เจ้าของร้านพิศวง - บทที่ 39 ซุปเนื้อสุนัขสด ๆ
“เขาคือพระผู้เป็นเจ้า”
ความคับข้องใจปรากฏขึ้นมาในดวงตาของโดริส แต่เธอก็รีบซ่อนมันในทันที
เธอยิ้มพลางคนซุปในถ้วยของตนโดยไม่ก้มมองมัน “ฟังดูเป็นสิ่งมีชีวิตที่ยิ่งใหญ่นัก ทว่า…”
“เพื่อให้คุ้นเคยกับชีวิตมนุษย์ ข้าได้ดูข้อมูลอมนุษย์ของสมาคมแห่งสัจธรรมของเมื่อปีที่แล้ว และเกรงว่าจะไม่มีสิ่งมีชีวิตแบบนั้นเลย…กระมังนะ”
“ในเมื่อมันอยู่ในนอร์ซินแห่งนี้ มิใช่ว่าสมาคมแห่งสัจธรรมควรจะมีบันทึกไว้สักหน่อยหรอกหรือ”
จี้จือซู่ดูไม่แปลกใจในความสงสัยของโดริสเลยสักนิด
เพราะอย่างไรเสีย ย่อมเป็นเรื่องน่ากังขาหากมีคนที่เพิ่งเจอหน้ากันมาเชื่อว่ามีสิ่งมีชีวิตผู้รู้ทุกสิ่งอย่างอยู่ในเมืองนี้
คำพูดที่เธอเอ่ย…มันช่างละม้ายคล้าย…
“หากไม่เป็นการรบกวน เจ้าพอจะสละเวลาสักนิดเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับนายของพวกเราและผู้ช่วยชีวิตเจ้าอย่างท่านหลินได้หรือไม่”
ฟังดูเหมือนเป็นมิชชันนารีพร้อมเปิดพระคัมภีร์อย่างไรอย่างนั้น เพียงแต่ปลายทางรับสารนั้นมีชีวิตยืนยาวและมีจิตศรัทธาเป็นของตัวเอง
เช่นเดียวกับที่ตัวจี้จื่อซู่ไม่เชื่อว่าแม่มดบรรพกาลจะลงมายังนอร์ซิน จึงไม่แปลกใจเลยหากโดริสจะสงสัยในความยิ่งใหญ่ของคุณหลินผู้นั้น
จี้จือซู่ส่ายหน้า “ฉันเข้าใจความแคลงใจของคุณค่ะ แต่สมาคมแห่งสัจธรรมไม่ใช่องค์กรที่โปร่งใสขนาดนั้น แถมยังมีอำนาจมากมายอยู่ในมือ โดยที่พวกเขาเองก็ไม่มีอำนาจเทพเจ้าให้พึ่งพิงด้วยใช่ไหมล่ะคะ”
“ฉันแค่อธิบายความจริงที่ได้เจอเองกับตัวเท่านั้นค่ะ ท่านหลินน่ะเป็นผู้สันโดษโดยแท้จนแม้แต่เครือข่ายสมาคมแห่งสัจธรรมยังไม่มีทางจะรับรู้ตัวตนของท่านได้เลย อีกทั้งท่านยังไม่เสาะหาชื่อเสียงเพื่อตัวเองอีกด้วยค่ะ”
นัยน์ตาของเธอเต็มไปด้วยความชื่นชม “อย่างที่ฉันพูดไปแล้ว ท่านผู้นั้นเป็นสิ่งมีชีวิตอันยิ่งใหญ่ที่มาเพื่อเผยแผ่พระกิตติคุณบนโลกใบนี้ค่ะ
“ในช่วงเวลาย่ำแย่กว่านี้ ท่านหลินเป็นคนนำตัวฉันออกจากความมืดมิดผ่านการชี้นำ พลัง และถ้อยคำให้กำลังใจค่ะ ต้องขอบคุณท่านจริง ๆ ที่ทำให้ฉันได้รับชัยชนะจากศัตรูและเริ่มการล้างแค้นได้”
