เจ้าของร้านพิศวง - บทที่ 353 คำสั่งของเจ้าของร้านหลิน
บทที่ 353 : คำสั่งของเจ้าของร้านหลิน
บทที่ 353 : คำสั่งของเจ้าของร้านหลิน
จี้ป๋อหนงนั่งถูมืออย่างกระวนกระวายอยู่บนโซฟาในห้องทำงาน
เขาไม่ได้ดูสง่าผ่าเผยเยือกเย็นอย่างที่แสดงต่อหน้าทุกคนเมื่อคืนนี้ในฐานะชายผู้ควบคุมเครือบริษัทการค้าผูกขาดอันดับหนึ่งแห่งนอร์ซิน เขาเป็นแค่ชายวัยกลางคนที่กำลังประหม่าคนหนึ่งเท่านั้น
จากกำหนดการของงานเลี้ยง วันนี้ในฐานะวันเกิดของจี้จือซู่ จะเป็นเวลาที่แขกเหรื่อในงานจะนำของขวัญวันเกิดมาแสดง
แน่นอนว่าเจ้าของร้านหลินย่อมนำของขวัญของตัวเองมาด้วย
แต่ว่า ในเมื่อตกลงร่วมมือกันแล้ว และจี้จือซู่ในตอนนี้ก็เหมือนกับเป็นครอบครัวเดียวกับเจ้าของร้านหลิน ดังนั้นของขวัญนี้จะไม่ทำให้จี้ป๋อหนงประหม่ามากเกินไปนัก
สิ่งที่เขากังวลในตอนนี้ก็คือ ‘ของขวัญ’ ที่เจ้าของร้านหลินจะนำมาให้เขาต่างหาก
“คุณพ่อคะ ใจเย็น ๆ ก่อนเถอะค่ะ พ่อดูเหมือนแมลงวันไร้หัวเลยรู้ไหม”
จี้จือซู่ยืนบ่นพลางจัดเสื้อผ้าหน้าผมของเธอ
เพราะงานเลี้ยงวันนี้จะถูกจัดขึ้นกลางแจ้ง เธอจึงเปลี่ยนไปสวมชุดเดรสสีขาวที่ดูธรรมดาขึ้น แต่เธอก็ยังกลัดดอกกุหลาบแดงที่อกของเธออยู่ ต้นกุหลาบยังคงยึดรากอารักขาใต้ค่ายหลักขององค์กรนักล่า ‘แมงมุม’ ที่เธอสร้างอยู่ ส่วนที่อยู่กับหญิงสาวในตอนนี้เป็นเพียงอวตารหนึ่งของมัน แต่ความแข็งแกร่งของมันก็ไม่ได้ด้อยนัก
อวตารส่วนนี้รวมไปถึงสวนกุหลาบที่อยู่นอกคฤหาสน์ รวมไปถึงดอกกุหลาบประดับที่เห็นได้ตามแจกันทุกที่ในคฤหาสน์ด้วย ซึ่งมันก็ทำให้จี้จือซู่สามารถจับตามองสถานการณ์ทั่วคฤหาสน์ได้
จี้ป๋อหนงสำลักแล้วจ้องลูกสาวของเขา “ถ้าพ่อเป็นแมลงวัน แล้วลูกล่ะ? เป็นลูกแมลงวันเหรอ?”
จี้จือซู่ “…”
ในขณะที่เธอกำลังจะปลอบใจพ่อของเธออยู่นั้นเอง ดอกกุหลาบก็ส่งข้อความหาเธอกะทันหัน แล้วเธอก็พูดเบา ๆ ด้วยสีหน้าจริงจังทันที
“เจ้าของร้านหลินตื่นแล้ว เขาไปที่ภัตตาคารแล้วค่ะ เขากำลังคุยกับคนอื่น…เนื้อหาดูจะเกี่ยวข้องกับตระกูลจี้นะคะ”
จี้ป๋อหนงพลันดูประหม่าหนักกว่าเก่าแล้วสูดหายใจเฮือกใหญ่ “เขาต้องแฝงความหมายลึกซึ้งไว้แน่ ๆ บางทีอาจจะเหมือนกับเมื่อคืนนี้ นี่คือคำสั่งของเขา…เขาพูดอะไรกันล่ะ?”
—
หลินเจี๋ยนั่งลงที่โต๊ะตัวหนึ่ง วางเค้กน้ำผึ้งและชาดำในมือลงบนโต๊ะ จากนั้นก็ขอบคุณบริกรที่ช่วยเลื่อนเก้าอี้ให้เขา
แม้ชาร์ล็อตต์จะกระตือรือร้นอยากช่วยเขาถืออาหารเช้าก็ตาม หลินเจี๋ยก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองจำเป็นต้องลดตัวต่ำขนาดนั้น
บริกรดูแปลกใจขึ้นมาแวบหนึ่ง แล้วจากนั้นก็ปรับสีหน้าอย่างรวดเร็วด้วยความเป็นมืออาชีพ เขาโค้งให้หลินเจี๋ย “ไม่ทราบว่าคุณอยากรับอะไรเพิ่มไหมครับ?”
