เจ้าของร้านพิศวง - บทที่ 369 โจเซฟและไวลด์
บทที่ 369: โจเซฟและไวลด์
บทที่ 369: โจเซฟและไวลด์
ที่ใจกลางสนามรบมีกลิ่นเหม็นเน่าอยู่ทุกที่ซึ่งชวนให้คลื่นไส้
สายลม พายุหิมะ เลือดเนื้อ ฝุ่นผง และเศษซาก รวมกันเป็นคลื่นพายุหวีดหวิว ซากศพในสนามพลังอีเธอร์ถูกความมืดมิดที่ขยายตัวออกกลืนกินลงไปราวหล่มโคลนบนพื้น ด้วยเวทมนตร์ต้องห้ามที่ส่องประกายสีม่วงนับไม่ถ้วน เส้นเลือดสีแดงเต้นตุบ ๆ เวียนเลือดไปยังศูนย์กลางราวกับเสียงหัวใจของสิ่งมีชีวิตบางอย่าง
มนตราต้องห้ามเหล่านั้นเป็นพิธีบวงสรวงที่ใหญ่และน่ากลัวที่สุดเท่าที่ไวลด์เคยสร้างมาก่อน
โดยพิธีกรรมนี้จะทำให้ซากศพและวิญญาณของผู้ตายจากทั่วสนามรบกลายเป็นส่วนหนึ่งของพลังที่ทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ
ไวลด์สูดหายใจลึก ๆ แล้วสัมผัสได้ว่าพลังที่เพิ่มพูนของเขากำลังเติมเต็มไปทั่วร่างอีกครั้ง มันคำรามราวกับสายน้ำที่เชี่ยวกราก พร้อมทำลายล้างทุกสิ่ง แต่ร่างกายของเขากลับกลายเป็นภาชนะที่พังทลายเพราะไม่อาจเก็บพวกมันไว้ได้หมด
แต่เขาก็ทิ้งร่างกายนี้ไปโดยสมบูรณ์ไม่ได้ และความสามารถฟื้นตัวความเร็วสูงก็ทำให้เป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะทำลายตัวเองอย่างสมบูรณ์และปลดปล่อยพลังเหล่านี้ออกมาจนถึงขีดสุด
“เฮ้อ…”
เขาพ่นลมหายใจที่ร้อนระอุออกมาแล้วเหลือบมองชุดคลุมสีดำกับสูทเก่า ๆ ที่ขาดวิ่น ร่างกายที่เต็มไปด้วยบาดแผลน้อยใหญ่ และแขนที่หักเละเปื้อนเลือดของเขา
เลือดยังคงหยดอย่างต่อเนื่อง ก้อนเลือดปูดขึ้นมาจากแผลของเขาอย่างรวดเร็วเพื่อต่อต้านปราณดาบที่แหลมคมเหนือแผล ฟื้นฟูตัวเองอย่างยากลำบาก
ไวลด์บิดคอ มองดูแผลที่ไม่อาจรักษาหรือไม่ขาดออกจากกันได้สักทีอย่างครุ่นคิด…
แควก…!
เสียงฉีกกล้ามเนื้อชวนสยองดังขึ้น แล้วเขาก็ฉีกแขนของตัวเองโยนลงพื้น ปล่อยให้ความมืดกลืนกินมันเข้าไป
ตึง!
วินาทีต่อมา ร่างที่สว่างไสวด้วยสีขาวโพลนก็หล่นลงจากฟ้า ในมือมีดาบยาวที่สามารถตัดมิติ ฟันลงมาราวกับอุกกาบาตที่ลุกไหม้
เพลิงคลั่งโอบล้อมรอบร่างของชายร่างยักษ์ในชุดเกราะ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยโทสะ มองไวลด์แล้วตะโกนอย่างโกรธเคือง “ไวลด์! ฉันเจอแกแล้ว! แกหนีไม่ได้แน่!”
ผู้มาเยือนย่อมเป็นโจเซฟ…
หลังจากที่สู้รบปรบมือกันอยู่นาน ไวลด์ที่ถูกตัดแขน ฉวยโอกาสหนีไปพักฟื้นภายใต้สนามอีเธอร์ที่ปั่นป่วนได้สองสามวินาที ก่อนที่โจเซฟจะตามมาทัน
ไวลด์ยิ้มเหยียด ความมืดที่ดูเหมือนหล่มโคลนรอบตัวเขาสั่นกระเพื่อมอยู่ครู่หนึ่ง แล้วมือยักษ์ก็โผล่ออกมาฟาดเข้าใส่โจเซฟทันที
ตู้ม!