เห็นเจตจำนงของจี้จือซู่ดังนั้น โดริสจึงตอบกลับ “ดูเจ้าจะมีศรัทธาอันแรงกล้าเสียจริง มิต่างจากความเชื่อของพวกเราต่อท่านหญิงซิลเวอร์สักนิด จนถึงตอนนี้พวกเรายังไม่ยอมแพ้ต่อพันธสัญญาที่ถูกสร้างในค่ำคืนแห่งวัลเพอร์กิสนั้นเลย”
“ท่านผู้นั้นได้มอบทุกอย่างที่ฉันมีในตอนนี้ค่ะ” จี้จือซู่ลุกขึ้นยืนพร้อมกับรอยยิ้มและฉีกผ้าพันแผลบนแขนออก
ผ้าพันแผลร่วงลงไปกองอยู่กับพื้น เผยให้เห็นผิวขาวเนียนเปล่งปลั่งไร้รอยแผลเป็น
โดริสได้ลงมือรักษาแผลนั้นด้วยตัวเอง เธอย่อมรู้ดีว่ามันรุนแรงราวกับคนธรรมดาโดนช้างรุมเหยียบ
ที่สำคัญ บาดแผลเหล่านี้เกิดขึ้นจากการโจมตีด้วยพลังอีเธอร์ซึ่งถ่วงการรักษาร่างกายอย่างมาก แต่ตอนนี้กลับไม่มีรอยแผลใดเหลืออยู่เลยในสิบนาทีหลังจากที่จี้จือซู่ตื่นขึ้นมา
นี่คือพลังขั้นสุดยอดของโลหิตสัตว์มายา
เมื่อจี้จือซู่ได้สติ สองหยาดชีวิตซึ่งก็คือเลือดและวิญญาณจะหมุนเวียน ทำให้ร่างกายของเธอจะถูกรักษาอย่างรวดเร็ว
หญิงสาวกำหมัด และพลังแฝงในกายมนุษย์ก็พลุ่งพล่านออกมา ไหลเวียนอยู่ในโลหิตอสูรอีกทีหนึ่ง
สีหน้าของโดริสเปลี่ยนไป เธอหยิบช้อนขึ้นมาตักซุปกินหนึ่งคำก่อนเอ่ยตอบ “ข้าเริ่มเชื่อเจ้าแล้วสิ เจ้าของร้านหนังสือ ท่านหลินที่เจ้าพูดถึงผู้นั้นดูเป็นคนน่าสนใจยิ่งนัก”
เธอสัมผัสได้ถึงเลือดอสูรอันแจ่มชัด หญิงสาวตรงหน้าเธอให้ความรู้สึกอันตรายราวกับผู้ล่าจ้องมองเหยื่อของมัน
จี้จือซู่คลายหมัดแล้วถอดผ้าพันแผลที่เหลือออก
“ไม่ต้องพูดก็เป็นเช่นนั้นอยู่แล้วค่ะ ท่านผู้นั้นโอบอ้อมอารีและใจดีที่สุดเท่าที่ฉันเคยพบเลย นี่ถือเป็นของขวัญล้ำค่าที่ท่านมอบให้ฉัน”
โดริสยิ้มให้ “เช่นนั้นแล้ว เมื่อฝนหยุดตก ข้าจะไปเยือนร้านหนังสือของเจ้าด้วยจิตใจเปิดกว้างแน่นอน ข้าหวังว่าเขาจะฟังคำขอของข้านะ”
จี้จือซู่ตอบรับอย่างดีอกดีใจ “ฉันเชื่อว่าคุณจะได้รับคำตอบอันน่าพอใจที่สุดค่ะ”
“ข้าก็หวังเช่นนั้น…” ริมฝีปากของโดริสยกยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย “แล้วเจ้าคิดจะทำอย่างไรต่อหรือ จะสู้กับศัตรูต่อ?”