“ไม่มีแล้วครับ”
หลินเจี๋ยส่ายหน้ามองคนทั้งสามแล้วถามด้วยสายตา และทุกคนที่เหลือต่างส่ายหน้า
บริกรจึงยืดตัวขึ้นพยักหน้า “ผมจะประจำอยู่ด้านข้าง ถ้าขาดเหลืออะไร โบกมือเรียกผมได้เลยนะครับ”
หลินเจี๋ยมองบริกรที่เดินไปยืนเงียบ ๆ อยู่ที่มุมห้องแล้วอดทอดถอนใจ “ขนาดบริกรในคฤหาสน์ตระกูลจี้แห่งนี้ยังดูแตกต่างระหว่างข้างนอกกับข้างในเลยนะครับ”
เฟจซึ่งเป็น ‘คนชั้นล่าง’ พยักหน้าเข้าใจอย่างลึกซึ้งแล้วเริ่มแจกแจงโดยไม่รู้ตัว “คนรับใช้ที่รับแขกหน้าประตูเมื่อวานนี้เย่อหยิ่งกับคนที่ไม่ได้แต่งตัวหรือทำตัว ‘อย่างผู้ดี’ ตั้งแต่มองปราดแรก เขาจะพยักหน้าและโค้งให้แค่กับพวกคนรวย แต่คนรับใช้ที่ทำงานในคฤหาสน์แห่งนี้นอบน้อมให้เกียรติกันตลอดไม่ว่าจะกับใคร มันดูเหมือนอย่างนั้นนะครับ แต่ที่จริงแล้วไม่มีอะไรต่างกันเลย”
เฟจกัดฟันพูดอย่างขุ่นเคือง “แค่ว่าพวกคนรับใช้ในคฤหาสน์นี้แน่ใจว่าคนที่เข้ามาได้ต้องเป็นคนใหญ่คนโตแน่นอน พวกเขาเลยถ่อมตนและสุภาพตลอด เท่าที่ผมรู้ คนรับใช้พวกนี้ต้องใช้ชีวิตในคฤหาสน์นี้มาแต่เด็กและอาจไม่เคยเห็นสลัมมาก่อนเลย เมื่อไม่มีอะไรให้เปรียบเทียบและไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ พวกเขาเลยปฏิบัติต่อทุกคนไม่ต่างกัน แต่ไม่ว่าอย่างไรมันก็คือพิษร้ายของระบบการแบ่งชนชั้นอยู่ดี!”
เขาถลึงตามองมักกะโรนีในจานของเขาอย่างดุร้าย แล้วใช้ส้อมกวนมัน “…เศษซากของกาลเวลาที่ควรกำจัด!”
เห็นได้ชัดว่าตีวัวกระทบคราด
ผู้ดีทั้งสองคนอย่างเกร็กและชาร์ล็อตต์ถูกเหน็บแนมตรง ๆ แต่ชาร์ล็อตต์ทำเพียงยกมีดและส้อมของเธอมาตัดขนมปังตรงหน้าด้วยรอยยิ้ม
ในขณะที่เกร็กค่อนขอดทันที “แต่ตระกูลจี้ไม่ใช่สิ่งที่เรียกกันว่าผู้ดีเลย พวกเขาก็แค่อดีตคนไร้บ้านยากจนที่อพยพมาจากทางเหนือที่รกร้าง พวกเขาเป็นประชาชนที่ไม่มีความพิเศษอะไรแล้วพึ่งแต่การสนับสนุนของเขตกลางเพื่อกอบโกยผลประโยชน์ แค่เครื่องมือขุดเหมืองเท่านั้นแหละ”
“มันไม่ใช่ระบบการแบ่งชนชั้นที่ว่านั่นหรอกที่ทำให้พวกเขาเป็นอย่างทุกวันนี้ แค่ว่าพวกเขามีอำนาจในมือและค่อย ๆ ลืมกำพืดของตัวเองเท่านั้น”
ประชาชนที่ไม่มีความพิเศษผู้ที่เพิ่งได้รับพลังมา “…”
เดี๋ยวสิ มาค่อนแคะตระกูลจี้ตามมุมต่าง ๆ ของงานเลี้ยงวันเกิดของจี้จือซู่ในคฤหาสน์ของจี้ป๋อหนงเนี่ยนะ แถมแต่ละประโยคยังเสียดแทงใจดำ มันดีแล้วจริง ๆ เหรอ?