มือยักษ์ที่สร้างจากแขนของเขาเองปะทะกับเพลิงที่โจเซฟสร้าง เกิดเป็นเสียงดังลั่น และคลื่นกระแทกก็พุ่งแหวกอากาศรอบ ๆ ตัวเขาทันที
แต่โชคไม่ดี โจเซฟคำรามลั่น ร่างของเขาลุกเป็นไฟสีขาว แล้วฟันคลื่นกระแทกใส่มือยักษ์นั้นอย่างแรง
ฉัวะ!
ดาบร่วงลงสู่พื้น คลื่นสีขาวยาวหลายร้อยเมตรฟันแหวกอากาศเป็นแนวแทยง ผ่าอีเธอร์ให้กระจายออกเป็นสองฝั่ง ทำลายทุกอย่างตลอดทางที่มันผ่าน และมันได้เปลี่ยนฝ่ามือยักษ์นั้นให้กลายเป็นธุลี
โจเซฟยืนขึ้น เงยหน้ามอง แล้วพบว่าไวลด์หายไปต่อหน้าเขาอีกครั้งแล้ว
เขายกดาบยาวของเขาขึ้นเป็นแนวนอน เหวี่ยงไปในทิศทางหนึ่งแล้วพูดอย่างเย็นชา “ไร้ประโยชน์น่าไวลด์ แกจะแค่หนีไปเรื่อย ๆ แบบนี้น่ะเหรอ?! ผ่านไปสองปีแล้ว แต่แกก็ยังเหมือนแต่ก่อนไม่มีผิด ยังเป็นแค่คนที่เอาแต่หนีหางจุกตูดเหมือนหมาหลงทาง”
ไวลด์ที่ปรากฏขึ้นอีกครั้งไกลออกไปหลายกิโลเมตรยืนหรี่ตาอย่างครุ่นคิด
ตอนนี้ พวกเขาทุกคนต่างรู้แล้วว่าสองฝ่ายแข็งแกร่งเท่าเทียมกัน และความสามารถในการรับรู้ก็ไม่ได้ต่างกันมากนัก
แต่สิ่งที่พวกเขาต้องการที่สุดในตอนนี้คือเวลา
ขั้นแรกของการเลื่อนขั้นสู่ระดับเหนือนภาคือการทำความเข้าใจกฎเกณฑ์ ทั้งคู่ถึงขั้นนี้แทบจะพร้อมกัน และยากจะหาความแตกต่างระหว่างทั้งคู่ได้
ส่วนขั้นที่สองก็คือสร้างเขตแดนเทพ
นี่คือขั้นที่สำคัญที่สุดของระดับเหนือนภา และยังเป็นที่มาของพลังของพวกเขาด้วย
พูดได้ว่าในศึกนี้ ใครก็ตามที่สร้างเขตแดนเทพได้ก่อนจะชนะ และทั้งสองฝ่ายต่างกำลังแข่งกับเวลา
การไล่ล่าของโจเซฟจะทำให้เขาไม่มีเวลามาคิดหาวิธีสร้างเขตแดนเทพ แต่ตัวเขาเองก็เช่นกัน
ในศึกที่เข้มข้นระดับนี้ ยากนักที่จะมีฝ่ายใดผ่ายหนึ่งผ่อนคลาย
พวกเขาต่างกำลังรอโอกาสอยู่…
ไวลด์ค่อย ๆ เผยรอยยิ้มชั่วร้ายออกมา
สาม…สอง…หนึ่ง!
หลังจากนับถอยหลังในใจจบ เขาก็ยกมีดพิธีกรรมด้วยมืออีกข้างที่เหลืออยู่อย่างสั่นเทาพร้อมจะร่ายคาถา จริงตามนั้น เขาเห็นร่างที่กำลังวิ่งมาเหมือนสายรุ้งสีขาวแหวกนภาของโจเซฟ การเคลื่อนที่ทางตรงของเขาทิ้งร่องรอยอีเธอร์ไว้จำนวนมาก เพลิงสีขาวทำให้โคลนโสมมที่ไวลด์เรียกมาที่พื้นระเหยไปทันที
โอกาสเหมาะ!
โจเซฟมองไวลด์ที่ดูจะอยู่กับที่เพราะความเหนื่อยแล้วแล้วคิดเช่นนั้น
เขาแสร้งยกดาบขึ้นฟันแนวราบ แต่ที่จริงเขากำลังรวบรวมอีเธอร์ในมือแล้วชกเข้าใส่ท้องของไวลด์อย่างรวดเร็ว ไวลด์ถูกชกอย่างเต็มแรงไปทันที ตามด้วยเปลวเพลิงแผดเผาสีขาวที่สร้างจากการระเบิดของอีเธอร์ ร่างของไวลด์เกือบครึ่งหนึ่งถูกแผดเผาเป็นเศษเสี้ยวปลิวละลิ่วทันที!
