เจ้าของร้านพิศวง - บทที่ 38 พระบารมีของท่านผู้นั้นคือพระผู้เป็นเจ้า
บทที่ 38 : พระบารมีของท่านผู้นั้นคือพระผู้เป็นเจ้า
“ซิลเวอร์…”
จี้จือซู่เผลอพึมพำชื่อนั้นออกมา
ในฐานะนักล่ามือฉมังและผู้เกลือกกลั้วอยู่ในโลกอมนุษย์มาสักพักแล้ว จี้จือซู่ย่อมเคยได้ยินชื่อนี้เป็นธรรมดา
ในโบราณกาล นานตั้งแต่ก่อนยุคยักษา เอลฟ์ และมังกรโบราณจะถือกำเนิดขึ้น สี่แม่มดผู้ทรงอำนาจอันน่าเหลือเชื่อมีตัวตนอยู่บนโลกมาตั้งแต่สมัยยังไร้รูปร่าง
พวกเขาคือแม่มดบรรพกาลทั้งสี่
ซิลเวอร์ แม่มดผู้ควบคุมเหมันต์
ไลฟ์ แม่มดผู้ควบคุมอัคคี
วัลเพอร์กิส แม่มดผู้ควบคุมรัตติกาล
ฟราซินัส แม่มดผู้ควบคุมพฤกษา
พวกเขาแยกเขตแดนแห่งความฝันและความจริง แถมยังเป็นผู้เสกสรรกำแพงสายหมอกที่ครอบคลุมทั่วดินแดนอาซีร์
เพื่อปกปักคุ้มครองผู้คนในกำแพงจากการบุกรุกของสัตว์มายา
พวกเขาล้วนมีอำนาจมากล้นเหนือทุกสิ่งเสียจนทุกคนต่างหวาดกลัว
เมื่อผู้คนเหล่านั้นที่พึ่งพาแม่มดบรรพกาลได้พบกับความจริง ก็ต่างหวาดกลัวหลังได้เห็นอีกด้านของพวกนาง พวกเขาจึงพร้อมใจกันออกจากการปกป้องของแม่มดบรรพกาลโดยการสืบทอด
เมื่อราชอาณาจักรเอลฟ์หายไป เหล่าแม่มดบรรพกาลผู้หลับใหลอยู่ในแดนนิมิตย่อมเลือนหายตามกาลเวลา รวมถึงความเชื่อของผู้คนก็แปรเปลี่ยนไปด้วย
อย่างเช่น เมื่อเวลาผันผ่าน ในสังกัดโบสถ์แห่งโรคระบาด ผู้เลื่อมใสในกำแพงสายหมอกได้สลัดแม่มดบรรพกาลออกจากหนึ่งในความศรัทธาของพวกเขา
ตอนนี้ กลายเป็นว่าในคำสอนเทศนากล่าวไว้เพียงว่า กำแพงสายหมอกนั้นมีมาแต่โบราณกาล และเป็นตัวตนอันศักดิ์สิทธิ์ซึ่งไม่เกี่ยวกับแม่มดเลยแม้แต่น้อย
แม้แต่ผู้ได้รับการเจิมโดยค่ำคืนแห่งวัลเพอร์กิสเอง ก็ถูกบิดเบือนจุดประสงค์แต่แรกเริ่ม กลายเป็นองค์กรซึ่งหันคมดาบแก่คนชั่ว นักวิชาการของสมาคมแห่งสัจธรรมและอัศวินแห่งหอพิธีกรรมต้องห้ามก็เช่นกัน
ดังนั้น จี้จือซู่จึงตกใจพอสมควรที่เอลฟ์ตนนี้มาเพื่อตามหาแม่มดบรรพกาลจริง ๆ เธอขมวดคิ้วพร้อมเอ่ยถาม “ทำไมมาที่นี่ล่ะ นอร์ซินเป็นเมืองที่ถูกพัฒนาไปมากแล้วนะ เครือข่ายการตรวจจับพลังงานอีเธอร์ของสมาคมแห่งสัจธรรมครอบคลุมไปทั่วเมืองอย่างแม่นยำ เป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ ที่เมืองแห่งนี้จะมีโลกนิมิตของแม่มดบรรพกาลน่ะ”
ตอนนี้ รอยแยกใหญ่ที่สุดของโลกนิมิตอาจเป็นมิติแห่งสัตว์มายาที่กำลังจะฟักตัวออกมาจากกระจกมนตรา
แต่นั่นไม่มีทางเป็นโลกนิมิตของแม่มดแน่นอน แม่มดบรรพกาลสามารถออกมาจากโลกนิมิตได้อิสระด้วยความคิดเพียงเท่านั้น ของอย่างกระจกมนตราเรียกว่าไม่จำเป็นเลยสักนิดเดียว
“อ่าา…” โดริสทำหน้าปั้นยากขึ้นมา “ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน คำทำนายว่าไว้แบบนี้ เพราะได้รับคำชี้นำมาว่าท่านหญิงซิลเวอร์ผู้ควบคุมเหมันต์และน้ำแข็งจะออกจากโลกนิมิตมาสู่เมืองเหล็กนอร์ซิน แล้วเปิดเผยผู้ที่ได้รับคำอำนวยพรแห่งดารา”