ได้แต่ทอดถอนใจถึงทัศนคติของแต่ละคนจริง ๆ
หลินเจี๋ยมุมปากกระตุก
ต้องบอกได้แค่ว่า…โชคดีนะที่จี้จือซู่ยังไม่มาตอนนี้ ไม่อย่างนั้นคงหยุดสงครามไม่ได้แน่
—
จี้จือซู่ที่แอบฟังอยู่พยักหน้า รู้สึกราวกับเข้าใจทุกอย่างโดยสมบูรณ์แล้ว จากนั้นก็หันไปพูดกับพ่อของเธอ “เจ้าของร้านหลินยืมปากของผู้มีพลังเหนือธรรมชาติพวกนั้นมาเตือนเราให้ระวังตัวและไม่ให้เหลิงในอำนาจ อย่าลืมกำพืดของตัวเองว่าเคยเป็นคนธรรมดา และ…เขาไม่พอใจกับพวกชนชั้นสูงที่เหลืออยู่มากค่ะ”
จี้ป๋อหนงตื่นตัวและพูดอย่างจริงจังทันที “ไม่เป็นไรหรอก ตระกูลของเราที่เคยถูกใช้เป็นเครื่องมือมาเป็นพัน ๆ ปีจะไม่ใช่เครื่องมือที่ใช้กดขี่ใครในอนาคต และทุกอย่างที่เราจะทำต่อจากนี้ก็จะเป็นไปเพื่อความสุขสบายของบุคคลธรรมดาอย่างเรา ๆ”
จี้จือซู่พยักหน้าแล้วแค่นยิ้มพูด “แต่ว่า…ทัศนคติเมื่อวานนี้ของเขาต่อตระกูลเฟร็ดก็สื่อออกมาได้เยอะเลยนะคะ ดูเหมือนว่าพวกหนอนชั้นสูงในเขตกลางจะใกล้พบวันวิปโยคเสียทีแล้ว”
“และนี่อาจจะเป็นสงครามแรกของเราในการขึ้นครอบครองบริษัทโรลล์อย่างสมบูรณ์ด้วย”
—
“เอาน่ะครับ ผมแค่พูดไปเรื่อย ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้หรอกครับ”
หลินเจี๋ยโบกมืออย่างละอายแล้วทำท่าทางเชิญลูกระเบิดทั้งสองให้นั่งลง
“อาหารเช้าสำคัญนะครับ รีบทานก่อนที่มันจะเย็นเถอะ”
“คุณพูดถูก” เมื่อได้ยินคำพูดของเจ้าของร้านหลิน เกร็กกับเฟจก็พยักหน้า ยอมหุบปาก และนั่งลงตรงที่นั่งของตนเองแล้วเริ่มทานอาหารอย่างเชื่อฟัง
ชาร์ล็อตต์ที่นั่งบนภูดูเสือสู้กันมาแต่แรกตอบด้วยรอยยิ้ม “ใช่ค่ะ เจ้าของร้านหลินนั่งอยู่ตรงนี้แท้ ๆ แต่พวกคุณเอาแต่ทะเลาะกันอยู่นั่น ไม่เข้าใจมารยาทเอาเสียเลยนะคะ”
ยัยผู้หญิงเจ้าเล่ห์นี่!
“ไม่ ๆๆ นี่ไม่ใช่การทะเลาะครับ แค่ปรึกษากันอย่างเป็นมิตรเท่านั้นเอง ใช่ไหมครับคุณเฟจ”
เกร็กฝืนยิ้มและเกือบหักส้อมในมือ เสียงร้องเตือนดังลั่นในใจเขา เขาไม่สามารถรบกับเฟจได้ต่อแล้ว ตอนนี้ผู้หญิงตรงหน้าเขานี่ต่างหากที่เป็นศัตรู
“ใช่แล้วครับ พวกเรานับถือเจ้าของร้านหลินมาก ๆ รีบ ๆ ทานเถอะครับ”
เฟจเองก็ตระหนักถึงปัญหาแล้วมองชาร์ล็อตต์อย่างระแวง
ชาร์ล็อตต์พูดอย่างกระตือรือร้นราวกับไม่รู้ตัว “เจ้าของร้านหลินคะ เค้กน้ำผึ้งนี่ควรทานเสียตั้งแต่ยังร้อนถึงจะอร่อยที่สุดนะคะ”
“อย่างนั้นเหรอครับ? คงก็ได้เวลาชิมมันแล้วจริง ๆ”
หลินเจี๋ยพยักหน้าพลางหยิบมีดและส้อมขึ้นมา เขามองเค้กน้ำผึ้งที่เย้ายวน ลังเลว่าจะเริ่มตัดจากมุมไหนดี
ตอนนี้เอง ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติทั้งสามก็สังเกตถึงความรู้สึกอันน่าขนลุก แล้วเงยหน้ามองด้านบนภัตตาคารเป็นตาเดียว
ดอกกุหลาบทุกดอกในคฤหาสน์เองก็พากันกราดเกรี้ยวขึ้นมาพร้อม ๆ กัน พวกมันงอกหนามแหลมน่ากลัว และลูกตาก็บีบตัวกันออกมาจากในกลีบดอก พวกมันสั่นไหวอย่างรุนแรงด้วยความกลัว ส่งเสียงที่ฟังไม่ได้ศัพท์ออกมา
จี้จือซู่ในตอนนี้ก็รู้สึกถูกกระตุ้นด้วยความหวาดกลัวรุนแรงไม่ต่างจากเหล่าดอกกุหลาบ เธอขนลุกและเหงื่อแตกซิกทั่วร่าง แรงกดดันมหาศาลที่ไม่คุ้นเคยปกคลุมไปทั่วคฤหาสน์ แล้วเธอก็ก้าวถอยหลังสองก้าว ม่านตาหดเล็ก
“ระดับเหนือนภาเหรอ?!”