เจ้าของร้านพิศวง - บทที่ 393 มติเอกฉันท์
บทที่ 393 : มติเอกฉันท์
บทที่ 393 : มติเอกฉันท์
เมื่อมูเอนหลับตาลงแล้วเปิดมันอีกครั้ง คลองจักษุก็ปรากฏภาพผืนน้ำสุดลูกหูลูกตาอันคุ้นเคย
เทียบกับในอดีต เธอในตอนนี้สามารถเข้าออกแดนนิมิตได้ตามใจปรารถนาแล้ว…
เธอเหยียบย่างลงบนผิวน้ำอย่างนุ่มนวล คลื่นกระเพื่อมสยายออกไปใต้เท้า เคลื่อนไหวโดยมีเธอเป็นศูนย์กลางก่อนจะหายลับไปยังจุดที่ผืนนภาจรดผืนน้ำ
ตอนนี้ มูเอนดูเหมือนเดินอยู่ท่ามกลางท้องฟ้ายามราตรี
เธอค่อย ๆ ยกมือขึ้น แล้ววงกลมว่าง ๆ ก็ปรากฏตรงหน้าสายตาของเธอ…
“ตะวันนิรันดร วินเซนต์ โปรดตามเส้นทางแห่งนิมิตมาพบฉันด้วย”
เสียงของมูเอนสะท้อนก้องแดนนิมิต ฟังดูรื่นหูราวเสียงน้ำแข็งแตกร้าว
ทันทีที่เธอพูดจบ อุณหภูมิในแดนนิมิตที่เหมือนท้องฟ้ายามราตรีก็เริ่มร้อนขึ้นช้า ๆ และผืนน้ำสงบดั่งกระจกที่ใต้เท้าก็เริ่มพังทลาย รัตติกาลค่อย ๆ สลายหาย และมวลดาราที่สะท้อนบนผืนน้ำก็เริ่มแหลกเป็นเสี้ยว
ไกลออกไป ณ จุดบรรจบแห่งนภาและวารี ดวงเพลิงร้อนยิ่งยวดราวดวงอาทิตย์ค่อย ๆ ลอยขึ้นมา มูเอนมองดวงเพลิงร้อนระอุนั้นด้วยสายตาเฉยเมย แต่โชคไม่ดี ความร้อนของมันไม่อาจส่งถึงดวงตาของมูเอน ราวกับถูกค่ำคืนที่มองไม่เห็นกลืนกินไปจนหมด
ในแดนนิมิตของวัลเพอร์กิส กระทั่งดวงอาทิตย์อันดุร้ายก็อ่อนโยนราวกับเด็ก
“เจ้าแห่งรัตติกาล แสงจันทร์อนันตกาล ท่านมูเอน วินเซนต์มาตามคำเรียกของท่านแล้ว”
ดวงไฟยักษ์แผดเผา ส่งเสียงที่ฟังไม่เหมือนมนุษย์ออกมา แต่น้ำเสียงของเขาอ่อนโยนและหนักแน่น
ใบหน้างดงามเย็นชาของมูเอนถูกฉาบด้วยสีแดงทองของดวงเพลิง มันเป็นดวงเพลิงยักษ์ที่มีจุดด่างดำน่าเกลียดและพื้นผิวสีส้มเข้มกระดำกระด่าง ที่ขอบมีเสาเพลิงขนาดยักษ์หมุนวนรอบ ๆ
จุดบอดบนดวงอาทิตย์ขนาดยักษ์เคลื่อนช้า ๆ ผ่านชั้นบรรยากาศ ขยายตัวใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ พลางหลอมรวมกันเป็นรอยแยกขนาดใหญ่ท่ามกลางคลื่นร้อนระอุ จากนั้นก็หดตัวจนแทบมองไม่เห็น ก่อนจะหายไป
ดวงเพลิงที่เหมือนดวงอาทิตย์นี้ถูกรายล้อมโดยดวงเพลิงขนาดเล็กนับพัน ๆ ดวง แต่ละดวงลอยสูงหลายเมตร สร้างเป็นภาพตระการตาอันชวนลืมหายใจ
ในทางกลับกัน ร่างของมูเอนดูเล็กจ้อยแทบมองไม่เห็น
“สังฆราชวินเซนต์ ฉันมาเพื่อบอกคุณบางเรื่อง”
มูเอนเงยหน้าขึ้นเผชิญดวงตะวันอันเจิดจ้า ก่อนจะพูดอย่างนอบน้อม “เจ้าของร้านหลินให้งานใหม่มาค่ะ”
เมื่อดวงเพลิงยักษ์ได้ยินชื่อเจ้าของร้านหลิน มันก็สั่นไหวเล็กน้อย จากนั้นดวงเพลิงนับพัน ๆ รอบ ๆ มันต่างร่วงลงพร้อม ๆ กันราวโค้งคำนับ ฟังอย่างตั้งใจ
