เจ้าของร้านพิศวง - บทที่ 344 เข้าสู่นิมิต
บทที่ 344 : เข้าสู่นิมิต
หัวใจของเด็กหนุ่มตื่นเต้น มือของเขาก็สั่นเทา
แม้ว่าเกร็กในตอนนี้จะกำลังกระโดดโลดเต้นอย่างดีใจ กระทั่งอยากจะเปิดอุปกรณ์สื่อสารไปรายงานวินสตันถึงข่าวดีข่าวใหญ่นี้มันเสียเดี๋ยวนี้เลยก็ตามที
แต่จู่ ๆ สัญชาตญานก็ทำให้เขาตื่นตัวขึ้นมา
หลังจากถูกทำให้ตกใจกลัวติด ๆ กันมาหลายครั้ง เกร็กก็ไม่เชื่อคำพูดของเจ้าปีศาจที่ชอบล้อเล่นกับหัวใจของคนตนนี้ง่าย ๆ แล้ว
เขาเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าการคล้อยตามจะรังแต่เดินเข้าหากับดักของเจ้าหมอนี่เท่านั้น
ดังนั้น เกร็กจึงสังเกตเห็นคำว่า ‘พลิกผันไปมา’ อย่างชัดเจน
เจ้าสี่คำนี่แหละ!
เกร็กสูดหายใจลึก ๆ เพื่อกดความรู้สึกตื่นเต้นไว้ลึก ๆ ในใจ เขาพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเทาอย่างพยายามใจเย็นที่สุดว่า “ครับ ผมเคยได้ยินคำกล่าวโบราณที่ว่า ‘คนดีผีคุ้ม ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้’ ความผิดพลาดครั้งใหญ่ของไวลด์ก็เป็นเพราะเขามักจะชอบทำตามใจด้วยตัวคนเดียว แถมยังโหดเหี้ยมเลือดเย็น แต่คุณโจเซฟต่างออกไป ทุกอย่างที่เขาทำก็เพื่อปกป้องนอร์ซิน! เขาปกป้องผู้ที่อ่อนแอกว่า!”
เกร็กพูดพลางกำหมัดแน่น “เขาทุ่มเทกายใจเพื่อปกป้องผู้คน แล้วสักวันผลดีย่อมเกิดแก่เขา ผมเชื่อแบบนั้นอยู่เสมอ ดังนั้น ผมจึงติดตามเขา ไม่ว่าเขาจะอยู่ในสถานการณ์ไหน ผมก็ยังอยากจะบอกเขาให้รู้ว่าเรารู้สึกขอบคุณเขาอยู่เสมอ และเราสนับสนุนเขา! ทุกความพยายามของเขามีค่า! เราไม่เคยลืมเขาเลย!”
คำพูดจริงจังเร้าอารมณ์นี้สมกับเป็นแกนนำแฟนคลับดีแท้ หลินเจี๋ยยกมือขึ้นปรบมือเงียบ ๆ
ในระหว่างนั้น หลินเจี๋ยก็อดไม่ได้ที่จะเปรียบเทียบคำพูดของจอห์นก่อนหน้านี้ แล้วแอบคิดว่าพวกเขาสมกับเกิดมาเป็นลูกผู้ดี ทุกคำพูดแฝงความนัยจริง ๆ
แต่เห็นได้ชัดว่าจอห์นซึ่งตอนนี้ก็น่าจะเป็นปุ๋ยไปแล้ว ได้เลือกใช้ทักษะนี้ผิดที่ผิดเวลา
เกร็กรู้สึกหัวใจร้อนผ่าว และเมื่อพูดจบ เขาก็ตระหนักว่าตัวเองยืนขึ้นตอนไหนไม่รู้ เขารีบยิ้มเก้อ ๆ แล้วนั่งลงกระแอมสองสามครั้ง กล่าวต่อว่า “สั้น ๆ ก็คือ…คุณพูดถูกแล้วจริง ๆ ครับ แต่ที่ว่าพลิกผันไปมานี่คือ?”
เอ่อ ไอ้ผมมันก็ไม่ใช่หมอดู จะไปรู้ได้อย่างไรล่ะครับว่าถ้าสองคนนั้นตีกันจริง ๆ ผลจะเป็นอย่างไร?
ความขัดแย้งระหว่างโจเซฟและไวลด์เกิดขึ้นมาหลายปีแล้ว การไกล่เกลี่ยให้ละวางความแค้นในทันทีที่เจอหน้า ยิ้มให้กันแล้วกลับมาคืนดี หรือจะให้ตัดสินแพ้ชนะกันในทันทีก็คงเป็นไปไม่ได้ทั้งคู่
ถ้าสองคนนี้สู้กัน พวกเขาก็ต้องตีกันอุตลุดแน่นอน!
