เจ้าของร้านพิศวง - บทที่ 395 วิธีดองผัก
บทที่ 395 : วิธีดองผัก
บทที่ 395 : วิธีดองผัก
ดวงตาสีน้ำเงินเข้มของโจเซฟมองอิวาน แซคคารีตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างพินิจ ยืนยันกับตัวเองว่าไม่เคยเจอคน ๆ นี้มาก่อน
แต่จากสายตาของแซคคารี เขาดูเหมือนจะรู้จักโจเซฟ ดวงตาของหลินเจี๋ยจับความกลัวในสายตาอีกฝ่ายได้
หลินเจี๋ยกะพริบตา อดรู้สึกแปลก ๆ ไม่ได้…โจรคนนี้ดูเหมือนจะรู้จักกับโจเซฟแฮะ
“ค…คุณ…”
แซคคารีรีบลุกขึ้น ก้าวถอยไปสองสามก้าวเงียบ ๆ
เขาเบิกตากว้าง ยิ่งอยากลืมแค่ไหน ยิ่งเคลือบแคลงการมีอยู่ของตัวเอง ยิ่งเห็นภาพที่เขาเคยประสบก่อนหมดสติไปชัดเจนขึ้น
เขายิ่งค้นพบว่าชายวัยกลางคนร่างสูงใหญ่ตรงหน้าก็คืออัศวินที่เขาเคยเห็นว่าเปลี่ยนเป็นดวงอาทิตย์ถลาลงจากฟ้าจากตอนที่เขาคืบคลานออกมาจากซากโรงงาน
โจเซฟหรี่ตา งุนงงกับปฏิกิริยาของชายคนนี้เล็กน้อย แต่หลังจากครุ่นคิดสักครู่ เขายังไม่แน่ใจอยู่ดีว่ารู้จักผู้ลี้ภัยที่น่าสงสารตรงหน้าเขาด้วยเหรอ
เขาได้ช่วยเหลือ และพบปะผู้คนมามากเกินไป
ความลังเลนี้ยิ่งทำให้แซคคารีกลัวหนักข้อขึ้น เขาก้าวถอยหลัง สะดุดล้มก้นกระแทก
“เอ๊ะ…อ๊ะ!”
หลินเจี๋ยวางหนังสือในมือ อยากจะลุกโดยไม่รู้ตัว
โครม!
“เหวอ…”
แซคคารีลนลานจนชนเข้ากับชั้นหนังสือที่หลินเจี๋ยใช้วางหนังสือที่ยังไม่ถูกจัดประเภท…
มูเอนและโจเซฟเบิกตากว้างขึ้นพร้อมกัน
แซคคารีเงยหน้ามองขึ้นไปโดยไม่ทันคิด แต่แล้วก็เห็นหนังสือที่ร่วงหล่นลงมาในคลองจักษุ จากมุมมองของเขามันดูราวตึกสูงตระหง่านถล่มลงมาตรงหน้า มันจะทะลวงออกจากห่อของมันหากถึงพื้นแน่นอน
สำหรับโจเซฟ หนังสือเหล่านี้คือพลังและความรู้ของเจ้าของร้านหลิน หนังสือเหล่านั้นทุกเล่มบันทึกสัจธรรมอันไม่ธรรมดา และไม่ว่าเล่มไหนก็สร้างผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับเหนือนภาได้ทั้งสิ้น
ต่อให้เจ้าของร้านหลินไม่ใส่ใจ แต่เขาไม่อาจละเลย หนังสือเหล่านี้ต้องไม่ถึงพื้น!