ทันทีที่ไวลด์ถูกต่อย รอยยิ้มที่ปากของเขาก็ขยายขึ้น ร่างของเขาก็กระดอนออกไปตามแรง
เนื่องจากสนามรบพังทลายลง หลังไวลด์ถูกต่อย เขาก็หมุนติ้วไปบนอากาศ ร่างทั้งร่างของเขาแตกสลาย จนกระทั่งชนเข้ากับขอบเสาที่เครื่องจำแลงอีเธอร์สร้างขึ้นในแดนนิมิตจำลอง
โจเซฟเปลี่ยนเป็นลำแสงพุ่งตามอย่างกระชั้นชิด เมื่อเห็นไวลด์ร่วงลงกับพื้นราวกับตายไปแล้ว เขาก็ยังไม่กล้าวางใจแม้แต่น้อย พร้อมจะออกไปฟันดาบส่งวิญญาณไวลด์
แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็รู้สึกลังเลในใจนิดหน่อย เพราะมันราบรื่นเกินไป…
ด้วยความชั่วร้ายเจ้าเล่ห์ของไวลด์ โจเซฟจึงลงมือสุดกำลังมาแต่แรก จนวันนี้
สองปีที่ผ่านมา เขาก็ไม่น่าจะถูกเอาชนะได้ง่าย ๆ นัก
โจเซฟลังเล การคาดเดาหนึ่งเด้งขึ้นมาในใจ
ทว่าจู่ ๆ ประสาทสัมผัสของเขาก็เคลื่อนไหว ความคิดถูกขัดจังหวะ และดูเหมือนจะได้รับผลจากบางอย่างโดยไม่ตั้งใจ เส้นด้ายแห่งชะตากรรมเส้นหนึ่งดึงความสนใจของเขาไปโดยไม่รู้ตัว
…เมลิสซ่า?!
หัวใจของโจเซฟเต้นผิดจังหวะแล้วพลันหันไปมอง เขาเห็นลูกสาวสุดที่รักของตัวเองกำลังเข้ามาใกล้สนามรบจากนอกเขตแดนของเครื่องจำลองนิมิต!
พวกเขาต่อสู้กันมาถึงขอบเขตแดนโดยไม่รู้ตัว
และในระยะไม่ถึงหนึ่งกิโลเมตร ร่างของเมลิสซ่าและวินสตันก็ปรากฏให้เห็นชัดเจน ทั้งสองดูเหมือนจะขัดแย้งกันอยู่ วินสตันคว้าตัวเมลิสซ่าไว้แล้วพูดอะไรบางอย่าง
“เฮ้…โจเซฟ! ลองเดาดูสิ ถ้าฉันพุ่งออกไปตอนนี้ โอกาสที่ฉันจะฆ่าลูกสาวนายได้จะมีสักเท่าไรกันนะ?”
เสียงของไวลด์พลันดังขึ้นอย่างเฉยชา แต่เปี่ยมด้วยความมาดร้ายและการยั่วยุ
สีหน้าของโจเซฟแข็งค้างไปครู่หนึ่ง แล้วเขาก็อดแสดงสีหน้าบิดเบี้ยวออกมาไม่ได้
เมื่อเขาได้สติกลับมา เขาก็ชกไวลด์สุดแรง และเพลิงสีขาวก็ระเบิดบดบังสายตาไปแล้ว
วินาทีต่อมา เขาก็ตระหนักทันทีว่านี่คือแผนของไวลด์
แต่มันสายไปแล้ว!
มีเพียงไวลด์ที่เหลือเพียงร่างพัง ๆ ที่ปลิวไปอีกครั้ง เขาพ่นเลือดออกมาอีกคำแล้วหัวเราะเสียงดัง “ฮ่า ๆๆๆ ขอบใจนะโจเซฟ! ถ้าไม่ใช่เพราะพลังของนาย ฉันก็เกรงว่าคงทำลายร่างเน่า ๆ นี่ไม่ได้ซะที ยินดีต้อนรับสู่ระดับเหนือนภาที่แท้จริง!”
เปลวเพลิงเผาไหม้ร่างของไวลด์ หยุดสัญชาตญาณฟื้นฟูตัวเองของเขาโดยสมบูรณ์ เซลล์ที่เหี่ยวเฉาไม่อาจฟื้นตัวได้อีก ได้แต่เปลี่ยนไปเป็นความว่างเปล่าภายใต้เพลิงพิสุทธิ์ที่แผดเผา และสุดท้ายก็ไม่เหลืออะไรอีก
แต่ร่างของนักเวทมนตร์ดำนั้นต่างออกไปจริง ๆ
โจเซฟตาถลน เขาเพิ่งเข้าใจว่าไวลด์ใช้หมัดของเขาเมื่อครู่เพื่อทำความเข้าใจกฎเกณฑ์และสร้างเขตแดนเทพของตัวเองได้อย่างสมบูรณ์แล้ว!