ที่บอกว่าพลิกผันไปมานี่ก็แค่หาทางรอดให้ตัวเอง…ถ้าสองคนนี้ตีกันแล้วไวลด์ชนะขึ้นมาจริง ๆ เขาจะได้โทษว่าเป็นเพราะความพลิกผันนี้ได้
เรื่องนี้สมเหตุสมผลมาก
แต่จากมุมมองของพวกโจเซฟ ไวลด์เป็นคนร้ายผู้ ‘โหดเหี้ยมเลือดเย็น’ เหรอ?
คงจะจริงว่าหากเป็นมุมมองของศัตรูหรือคนรัก สิ่งที่เห็นจะต่างออกไปจากความเป็นจริง…ในสายตาของเขา ไวลด์เป็นแค่ชายชราพิการร่างผอมบางผู้อ้างว้าง หมกตัวอยู่แต่กับการวิจัยทุกวันคืน ไม่เกี่ยวอะไรกับสี่คำข้างต้นเลยสักกระผีก
ดูเหมือนว่าความบาดหมางระหว่างคนทั้งสองจะลึกล้ำมาก!
หลินเจี๋ยยกมือขึ้นประสานใต้คางอย่างจริงจังแล้วพูดช้า ๆ “ถึงแม้ว่าโจเซฟจะมีผู้สนับสนุนเช่นคุณ และมีอำนาจการตัดสินใจลงมือที่เฉียบขาดกว่า แต่ไวลด์เป็นคนวางแผนเก่งครับ…”
“…?”
เครื่องหมายคำถามเด้งขึ้นมาบนหัวเกร็ก
คำพูดพวกนี้ฟังดูคุ้น ๆ นะ เหมือนเพิ่งได้ยินมาเมื่อครู่นี่เอง แต่ทำไมการจัดเรียงมันแปลก ๆ ชอบกล?
หลินเจี๋ยมองเขาด้วยท่าทางงุนงง “หรือเปล่านะครับ? ถ้าคุณคิดแบบอื่น คุณก็บอกได้ว่า…”
“อื้อ ครับ! ถูกแล้ว! คุณพูดถูกมาก! ผมไม่มีความคิดอื่น ไม่มีจริง ๆ ครับ!”
เกร็กพยักหน้าสุดชีวิต
หลินเจี๋ยพูดยิ้ม ๆ ว่า “ถึงอย่างไรโจเซฟก็ใช้เวลาสองปีเต็มกว่าจะหาไวลด์เจอ เห็นได้จากตรงนี้ว่าถ้าไวลด์เตรียมตัวมามากพอ เขาก็สามารถจูงจมูกโจเซฟได้ ยิ่งกว่านั้นในฐานะเพื่อนสนิท ไวลด์เข้าใจเขาดีมาก ดังนั้น โอกาสชนะของโจเซฟที่จริงแล้วก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรหรอกครับ มันจะพลิกผันไปมาแน่นอน”
“แต่อย่างที่คุณพูด สุดท้ายแล้วไวลด์ก็เป็นพวกฉายเดี่ยว…”
เมื่อหลินเจี๋ยพูดมาถึงเรื่องนี้ เขาก็พลันชะงักไป แล้วพูดต่อว่า “ที่จริงแล้ว ตอนนี้พูดไม่ได้แล้วล่ะครับว่าเฒ่าไวลด์เป็นพวกฉายเดี่ยว เพราะถึงอย่างไร ครั้งก่อนเขายังพาศิษย์ใหม่สองสามคนมาหาผมเพื่อขอคำชี้แนะด้วยตัวเองเลย ไม่รู้เหมือนกันนะครับว่าตอนนี้พวกเขาเรียนกันถึงไหนแล้ว”
เกร็กแน่ใจได้ทันทีว่าคนเหล่านั้นหมายถึงใคร นั่นคือแกนนำหลักที่ก่อตั้งนิกายกลืนศพขึ้นมา ซึ่งในตอนนี้พวกเขาอยู่กลางสนามรบและกำลังต่อสู้กับหอพิธีกรรมต้องห้ามอยู่
“ว่าไปแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขากับไวลด์ก็คล้าย ๆ กับคุณและโจเซฟนั่นแหละครับ”
หลินเจี๋ยพูดยิ้ม ๆ “พวกเขาก็เทิดทูนไวลด์มาก ๆ เช่นกันครับ”
เกร็กเหมือนจะอารมณ์เสีย เขาตีหน้าจริงจังแล้วพูดอย่างเคร่งขรึมทันที “การกระทำของพวกเขาคือช่วยคนชั่วกระทำความผิด! แก่นแท้ของพวกเขาไม่เหมือนผมหรอกครับ!”
“ครับ ๆ…” หลินเจี๋ยพยักหน้าเออออ ลูบคางแล้วตอบว่า “ตอนนี้ ผมชักจะอยากรู้ขึ้นมาแล้วสิว่าถ้าพวกคุณได้เจอกัน อะไรจะเกิด”
“?!!!”