จากนั้นเธอจึงใช้นิ้วเคาะขมับเป็นจังหวะ “เจ้าน่าจะรู้ว่าคำทำนายเหล่านี้ชอบมาแบบคลุมเครือ แถมบางคราก็มีแต่อะไรไร้สาระอยู่เรื่อย”
จี้จือซู่อดไม่ได้ที่จะพยักหน้าเห็นด้วย “นั่นสินะคะ”
เธอสะบัดผ้าห่มขึ้น และจัดแจงตัวเองให้นั่งข้างเตียงเพื่อขยับเขยื้อนกล้ามเนื้อ “แล้วคิดจะอยู่ที่นี่นานเท่าไรเหรอคะ นอร์ซินที่มีทั้งดีและเลวปะปนกันแบบนี้ไม่ปลอดภัยสำหรับเอลฟ์เลยนะคะ”
“อีกอย่าง คุณก็น่าจะสัมผัสเหตุการณ์ประหลาดตอนนี้ได้แล้วด้วย” จี้จือซู่พึมพำพลางชี้ไปข้างนอก
โดริสลุกขึ้นมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “เจ้าหมายถึงฝนที่ตกหนักนี่น่ะเหรอ ไม่มีปัญหาเลย ข้ามีความอดทนต่อสภาพแวดล้อมโสโครกน่ะ เพราะงั้นไม่เป็นไรจริง ๆ”
“ไม่ค่ะ ไม่ใช่แบบนั้น…” จี้จือซู่เอ่ยด้วยสีหน้าพูดไม่ออกบอกไม่ถูก เธอไม่รู้ว่าตนควรอธิบายอย่างไรดี
กระจกมนตรานั้นประหลาดในแง่ที่มันมีพลังในการล่อลวงจิตใจคนพอกันกับการสร้างสัตว์มายาอันแข็งแกร่งด้วยเงื่อนไขพิเศษ
มันถือเป็นอาติแฟกต์อันตรายที่จะดึงดูดความสนใจโดยไม่จำเป็น และการเก็บเงียบไว้ก่อนที่เรื่องจะเกิดถือเป็นสิ่งสำคัญมากเพื่อไม่ให้สถานการณ์บานปลาย
เนื่องจากอากาศผิดปกติ ทางเข้าออกของนอร์ซินจึงถูกปิดลงตั้งแต่เมื่อหลายวันก่อน รถรากับผู้คนจากข้างนอกถูกห้ามไม่ให้เข้ามา
เอลฟ์ตรงหน้าจี้จือซู่นี้ต้องเข้ามาที่นี่ก่อนฝนจะตกแน่ จึงเป็นเรื่องเข้าใจได้หากเธอจะไม่รู้อะไรเลย ทว่าเอลฟ์ที่มาเพื่อตามหาผู้ปกปักษ์ก็ยากจะกล่อมให้กลับไป
จี้จือซู่จึงได้แต่แนะนำแบบอ้อม ๆ เท่าที่ตนจะทำได้ “เอาเป็นว่าช่วงนี้อย่าเพิ่งออกไปข้างนอกเลยดีกว่านะคะ สภาพการณ์ตอนนี้ถือว่าอันตรายมาก”
“จ้า ๆๆ…” โดริสรับคำก่อนยอกย้อนกลับ “เจ้าดูจะอยู่ในสถานการณ์อันตรายมากกว่าข้าเสียอีก เหตุใดจึงกลายเป็นเจ้าที่แนะนำข้าแทนเสียได้”
จี้จือซู่ยกนิ้วขึ้นมาลูบต่างหูสีแดงสักพัก ก่อนนัยน์ตาสีเหล็กของเธอจะเต็มไปด้วยความจริงจัง “เพราะว่าฉันคือนักล่าที่เพ่งมองลงไปในนรกแล้วกลายร่างเป็นปีศาจค่ะ ทุกคืนที่คบเพลิงถูกจุดขึ้น ฉันก็จะไปล่าสัตว์อสูรเพื่อปกป้องคนดีและคนซื่อสัตย์ นั่นเป็นหน้าที่ของฉันค่ะ”
“พลังของนักล่าไม่เคยมีไว้เพื่อตัวเองเลยสักครั้งค่ะ”
ยิ่งสู้มากเท่าไรก็ยิ่งโฉบเฉี่ยวไปมาระหว่างความเป็นและความตายมากเท่านั้น ตอนนี้เธอเริ่มเข้าใจทุกอย่างที่เจ้าของร้านหนังสือมอบให้เธอแล้ว
การควบคุมพลังของสัตว์กระหายเลือดคือการสอนให้เธอถ่อมตน
เจตจำนงเหล็กกล้าคือการส่งมอบความเชื่อมั่นอันแรงกล้า
เธอไม่รู้สึกไขว้เขวอีกแล้ว การเดินตามรอยเท้าของคุณหลินคือความปรารถนาสุดท้ายของหญิงสาวด้วยซ้ำ
โดริสรู้สึกสับสนเล็กน้อย แต่ก็ตอบกลับด้วยรอยยิ้มบาง ๆ “ข้าเห็นบรรพบุรุษของเจ้าในตัวเจ้า นี่สิความหมายที่แท้จริงของการเป็นนักล่า ตั้งแต่โบราณจวบจนปัจจุบัน”
จี้จือซู่สัมผัสได้ว่าคำพูดและน้ำเสียงของเอลฟ์สาวฟังดูผิดแผกไปนิดหน่อย สีหน้าเธอจึงเปลี่ยนไปเล็กน้อย
โดริสพลันดมฟุดฟิดในอากาศแล้วเลิกคิ้วขึ้น “ไม่นะ ซุปข้า!”