มูเอนพูดต่อ “เจ้าของร้านหลินต้องการเปิดร้านสาขาในเขตกลาง และฉันจะเป็นผู้จัดการสาขา เพื่อที่จะสร้างสาวกให้มากกว่านี้และเข้าสู่เขตกลางอย่างเป็นทางการ โปรดแจ้งผู้นำระดับสูงตัวจริงของนอร์ซินให้รับทราบถึงการจุติของเขา”
วินเซนต์ฟังข้อความของมูเอน และเมื่อได้ยินว่าจะมีการเปิดสาขาใหม่ ร่างของเขาก็สั่นไหวอย่างรุนแรง อากัปกิริยาภายนอกที่เห็นคือจุดแสงสีดำนับไม่ถ้วนกำลังสั่นไหว
“ในที่สุด…ก็ถึงเวลาก้าวสู่จุดนี้แล้ว”
การเปิดสาขาหมายถึงการมอบอำนาจ สำหรับบางเรื่อง มูเอนสามารถตัดสินใจได้เองแล้ว ซึ่งหมายความว่าศาสนาแห่งตะวันจะมีอิสระและสิ่งที่ต้องทำมากขึ้นโดยไม่ต้องคอยพะวง
เขาถอนหายใจ จากนั้นก็พูดด้วยความรู้สึกผิดเล็กน้อย “ศาสนาแห่งตะวันยังทำได้ไม่ดีพอ ถ้าผมทำงานหนักกว่านี้ สาวกคงไม่ต้องคอยพะวงเกี่ยวกับเจ้าของร้านหลิน”
“ไม่หรอกค่ะ ศาสนาแห่งตะวันเพิ่งก่อตั้งใหม่ คุณทำงานหนักมากแล้ว ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่คุณทำได้ดีมากด้วย” มูเอนปลอบใจ เธอขมวดคิ้วอีกครั้ง เอียงคอคิด “ที่จริง สาวกจากภารกิจเผยแพร่ศาสนาของคุณมีพอแล้วล่ะค่ะ ศาสนาแห่งตะวันกลายเป็นศาสนาหลักของนอร์ซินไปแล้ว แต่เจ้าของร้านหลินต้องการหาผู้อ่านที่ชอบอ่านหนังสือเพิ่มขึ้นอีก…”
มูเอนกล่าวว่า “บางที…เขาอาจไม่ได้ไม่พอใจกับจำนวนก็ได้นะคะ?”
เธอครุ่นคิด “เจ้าของร้านหลินบอกฉันว่า คนบางคนไม่ได้ชอบหนังสือจริง ๆ หรอก แต่เพราะพวกเขาคิดว่าพวกเขาสามารถหาเส้นทางที่ดีจากการอ่านพวกมันได้ แต่เขาไม่ได้ชอบหนังสือเพราะผลประโยชน์หรือกำไร เขาแค่ชอบมันจริง ๆ”
“เขายังพูดด้วยว่า ‘มีคลังสมบัติอยู่ในหนังสือ และเพชรนิลจินดามากมาย’ หรืออะไรประมาณนั้น แต่พูดตรง ๆ ฉันก็ไม่ค่อยเข้าใจมันหรอกค่ะ”
มูเอนย้อนระลึกและพูดถึงคำพูดปลอบประโลมที่เจ้าของร้านหลินเคยพูด เธอและหลินเจี๋ยพูดคุยกันบ่อยครั้ง สำหรับเธอ หลินเจี๋ยก็เหมือนพ่อซึ่งนำทางและปกป้องเธอจริง ๆ
แม้ว่าเธอจะได้รับพลังและความทรงจำของวัลเพอร์กิส กลายเป็นค่ำคืนแห่งใหม่ จิตใจของเธอก็ยังคงเป็นมนุษย์ประดิษฐ์ธรรมดาคนหนึ่ง โดยเฉพาะเมื่อฟังคำพร่ำสอนของหลินเจี๋ย เธอสัมผัสได้ถึงความรู้ของอีกฝ่ายและความตื้นเขินของตัวเองเสมอ คำพูดบางคำและบางประโยคชวนให้ไม่เข้าใจหนักขึ้นอีก ดังนั้นเด็กสาวจึงทำได้เพียงเขียนมันแล้ววิเคราะห์อย่างระมัดระวัง
วินเซนต์อ่านข้อความนี้อย่างเงียบ ๆ หลังจากครุ่นคิดสักพัก เขาก็พูดกับมูเอน “ท่านมูเอน ผมมีความคิดบื้อ ๆ เกี่ยวกับคำพูดพวกนี้อยู่นะครับ”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ” มูเอนพยักหน้า