ดังนั้น ม่านตาของโจเซฟจึงหดตัว กล้ามเนื้อทั่วร่างเกร็งขึ้นทันที อีเธอร์แผดเผาออกมาจากภายใน ครอบคลุมทั่วทุกอณูในร่างกายของเขา กระทั่งบรรยากาศรอบตัวยังร้อนจนบิดเบี้ยวในพริบตา…
โจเซฟหายตัวไปแทบจะทันที ปรากฏขึ้นอีกครั้งข้าง ๆ หนังสือที่กำลังจะถึงพื้นในวินาทีถัดไป เหยียดแขนยาว ๆ ของเขากดกองหนังสือที่กำลังจะร่วงหล่นไว้
แต่เขามองข้ามเรื่องหนึ่งไป นั่นคือบาดแผลของเขายังไม่หายดี และตัวเองยังควบคุมพลังระดับเหนือนภาได้อย่างไม่เต็มที่
ดังนั้นในขณะที่อีเธอร์ซึ่งระเบิดออกมาจากในตัวเขากำลังปกป้องหนังสือเหล่านี้ มันกลับมีร่องรอยการปะทุพลังรั่วไหลออกไปอย่างหยุดไม่อยู่…
เปรี๊ยะ!
ทันทีที่เขาคว้าหนังสือไว้ได้ กำแพงด้านหลังชั้นหนังสือ…ร้าว
รอยร้าวที่ดูเหมือนหยากไย่ปรากฏขึ้นบนกำแพง และเศษฝุ่นร่วงลงมา
ในขณะเดียวกัน ผู้ลี้ภัยใกล้ ๆ ตัวโจเซฟรู้สึกเหมือนโดนทุบเข้าที่ท้ายทอย ทุกคนต่างสลบไสล
แต่!
ไม่มีหนังสือเล่มไหนตกถึงพื้น! สำเร็จอย่างงดงาม!
โจเซฟถอนหายใจโล่งอก ปาดเหงื่อบนหน้าผาก แล้วเก็บพวกมันกลับเข้าชั้นหนังสืออย่างนอบน้อม
หลินเจี๋ยเงียบไป
บั้นท้ายเจ้าของร้านหลินที่ยังไม่ทันลุกจากที่นั่งกลับลงไปที่เดิม วางมือใต้คาง ครุ่นคิดอย่างลึกล้ำ
ถ้าเขามองไม่ผิด คนที่พุ่งผ่านเขาไวดั่งแสง และตัวการทำกำแพงร้าวในวินาทีถัดมาก็คือโจเซฟ…
ไม่ ๆ บางทีสองคนนี้อาจจะไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลยก็ได้
หลินเจี๋ยครุ่นคิดอย่างจริงจัง เพราะถึงอย่างไร นอร์ซินก็มีปรากฏการณ์ทางธรณีวิทยาที่บ้าบออย่างการทรุดตัวเป็นระยะ บางทีพื้นผิวเมืองในช่วงนี้อาจจะไม่เสถียร เกิดแผ่นดินไหวเล็ก ๆ ที่ตรวจจับได้ยาก ทำให้กำแพงร้าวหนักก็เป็นไปได้
เขาเห็นชัดแจ๋วกับตาว่าเมื่อครู่โจเซฟก็แค่คว้าหนังสือ ไม่ได้แตะต้องเคาน์เตอร์หรือกำแพงเลยสักนิด
หรือจะเป็นไปได้ว่า…
ในฐานะเจ้าหน้าที่ตำรวจในหน่วยลับซึ่งใช้แขนเทียม ค่าพละกำลังของโจเซฟพุ่งทะยานสู่ระดับทะลวงเพดานแล้วเหรอ?
ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้…ในโลกก่อนของเขา ผู้ฝึกฝนศิลปะป้องกันตัวใช้มือเปล่าสับหินอ่อนได้ ในโลกนี้ที่การพัฒนาเทคโนโลยีค่อนข้างพิลึก ระดับนี้คงเป็นเรื่องธรรมดา
ไม่มีค่าให้ต้องพะวงเลย
หลินเจี๋ยพยักหน้าในใจ ปิดปากกระแอมสองครั้ง มองรอยแตกบนกำแพงพลางพูดว่า “คุณโจเซฟครับ ดูเหมือนว่าบาดแผลของคุณจะฟื้นตัวได้ดีมาก…ปฏิกิริยาค่อนข้างเร็วเลย ขอบคุณนะครับ”
“เปล่า ไม่ครับ ยินดีครับเจ้าของร้านหลิน ผมแค่ไม่อยากให้หนังสือล้ำค่าของคุณตกลงไปจมฝุ่นที่พื้น” โจเซฟพูดยิ้ม ๆ อย่างนอบน้อม “นี่คือสิ่งที่ผมควรทำ ต่อให้ผมไม่ทำ คาดว่าผู้ช่วยของคุณก็คงทำอยู่ดีครับ”
“โอ้…งั้นเหรอครับ”
หลินเจี๋ยมองขึ้นไปที่มูเอน เธอยังคงดูไม่รู้ร้อนรู้หนาวเหมือนทุกสิ่งที่เห็นเป็นเรื่องจริงและปกติดี
จริงของเขา กระทั่งมูเอนยังล้มผู้ชายตัวโต ๆ ได้หกคน คาดว่าความสามารถของโจเซฟคงธรรมดามาก
เพราะถึงอย่างไร โจเซฟก็เป็นหัวหน้าหน่วยลับในกรมตำรวจเขตกลาง ไม่มีอะไรที่อธิบายไม่ได้ แต่จะว่าไปแล้ว หน่วยนี้ก็อาจจะเป็นกองกำลังพิเศษที่ถูกฝึกฝนมาแต่เด็กหรือเปล่าหนอ?
แต่ก็อีก…กำแพงร้านอั๊วะ!!!
โจเซฟ คุณจะชดใช้ผมยังง๊าย!!!
ลืมไปเถอะ เขายังเป็นผู้บาดเจ็บ แถมยังช่วยปกป้องหนังสือให้ด้วย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่โจเซฟช่วยจัดการกับพวกผู้ลี้ภัยพวกนี้ให้
“เฮ้อ…”
หลังจากสูดหายใจลึก ๆ สองสามรอบเพื่อสงบจิตใจ หลินเจี๋ยก็สงบลง
ในขณะที่เขากำลังจะอ้าปากถาม เขาก็เหลือบเห็นจากหางตาว่าในหมู่ผู้ลี้ภัย ชายคนที่ปล้นเขาก่อนหน้านี้ช็อกจนสติหลุดไปแล้ว ในขณะที่คนอื่น ๆ หมดสติ
“เอ่อ…” หลินเจี๋ยใช้ศอกเท้าเคาน์เตอร์ มองผู้ลี้ภัยที่ตกใจกลัวจนลงไปกองกับพื้น
โจเซฟหันกลับมาอย่างประหลาดใจเล็กน้อย คน ๆ นี้ไม่ใช่ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติแน่ ๆ แต่ยังคงรักษาสติของเขาไว้ได้เมื่อเผชิญแรงกดดันจากผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับเหนือนภา
ภายใต้การเปลี่ยนแปลงของแรงกดดันอีเธอร์ที่เพิ่มพูนมหาศาล แซคคารีไม่ได้สลบ แต่เขานั่งตาลอยอยู่ที่พื้น ระลึกถึงฉากตอนที่เขาคลานออกมาจากซากปรักหักพังของโรงงานในใจ
เขาในตอนนี้แน่ใจแล้วว่าโจเซฟคืออัศวินเปลวเพลิงที่เขาเห็นก่อนจะสลบไป
เรา…เราจะโดนปิดปากมั้ย?! แซคคารีกลืนน้ำลายเอื๊อก ระลึกถึงเรื่องที่รัฐบาลเขตกลางปิดบังความจริงของเรื่องนี้ แต่เขาก็ดันไปเห็นเหตุการณ์จริง ๆ เข้า…
ยิ่งรู้เยอะ ยิ่งตายเร็ว
หัวใจของแซคคารีถูกความกลัวเกาะกุมโดยสมบูรณ์ แต่ตอนนี้เขาเหลือตัวคนเดียวแล้ว และยังมีชีวิตของเพื่อนร่วมชะตากรรมให้คำนึงถึง…
“คุณไม่เป็นไรใช่ไหมครับ?” หลินเจี๋ยถามแซคคารี
“ม…ไม่เป็นไรครับ” แซคคารีลุดขึ้นจากพื้นอย่างระมัดระวังพร้อมฝืนยิ้ม อันที่จริง ขาของเขาอ่อนยวบจากความตกใจไปก่อนแล้ว
“เพื่อนของคุณ…ทำไมสลบไปหมดเลยล่ะ?”
