมีเหตุผลมาก ๆ ภารกิจของสำนักงานตำรวจเขตกลาง แถมยังเป็นภารกิจยากอันตรายสูงแบบนี้ ย่อมต้องเก็บเป็นความลับเป็นธรรมดา
ดังนั้นเขาจึงหันไปพูดว่า “คุณเฟจครับ มาส่งผมตรงนี้ก็พอแล้วล่ะครับ กลับห้องไปพักผ่อนก่อนเถอะ”
หลินเจี๋ยยังต่อท้ายอย่างสุภาพด้วยว่า “ขอบคุณมากนะครับ ไว้เจอกันพรุ่งนี้”
“ผม…”
เฟจพูดได้คำเดียว แต่แล้วก็ถูกหยุดไว้อย่างน่าเศร้า
ใบหน้าของเขารวดร้าว อยากพูดแต่ก็ลังเล แต่เขาก็ไม่มีเหตุผลที่เหมาะสมและไม่กล้าขัดคำพูดของเจ้าของร้านหลินด้วย เขาจึงทำได้แค่สูดลมหายใจอย่างกระวนกระวายแล้วหันหลังกลับเดินจากไป แล้วไม่ลืมที่จะหันกลับมาส่งสายตาเตือนให้เกร็กก่อนอีกทีหนึ่ง
เจ้าเด็กนี่ทำให้เขาพลาดโอกาสทำความรู้จักเจ้าของร้านหลินเพิ่มเติม!
ดูเหมือนสังหรณ์ของเขาจะไม่พลาด เด็กหนุ่มคนนี้จะขัดขวางอาชีพนักเลีย (แข้งขา) ของเขา แต่น่าเสียดายที่ไม่เร็วพอ เขายังเป็นคนแรกที่ได้รู้จักเจ้าของร้านหลินอยู่ดี…
เรื่องนี้จะโทษการตรวจจับวิกฤตของเขาก็ไม่ได้ เพราะถึงอย่างไรเจ้าหนุ่มตรงหน้าเขาก็เป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติคนที่สองที่เขาได้พบในงานเลี้ยงแบบใกล้ชิด ยิ่งกว่านั้น การแสดงออกของเขายังมีพิรุธมากด้วย
โอกาสที่ควรจะเป็นของเขากำลังจะถูกพรากไปในไม่ช้า ดังนั้น เขาย่อมต้องทำอะไรสักอย่าง
แต่ก็ดูเหมือนจะไร้ผล…
“จริงสิ” หลินเจี๋ยพูดหยุดเฟจไว้กะทันหัน
เฟจหันกลับมาอย่างลิงโลด ทว่าเขากลับได้ยินหลินเจี๋ยพูดว่า “กลับไปอ่านหนังสือเล่มนั้นให้ดีนะครับ มันจะเป็นประโยชน์ต่อคุณมาก”
“…”
เฟจพยักหน้าทื่อ ๆ แล้วหันหลังจากไป
แม้ว่าคนนอกเพียงคนเดียวจะจากไปแล้ว แต่หลินเจี๋ยก็รู้สึกว่าการคุยเรื่องที่เป็นความลับกันบนทางเดินดูจะไม่สมเหตุสมผลเท่าไร ดังนั้นเขาจึงเชิญเกร็กให้เข้ามานั่งคุยในห้องของเขาสักพัก
“ห้องเราก็ใหญ่เหมือนกันนะเนี่ย…”
หลินเจี๋ยมองเข้าไปในห้องแล้วทำได้เพียงทอดถอนใจ สมกับเป็นคฤหาสน์ของบุคคลที่รวยที่สุดในนอร์ซินจริง ๆ
เขาหาที่นั่งแล้วมองสีหน้ากังวลของเกร็ก ก่อนจะพูดว่า “เอาล่ะ เราคุยกันได้แล้วนะครับ”
เกร็กรู้สึกเหมือนนั่งบนตะปู จู่ ๆ เขาก็เหมือนหน้ามืด มีอะไรต้องคุยล่ะ?
เจ้าหมอนี่ไม่ใช่ตัวการเบื้องหลังเหรอ? ไหงเขาจึงต้องการให้คนอื่นมาเล่าสถานการณ์ปัจจุบันให้ฟังล่ะ?
เขาเป็นนักสืบเยาวชน ถึงจะเรียกตัวเองว่าเป็นศิษย์ของโจเซฟ แต่มันก็เป็นเพียงในนามเท่านั้น ปกติแล้วพวกเขาสามารถหาข้อมูลต่าง ๆ ได้อย่างสบาย ๆ ไม่ว่าจะระดับสูงแค่ไหน การจะมีสมาชิกหน่วยข่าวกรองคนใดที่ไม่รู้สถานการณ์ในสนามรบทุกวันนี้คงเป็นไปไม่ได้เลย
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เกร็กก็อดรู้สึกท้อขึ้นมาหน่อย ๆ ไม่ได้
เขามาจากตระกูลนักเวท ดังนั้น จึงเป็นธรรมดาที่เขาจะดูเข้ากันไม่ได้กับหอพิธีกรรมต้องห้ามที่เน้นไปทางอัศวิน…
หลินเจี๋ยมองเด็กหนุ่มที่คอตกอยู่ตรงหน้าแล้วพลันสบโอกาส เขาแสดงรอยยิ้มธุรกิจออกมาอย่างทุกที “เกิดอะไรขึ้น คุณมีปัญหาคาใจอะไรหรือเปล่าครับ? ถ้าพูดเรื่องภารกิจไม่ได้จริง ๆ เราคุยเรื่องอื่นกันก็ได้นะ บางทีผมอาจจะช่วยคุณได้ครับ”
หนังสือก็ช่วยคุณได้เหมือนกันนะ…เขาพูดแถมในใจ
—