เด็กหนุ่มเบิกตากว้าง สีหน้าที่ตื่นเต้นจนแดงก่ำของเขาซีดเซียวลงอย่างรวดเร็ว หน้าตาดูไม่ได้เลย
“ฮะ ๆ ผมหยอกเล่นครับ อย่ากังวลไปเลย”
หลินเจี๋ยโบกมือแล้วพูดยิ้ม ๆ “ถึงแม้ว่าผมจะยังอยากคุยเกี่ยวกับปัญหาของคุณต่อ แต่ตอนนี้ก็ดึกมากแล้วนะครับ”
เขามองความมืดมิดที่นอกหน้าต่าง “พรุ่งนี้จะมีงานเลี้ยง ไว้เรามาคุยกันใหม่ที่นั่นแล้วกันนะครับ”
เกร็กรู้สึกราวกับว่าตนได้รับอภัยโทษ เขาคว้าอุปกรณ์สื่อสารแล้วเดินสะดุด ๆ ไปยังประตูท่ามกลางสายตาของหลินเจี๋ย และไม่ลืมที่จะหันกลับมาบอกฝันดีตามความเคยชินก่อนจะเดินออกจากประตูไป
หลินเจี๋ยโบกมือลาด้วยรอยยิ้ม และดูจะหายลับไปในความมืดเมื่อประตูแง้มปิดลง
“เฮ้อ…”
หลังจากปิดประตูห้อง เกร็กหันหลังพิงผนังห้องของตัวเอง เขาถอนหายใจยาว กุมขมับ แล้วพบว่าหน้าผากของเขามีเม็ดเหงื่อเย็น ๆ ผุดขึ้นเต็มไปหมด
ร่างกายที่เกร็งมาตลอดเริ่มผ่อนคลายลง เขาแทบจะไหลลงไปกองกับพื้นเสียเดี๋ยวนั้น
“ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาทำตัวขี้เกียจ!”
เกร็กกัดฟัน รวบรวมขวัญกำลังใจคว้าอุปกรณ์สื่อสารขึ้นมารายงานสถานการณ์
เมื่อวินสตันที่ปลายสายได้ยินข่าว เขาก็เงียบไปครู่หนึ่งแล้วถามโดยพยายามไม่ทำให้เสียงสั่น “อัศวินฝึกหัด คุณแน่ใจใช่ไหม?”
เกร็กพยายามพยักหน้าอย่างยากลำบาก “ผมแน่ใจครับ! มันร้ายแรงขนาดนั้นแหละ…เจ้าของร้านหนังสือคนนั้นพูดออกมาเองเลย!”
“ถ้าเป็นอย่างนั้น ผมจะรายงานสภาผู้อาวุโสไปตามจริง”
วินสตันพูดเสียงต่ำว่า “บางที อัศวินฝึกหัด…คุณต้องเตรียมตัวไว้ให้พร้อม”
เกร็กสะดุ้ง แล้วเขาก็ได้ยินเสียงบางอย่างดิ้นยุกยิกอย่างน่าสะพรึงกลัวอยู่ที่ปลายสาย ปะปนไปกับเสียงฟ้าฝนดังกระหึ่มราวกับมีสัตว์ประหลาดขนาดยักษ์กำลังหายใจ
ฟังรวม ๆ กันแล้ว…เหมือนบางอย่างกำลังเคี้ยวกลืนอาหารอยู่
“ปีศาจตนนั้นอาจจะหลอกคุณอยู่ก็ได้”
—
สนามพลังสีขาวดำที่กลางสนามรบไม่ได้แบ่งเขตกันอย่างชัดเจนอีกต่อไป
เส้นหนวดเปรอะเลือดนับไม่ถ้วนยื่นออกมาจากความมืดมิดสู่ศูนย์กลาง แล้วค่อย ๆ ปกคลุมไปทั่วสนามรบ กลืนกินและกวาดรวมทั้งสิ่งที่ยังมีชีวิตและตายไปแล้วมารวมกันเป็นจุดเดียว
แม้แต่สนามพลังที่เต็มไปด้วยเปลวเพลิงสีขาวก็กำลังค่อย ๆ ถูกทำให้สลายไป
กระแสน้ำวนสีดำไหลเชี่ยว ดูเหมือนไม่มีสิ่งใดต้านทานมันได้เลย
—
หลินเจี๋ยซักผ้าไปฮัมเพลงไป เปลี่ยนชุดเป็นชุดนอน ครุ่นคิดแล้วหยิบตาข่ายดักฝันจากในแดนนิมิตขึ้นมาแขวนบนผนัง
จากนั้นก็ทอดร่างลงนอนบนเตียงนุ่ม ๆ ในห้อง หลับตาลงแล้วเข้าสู่นิมิตสีเงินขาวอันห่างหายไปนาน
—