หลินเจี๋ยขมวดคิ้วมองเหล่าผู้ลี้ภัยที่นอนแอ้งแม้งบนพื้น
คงไม่ใช่เพราะโจเซฟหรอกมั้ง? เขาไม่ได้แตะต้องคนพวกนี้เลยนี่
แซคคารีกระตุกมุมปากเล็กน้อย ไม่ใช่ว่านั่นเป็นฝีมือของคุณเรอะ?!
แต่แรกเดิมที ทุกอย่างก็เกิดขึ้นจากพ่อกล้ามล่ำที่คุณสั่งการคนนี้ แต่คุณยังจะหันมาถามผมด้วยสีหน้าใสซื่ออีก?! ยังเป็นคนอยู่หรือเปล่า?
เขาสัมผัสได้ชัดเจนมากว่าออร่าที่เผยออกมาเมื่อครู่ตรงกันกับออร่าที่เขาสัมผัสได้ในตอนที่หมดสติ
“คงจะ…หิวจนสลบไปแล้วมั้ง?”
แซคคารียิ้ม…ในเมื่ออีกฝ่ายถาม เขาก็คงอยากให้เขาแกล้งบื้อไม่รู้เรื่อง ทั้งเรื่องที่เกิด ฐานะของโจเซฟ เขาไม่รู้อะไรสักอย่าง
พูดไม่ได้ พูดไม่ได้เด็ดขาดเลยว่าเราเคยเจอโจเซฟมาก่อน…เราโดนปิดปากแน่
หลินเจี๋ย “?”
“จ…เจ้าของร้าน…พูดตามตรงแล้ว พวกเราไม่ได้กินอะไรมาหลายวันแล้วล่ะ” แซคคารีพูดเสียงสั่น ๆ “แต่เดิมพวกเราเป็นแรงงานในซอย 67 แต่ที่ซอย 67 กลับเกิดแผ่นดินทรุดเป็นระยะ ๆ เราเลยกลายเป็นคนไร้บ้าน สิ้นหวังแล้วจริง ๆ ถึงได้คิดมาปล้นร้านหนังสือของคุณ”
“ใช่แล้ว ขอโทษครับ!”
แซคคารีพนมมือไหว้อย่างหวาดกลัว หางตาแอบชำเลืองมองโจเซฟพลางเล่าที่มาที่ไปทั้งหมดของเขา
สำหรับเขา ความกลัวต่อเจ้าของร้านหนังสือตรงหน้าเทียบไม่ได้เลยกับโจเซฟ แต่โจเซฟมีท่าทีพินอบพิเทาต่อเจ้าของร้านหนังสือมาก ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเจ้าของร้านหนังสือร้ายกาจเสียยิ่งกว่าโจเซฟ ดังนั้นเขาต้องไม่ไปล่วงเกินคนที่แข็งแกร่งกว่านี้!