อัศวินแห่งแสงอาบอีเธอร์ทั่วร่าง รีบเดินตามออกไปคว้าตัวไวลด์แล้วระเบิดแสงสว่างออกมา!
แต่มันก็ยังสายเกินไป!
ก่อนที่มือของโจเซฟจะไปถึงตัว เขาก็เห็นว่าซากที่เหลือของไวลด์ถูกเพลิงอีเธอร์เผาไหม้ท่ามกลางเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง และในขณะเดียวกัน ร่างใหม่ก็ถูกสร้างขึ้นจากการถูกทำลาย
ไวลด์ผู้ใกล้ระดับเหนือนภาเพียงเอื้อมมือได้ทิ้งร่างมนุษย์ที่ผูกมัดเขาอยู่
เร็วเข้า เร็วสิ!
โจเซฟหายใจหอบ เขาพยายามสุดชีวิตที่จะเร่งความเร็วให้สูงกว่าเวลา
ร่างของไวลด์พองขึ้นอย่างรวดเร็วในความว่างเปล่า และร่างที่อยู่ใต้ผ้าคลุมก็ไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไปแล้ว แต่เป็นก้อนเนื้อและแตกหนวดที่เต็มไปด้วยดวงตาสีแดงวาววับออกมานับไม่ถ้วน
นักเวทมนตร์ดำเสียร่างของเขาไป กลายเป็นชิ้นเนื้อใหญ่ที่วางอยู่บนพื้น มีเพียงศีรษะที่แตกร้าวดูไม่เข้ากับร่างกายกำลังแย้มยิ้มอย่างเย้ยหยันอยู่เหนือกองหนวด
ตัวตนระดับเหนือนภาทั้งหมดต่างมีกฎเกณฑ์ของตนเอง และตอนนี้ สนามกฎเกณฑ์แห่งใหม่ก็ถูกสร้างขึ้น
โจเซฟตาถลน เส้นเลือดปูดขึ้นบนหน้าผากและแขนของเขา เขาร้องคำราม อยากจะฆ่าอีกฝ่ายเสียก่อนจะเปลี่ยนร่างเสร็จสมบูรณ์
เขายกดาบในมือขึ้น ทุกที่ที่คมดาบตวัดถึงเริ่มลุกไหม้อย่างรวดเร็ว อีเธอร์ชนกันปะทุเป็นเพลิงพิสุทธิ์สว่างไสว หากคนธรรมดามองมันตรง ๆ ลูกตาคงระเหิดทันทีแน่นอน
เบื้องหลังเขา เงาร่างมนุษย์ขนาดมหึมาที่สร้างจากการควบแน่นของแสงก็กำลังทำท่าทางเดียวกันกับเขา ซึ่งขนาดของมันเทียบได้กับนักเวทมนตร์ดำที่ดูเหมือนก้อนเนื้อ
ทว่าสองร่างที่ยืนประชันกันอยู่ช่างต่างกันโดยสิ้นเชิง
“โจเซฟ ศึกของฉันกับนายกำลังจะจบแล้ว และชะตาก็มาถึงจุดจบแล้วนะ…”
หัวส่วนสุดท้ายของไวลด์ถูกเปลวไฟสีขาวแผดเผา เสียงของเขาดังขึ้นเหมือนระฆังผุ ๆ ที่ถูกตีก็สั่นก้องร้องป่าวไปทั่วสนามรบ…
“ฉันถูกทำลายแล้ว”
“การทำลายคือสิ่งที่ฉันไล่ตามมาตลอด แต่ฉันกลับไม่สามารถเข้าถึงความหมายที่แท้จริงของมันได้เสียที เพราะฉันไม่สามารถประสบมันกับตัวเองได้ แล้วตอนนี้ ขอบใจนะโจเซฟ ความตายเป็นเรื่องที่ใกล้เคียงกับมันที่สุดแล้ว”
“ทุกอย่างมีผลของมัน และพลังแห่งจุดจบก็อยู่ในมือฉันแล้ว”
“โจเซฟ” ไวลด์ใช้น้ำเสียงที่ดูเหมือนจะเรียกเพื่อนของเขา แต่เสียงของเขาแหบพร่า เฉียบคม และน่าหวาดหวั่นแบบที่ทำให้ผู้ฟังเสียสติได้ เขาพูดยิ้ม ๆ
“นายกำลังจะสูญเสียทุกอย่าง ความตายของผู้พ่ายแพ้ ฉันเห็นมันชัดแจ๋วเลย!”