จี้จือซู่พยักหน้า “ฉันจะติดต่อลูกน้องให้มารับฉันค่ะ ต้องขอเวลาอีกหน่อยถึงจะรู้สถานการณ์ปัจจุบัน เพราะงั้นคงจะอยู่ที่นี่ต่ออีกสักสองสามวัน ต้องขอรบกวนด้วยนะคะ”
“มิเป็นไรเลย” โดริสเอ่ยพลางเก็บจานชาม เธอชี้ไปทางพื้นที่ห้องอันเล็กจ้อยด้วยรอยยิ้มร่า “ข้าเตรียมน้ำอุ่นไว้ในห้องน้ำแล้ว เจ้าไปอาบน้ำทำให้ตัวผ่อนคลายเถิด นี่ถึงเวลาเปลี่ยนเสื้อของเจ้าแล้วด้วย”
เสื้อผ้าที่จี้จือซู่สวมอยู่ในตอนนี้ไม่ใช่ของเธอเอง คาดว่าโดริสอาจช่วยเธอเปลี่ยนเป็นชุดเดรสบางสีขาวตอนเธอสลบไป ทว่าการแสดงพลังเมื่อครู่ดูจะทำให้เลือดไหลเลอะผ้าพันแผลและเดรสสีขาวนี้
ดูเหมือนว่าโดริสได้แสดงน้ำใจและเตรียมน้ำอุ่นไว้ให้ก่อนแล้ว เอลฟ์มีน้ำใจสูงส่งจริง ๆ ด้วย
จี้จือซู่เอ่ยขอบคุณแล้วเดินตรงไปยังห้องน้ำโดยไม่ลืมหยิบไม้เท้าของเธอไปด้วย
โดริสฮัมเพลงพลางวางถ้วยชามลงในซิงก์ก่อนเปิดก๊อก รอยยิ้มเย็นยะเยือกผุดขึ้นมาบนใบหน้าหญิงสาวเมื่อเธอจ้องมองเงาสะท้อนในน้ำ
ก่อนจะยื่นนิ้วชี้ลงไปปาดผิวน้ำ “ไม่มีผู้ใดนอกจากแม่มดบรรพกาลที่จะเรียกว่าเป็นพระเจ้าได้จริง…ไม่มีปลาซิวปลาสร้อยแบบนั้นในโลกนี้หรอก หากเจ้ามิมีความสามารถมากพอละก็ โปรดอย่าถือโทษลูกค้าที่ไม่พอใจในการให้บริการก็แล้วกัน”
—
ข้างนอก ศพสัตว์อสูรของนักล่าถูกตรึงไว้ติดกำแพงโดยอีเธอร์ที่ถูกปั้นเป็นรูปธนู ก่อนจะสลายหายไปเป็นเถ้าจนสิ้น
ส่วนหัวสุนัขถูกโยนทิ้งไว้ในถังขยะด้านข้าง
สิ่งนี้นี่เองที่เป็นที่มาของซุปเนื้อสุนัขในวันนี้
—
“จนป่านนี้ยังไม่มีการติดต่อจากเจ้าตัวที่พวกเราส่งไปตามตัวยัยนั่นเลยเรอะ”
“ครับ ตอนนี้ได้รับการยืนยันแล้วว่าพวกเราขาดการติดต่อกับนักล่าระดับสูง ‘ผู้ไล่ตาม’ บั๊กเป็นที่เรียบร้อยครับ”
เฮริสหน้าตึง ดูท่าทางคุณหนูตระกูลจี้จะรับมือยากจริง ๆ เสียด้วย “การติดต่อหายไปจากที่ไหนกัน แล้วลัทธิสีชาดว่าไง?”
“…ไม่ทราบเลยครับ”
ปัง!
เฮริสทุบโต๊ะอย่างแรง หมดสิ้นซึ่งกลิ่นอายความสุขุม รอยตีนกายิ่งทำให้เขาดูเป็นคนร้ายกาจ ราวกับสิงโตแก่น่าสมเพชที่ไม่คิดจะยอมแพ้ต่อตำแหน่งจ่าฝูงอย่างไรอย่างนั้น จากนั้นเขาก็ตวาดออกมา “ที่บอกไม่รู้เนี่ยหมายความว่าไง!”
ลูกน้องของเขาตอบกลับเสียงสั่นรัว “ร่องรอยถูกลบไปหมดเลยครับ ขนาดใช้มนตราวินิจฉัยยังไม่ได้ผลเลย ก็ ก็เลย…”
เฮริสสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วสั่งเสียงเรียบ “หาต่อไป หาเธอจนกว่าจะพบ”
“ครับ”
“อ้อ อีกเรื่อง ชาร์ลส์ล่ะ? อาการเขาเป็นยังไงบ้าง”
“เขาตื่นแล้วครับ อูริจัดการรักษาศพไว้ดีมาก และ ‘สาธุคุณ’ มอร์เฟย์แห่งลัทธิสีชาดได้ฟื้นคืนชีพเขาขึ้นมา และเติมเต็มเจตจำนงให้แล้วครับ”
ในที่สุดก็มีข่าวดีกับเขาเสียที
“ชาร์ลส์…เจ้าศิษย์คนโปรดของไวลด์ตามข่าวที่เจ้าหนูท่อ รูเอนทิ้งเอาไว้ นั่นคงเป็นเหตุผลที่อูริฆ่ามันทิ้งเหมือนกันละมั้ง”
บางทีก็แอบคิดว่าถ้าเจอศิษย์ถูกปลุกขึ้นจากความตายเพื่อมาฆ่าเขา เขาจะทำท่ายังไงนะ?
หวังว่าเขาจะสามารถมอบพลังงานได้มากตามที่ต้องการเพื่อฟักกระจกมนตรานี่ได้…