อย่างนี้นี่เอง…
หลังจากฟังเหตุผล หัวใจของหลินเจี๋ยก็รู้สึกสงสาร นึกถึงสภาพยับเยินของซอย 67 ที่ปรากฏบนโทรทัศน์ ในใจคาดเดาเรื่องได้บ้าง และไม่คิดส่งพวกเขาไปรับความยุติธรรม และตอนนี้ก็ไม่มีเหตุผลให้เขาต้องส่งพวกนี้ไปให้ตำรวจ
“โอ้ ในเมื่อตอนนี้พวกคุณรู้ตัวและขอโทษ ก็อย่าทำเรื่องแบบนี้อีกเลยนะครับ”
หลินเจี๋ยครุ่นคิดครู่หนึ่ง รู้สึกว่าคนเหล่านี้คงไม่มีเงินซื้อหนังสือ แต่การทำตัวเป็นประโยชน์เป็นหลักการประจำตัวเขามาโดยตลอด เขาจึงยิ้มและกล่าวว่า “ในเมื่อหิวมาก งั้นทานอาหารที่นี่กันเถอะครับ”
ทันทีที่สิ้นเสียงของหลินเจี๋ย ขาของแซคคารีก็อ่อนยวบ…
“ม…ไม่ต้องก็ได้ครับ ขอบคุณสำหรับน้ำใจ”
แซคคารีโบกมือพัลวัน ในขณะเดียวกันก็เอาแต่พูด “ไปกันเถอะ ไป”
จริงอยู่ที่แซคคารีไม่ได้กินอะไรมาสองสามวันแล้ว แต่ตอนนี้เขาระเบิดพลังมหาศาล ลากเพื่อนพ้องร่วมชะตากุลีกุจอออกไปจากร้านหนังสือ
“เฮ้ เดี๋ยวสิครับ” หลินเจี๋ยตะโกนไล่หลังมา ยิ่งทำให้แซคคารีจ้ำขาไวขึ้นอีก
“เจ้าของร้านหลินเรียกอยู่นะ”
โจเซฟกระซิบ และแซคคารีก็ชะงักค้างทันที
“มีอะไรอีกไหมครับ? เจ้าของร้าน”
แซคคารีหันหัวมามอง อยากร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตา
“มีคำกล่าวว่า ควรสอนคนให้ตกปลามากกว่ามอบปลาให้เขา” หลินเจี๋นครุ่นคิดแล้วพูดช้า ๆ “ถึงผมจะสอนบทเรียนและให้คุณทานอาหารที่นี่ เรื่องเดิมก็อาจเกิดขึ้นอีก เกรงว่าในอนาคตคุณจะยังปล้นชิงชาวบ้าน”
“ถ้าอย่างนั้น ผมให้หนังสือคุณเล่มหนึ่งดีกว่า” หลินเจี๋ยมองแซคคารียิ้ม ๆ “ไม่คิดเงินครับ แต่ถ้าหนังสือเล่มนี้ช่วยคุณออกจากความยากจนได้ในอนาคต การตอบแทนผมก็ยังเป็นไปได้”
หลินเจี๋ยพูด หันหลังกลับไปเอื้อมหยิบหนังสือบนชั้น
แซคคารีอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นในใจก็มีความรู้สึกที่บอกไม่ถูก
ไม่เป็นไรหรอก ผมไม่อยากเป็นคนดีอีกต่อไปแล้วล่ะ…แต่ทำไมเรื่องนี้ถึงเกิดกับเราอีกแล้วล่ะ
แต่ความรู้สึกนี้มีตัวตนอยู่แค่ครู่เดียว เมื่อเขากลอกตาไปมองแผ่นหลังเจ้าของร้านหนังสือ เขาก็พลันตระหนักว่าร้านหนังสือตรงหน้าเขาเป็นแค่ร้านหนังสือ แต่กลับมืดและลึกล้ำราวกับปากของสัตว์ร้าย รอยยิ้มไร้พิษสงของเจ้าของร้านหนังสือคนนี้ซ่อนอยู่ในความมืดมิด เต็มไปด้วยพลังลวงตาที่ชั่วร้ายราวกับยาพิษ
เขาหันกลับไป ราวกับจะหายไปจากแสงสลัว แล้วหยิบหนังสือจากบนชั้นหนังสือลึก ๆ มาวางไว้ตรงหน้าแซคคารีซึ่งกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว
“มันเป็นนวัตกรรมโบราณ แต่ก็ยังใช้กันอยู่จนตอนนี้ ผมเชื่อว่ามันจะพาคุณไปสู่เส้นทางสายใหม่เอี่ยมได้”
หลินเจี๋ยดันหนังสือ ‘วิธีดองผัก’ ในมือออกมาอย่างจริงจัง