จี้จือซู่มองเอลฟ์วิ่งวุ่นอยู่กับหม้อและกระบวยราวภรรยาแต่งใหม่แสนเงอะงะ ตอนนั้นเองที่หญิงสาวรู้สึกว่าตนคงมองผิดไป
ฉันอาจจะเหนื่อยเกินไปละมั้ง จี้จือซู่คิดในใจ
เนื้อต้มชิ้นใหญ่และกลิ่นเครื่องเทศผสมเคล้าไปกับกลิ่นซุปกระดูกพริกไทย ช่างเป็นกลิ่นหอมอบอวลชวนน้ำลายสอนัก
ซุปร้อน ๆ ในชามใหญ่ถูกวางไว้บนโต๊ะ จากนั้นโดริสก็ถอดผ้ากันเปื้อนและคลี่ยิ้มออกมา “ลองสิ! ซุปเนื้อสุนัขที่ข้าทำขึ้นเป็นพิเศษเพื่อคนป่วยเช่นเจ้า”
ด้านในผ้ากันเปื้อนคือชุดเดรสสีขาวสไตล์เอลฟ์ ซึ่งทำให้เธอดูสง่าราศีจับ ทรวงอกสล้างคู่นั้นราวกับเป็นสัญลักษณ์ความใจกว้างของเอลฟ์ไม่มีผิด สิ่งที่เธอต้องการมีแค่มาลัยดอกไม้เพื่อเปลี่ยนจากห้องอพาร์ตเมนต์โทรม ๆ นี้เป็นป่าอันชวนตรึงใจ
แต่…เนื้อหมาเนี่ยนะ?
แม้ว่าเอลฟ์จะไม่ใช่มังสวิรัติและเป็นที่รู้กันดีว่าเป็นนักล่าอันยอดเยี่ยม แต่เนื้อหมาก็ออกจะเกินไปหน่อยอยู่ดี
จี้จือซู่เดินไปที่โต๊ะด้วยความสนเท่ห์แล้วนั่งลง หลังจากลองซดซุปไปหนึ่งคำ ดวงตาของเธอก็พลันเป็นประกาย “อร่อยมากเลยค่ะ!”
โดริสฉีกยิ้มกว้าง “ข้ามั่นใจในฝีมือการปรุงอาหารของข้านัก อีกอย่างนี่ล้วนเป็นวัตถุดิบที่เพิ่งถูกส่งมาที่นี่เมื่อไม่นานนี้เองด้วย”
“วกกลับมาเรื่องเมื่อครู่ก่อน…ในเมื่อเจ้าเป็นนักล่าแห่งนอร์ซิน เจ้าย่อมรู้จักที่นี่ดี การออกไปข้างนอกตอนนี้ถือว่าเป็นเรื่องยากยิ่งนัก ข้าหวังว่าเจ้าจะให้เบาะแสบางอย่างกับข้าเพื่อเป็นการตอบแทน”
จี้จือซู่สวาปามซุปชามนั้นจนเกลี้ยงแล้วพยักหน้า “นั่นเป็นทางที่ดีที่สุดละนะ…แต่ว่ากันตามตรง ฉันเองก็อยู่ในสถานการณ์อันตรายสุด ๆ และอาจช่วยคุณได้ไม่มากนัก”
เธอนิ่งไปเล็กน้อยก่อนเอ่ยต่อ “ถ้าฝนหยุดแล้ว ลองไปที่ร้านหนังสือซอยยี่สิบสามแล้วคุยกับเจ้าของร้านดูสิคะ บางทีคุณอาจจะได้พบกับคำตอบที่กำลังตามหาอยู่ก็ได้นะ”
โดริสกะพริบตาปริบ ๆ “ไม่ทราบว่าใครคือ…”
“ท่านผู้นั้นเป็นคนที่ฉันสาบานคำสัตย์ให้ค่ะ เป็นสิ่งมีชีวิตยิ่งใหญ่ที่มาเพื่อเผยแผ่พระกิตติคุณสู่โลกใบนี้ แม้ว่าฉันจะยังไม่เข้าใจอุดมคติของท่านผู้นั้นมากนัก แต่จากพระบารมีของท่านผู้นั้น เขาคือพระผู้เป็นเจ้า