“เจ้าของร้านหลินคงจะคิดว่าตัวผมในตอนนี้ และเหล่าสาวกที่ขยายขึ้นยังไม่บริสุทธิ์พอ การกระทำของพวกเขายังไม่ดีพอ ไม่ใช่คนที่ชอบหนังสือจริง ๆ แต่พวกเขาคิดว่าหนังสือของเจ้าของร้านหลินจะมอบผลประโยชน์ที่พวกเขาแสวงหาให้ได้”
“เจ้าของร้านหลินต้องการคนบริสุทธิ์ครับ”
มูเอนกะพริบตา…
“ถ้าเป็นแค่การขยายฐานสาวก ผมทำได้ แต่มันยากถ้าต้องการสาวกที่บริสุทธิ์ และพวกเขาก็เป็นแค่คนตาบอดที่มองหนังสือของเจ้าของร้านหลินเป็น ‘คลังสมบัติ’ กับ ‘เพชรนิลจินดา’ ไม่ได้เชื่ออย่างจริงใจ” หลังจากครุ่นคิดอย่างรอบคอบ สังฆราชวินเซนต์ก็สรุปออกมาเช่นนี้
“อืม…คุณพูดถูก”
มูเอนพยักหน้าอย่างครุ่นคิด
“ถ้าคุณพูดแบบนั้น เหตุผลที่ทำไมเจ้าของร้านหลินจัดศึกระหว่างโจเซฟกับไวลด์ก่อนหน้านี้ก็กระจ่างแล้ว”
วินเซนต์พูดอย่างจริงจัง
“…มันก็แค่เพื่อตรวจสอบว่าผู้มีพลังเหนือธรรมชาติในนอร์ซินมีการกระทำที่บริสุทธิ์และเป็นธรรมหรือไม่?”
จู่ ๆ มูเอนก็ตระหนักว่าพูดอะไรออกไป จากนั้นจึงพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ว่าแล้วเชียว ทุกการร้อยเรียงของเจ้าของร้านหลินมาจากการมองการณ์ไกล”
“ใช่ ถูกต้องแล้ว แต่ผลก็คือ เจ้าของร้านหลินต้องไม่พอใจแน่นอน ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่เปิดสาขาใหม่”
ดวงเพลิงปล่อยความร้อนสูง สูดพายุสุริยะแล้วฉายแสงออกมา พูดด้วยเสียงต่ำ “คนธรรมดาพวกนั้นทำให้เจ้าของร้านหลินผิดหวัง”
“คนพวกนี้มีแต่ความโลภและผลประโยชน์ในใจ กระทั่งอยากใช้เจ้าของร้านหลิน ไม่มีความผิดถูกในสายตา ตัวตนเช่นนี้ไม่มีคุณสมบัติจะมีชีวิตอยู่ในโลก”
“ผมเข้าใจที่สิ่งที่เจ้าของร้านหลินต้องการจะสื่อแล้ว”
ดวงเพลิงยักษ์วินเซนต์ระเบิดความร้อนสูงยิ่งกว่าเก่า ทั้งแดนนิมิตรัตติกาลสว่างไสวราวกับเป็นเวลากลางวัน แล้วเสียงของเขาก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบ้าคลั่งขึ้นเรื่อย ๆ “สิ่งที่ศาสนาแห่งตะวันของเราต้องทำก็แค่ช่วยเจ้าของร้านหลินเผยแพร่คำสอน และหากเจ้าของร้านหลินไม่ต้องการผู้ไม่บริสุทธิ์ มันก็ได้เวลาดูกันแล้วว่าโลกควรได้รับการชำระล้างแล้วหรือยัง”
“มันขึ้นกับว่าเจ้าของร้านหลินจะนำทางนอร์ซินให้กำจัดส่วนเกินเหล่านี้อย่างไร พวกที่ไม่บริสุทธิ์พอควรหายไปจริง ๆ” มูเอนพูดเบา ๆ “กิ่งไม้ที่เหี่ยวเฉาควรถูกริดออก ไม่อย่างนั้นมันจะทำให้ต้นไม้ถูกดูดสารอาหารมากจนเกินไป…เจ้าของร้านต้องการคนที่ช่วยเขาได้ ไม่ใช่หนอนที่คอยชอนไชค่ะ”
ดวงเพลิงนับพันหมื่นรอบ ๆ วินเซนต์ลอยตัวขึ้นอย่างตื่นเต้นและลงมติเอกฉันท์ “และเราจะเป็นกรรไกรในมือเจ้าของร้านหลิน”