เจ้าของร้านพิศวง - บทที่ 413 ยัยตัวดีที่ร้าย
บทที่ 413 : ยัยตัวดีที่ร้าย
เมลิสซ่าสัมผัสได้ถึงเสียงอันอ่อนโยนของเจ้าของร้านหลินดังขึ้นเหนือศีรษะ
เธอกะพริบตา พยายามบังคับน้ำตาให้ไหลกลับสู่เบ้า…
ในค่ำคืนที่เธอได้รู้ถึงการตายผู้เป็นบิดา เธอก็ตั้งใจมั่นว่าจะไม่ร้องไห้อีก แต่เมื่อมีใครสักคนที่ควรค่าแก่การสนทนามาปลอบใจ เธอก็บ่อน้ำตาแตกอย่างช่วยไม่ได้
“เจ้าของร้านหลิน…”
เมลิสซ่าเงยหน้า มองหลินเจี๋ยด้วยดวงตาที่แฉะน้ำ กล่าวอย่างระมัดระวัง “คุณชุบชีวิตพ่อของฉันได้ไหมคะ? ต่อให้ฉันต้องจ่ายด้วยชีวิตตัวเองก็ยอมค่ะ”
ชุบชีวิต?
หลินเจี๋ยตกใจ คิดว่าแม่เด็กนี่คงไม่ใช่ว่ารับไม่ได้ที่พ่อตัวเองตาย หาทางออกไม่ได้ เลยอยากคิดสั้นหรอกใช่ไหม?
เขารีบส่ายหัวปฏิเสธ “ชีวิตที่จบลงแล้ว เอาชีวิตคนอื่นมาแลกไม่ได้หรอกครับ เรื่องแบบนั้นจะทำได้อย่างไร…?”
เมลิสซ่ารู้อยู่ในใจว่าเจ้าของร้านหลินคงไม่เต็มใจชุบชีวิตโจเซฟ และเธอคงจ่ายค่าตอบแทนไม่ได้
อันที่จริง เธอก็คิดถึงผลลัพธ์เช่นนี้อยู่ก่อนแล้ว
เมลิสซ่าเกลียดความอ่อนแอของตนเอง เธอกำหมัดแน่น
สิ่งที่ทำให้เมลิสซ่าโกรธเคืองที่สุดในตอนนี้ก็คือข้อเท็จจริงที่ว่าไวลด์อาจจะยังไม่ตาย งั้นพ่อฉันไม่ตายฟรีเหรอ?
อุดมการณ์ ชีวิต ทุกสิ่งทุกอย่างของเขาถูกกลบฝังในเปลวเพลิงโหมกระหน่ำนั่น
แค่เพราะคำกล่าวสั่ว ๆ ว่า ‘เสียสละอย่างวีรบุรุษ’ จากหอพิธีกรรมต้องห้ามแค่นี้น่ะนะ?!
โทสะในใจของเมลิสซ่าเองก็กำลังคุกรุ่น
หลินเจี๋ยทอดถอนใจ…การโกหกไม่ใช่เรื่องดีจริง ๆ ถึงแม้ว่าโจเซฟจะยังมีชีวิตอยู่ เขากลับโกหกว่าตัวเองตายไปแล้ว แม้จะเป็นการโกหกประสงค์ดี แต่ดูดวงตาที่บวมแดงของเมลิสซ่าแล้ว เราก็ลุกลี้ลุกลนเอาการ
อดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจว่าการสอนลูกให้เติบโตของโจเซฟเข้มงวดเกินไปจริง ๆ
“เมลิสซ่าครับ” หลินเจี๋ยเผยยิ้มให้กำลังใจ พร้อมปลอบใจเธอด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เป็นเรื่องจริงที่คนตายไม่สามารถถูกชุบชีวิตได้ แต่ถ้าคุณอยากเชื่อในปาฏิหาริย์ มันก็อาจเกิดขึ้นในโลกนี้ได้นะครับ…”
เมลิสซ่าเงยหน้ามามองหลินเจี๋ยตาโตทันที
“ลองคิดสิครับ พ่อของคุณอยากเห็นอะไรที่สุด รู้ไหม?”
หลินเจี๋ยถามเตือนสติ
เมลิสซ่าขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง…สิ่งที่พ่ออยากเห็นที่สุด ต้องเป็นหัวไวลด์แน่!
“รู้ค่ะ! มันคือ…”
เมลิสซ่าอยากตอบทันที แต่ถูกหลินเจี๋ยยกมือขวางไว้ กล่าวอย่างเอาจริงเอาจัง “สิ่งที่พ่อของคุณอยากเห็นที่สุดคือ การเติบโตของคุณครับ”
เมลิสซ่าผงะไป
“บางทีเมื่อคุณโตพอที่จะพึ่งพาตัวเองได้ ปาฏิหาริย์หนึ่งก็อาจเกิดขึ้นได้ครับ”
หลินเจี๋ยกล่าวอย่างเคร่งขรึมลึกลับ เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ เขาหยิบเศษแผ่นศิลาของ ‘แม่มดแห่งอัคคี’ ที่เขาวางไว้ออกมา
“เมลิสซ่า คุณรู้เกี่ยวกับตำนานแม่มดบรรพกาลไหมครับ?”
หลินเจี๋ยเปลี่ยนเรื่องกะทันหัน “เศษแผ่นศิลาในมือของผมตอนนี้คือวัตถุโบราณที่แม่มดบรรพกาลทิ้งไว้เมื่อหลายหมื่นปีก่อน มันแทนเปลวเพลิงแห่งชีวิตครับ”
ในฐานะอาชีพเลี้ยงปากท้องที่สองของหลินเจี๋ย เป็นไปไม่ได้หากจะบอกว่าเขาไม่ชอบมัน หลินเจี๋ยรักวัตถุโบราณเหล่านี้ มนตร์เสน่ห์ของมันคือการที่มันอยู่ผิดที่ผิดทางมานับพัน ๆ ปี และสุดท้ายก็ตกสู่มือของเขา มองจากมุมมองหนึ่งแล้ว โชคชะตาก็นับเป็นปาฏิหาริย์ได้เช่นกัน
“ดูสิครับ ไม่ใช่ว่าเป็นปาฏิหาริย์เหรอที่วัตถุโบราณที่ใครสักคนเมื่อหลายหมื่นปีก่อนทิ้งไว้จะมาปรากฏสู่สายตาของคุณวันนี้?”
หลินเจี๋ยพูดอย่างจริงจัง “นี่คือปาฏิหาริย์แห่งเวลาและของขวัญจากโลกครับ เหมือนกับโชคชะตา มันไม่เคยคาดเดาได้ แต่คุณต้องมีความหวังและรอคอยวันที่มันจะมาหา”
เมลิสซ่าเบิกตากว้าง
ปาฏิหาริย์? เปลวเพลิงแห่งชีวิต? แม่มดแห่งอัคคีหรือเปล่า? แม่มดตนแรกผู้ ‘ดับสูญ’ ในหมู่สี่แม่มดบรรพกาล? แม่มดแห่งอัคคีผู้ควบคุมชีวิต ความตายและการกลับชาติ?
เจ้าของร้านหลินเล่นกับเศษแผ่นศิลาที่ดูจะบรรจุความลับและพลังไม่รู้จบแบบนี้เหรอ?
เมลิสซ่ากลืนน้ำลายเอื๊อก ถ้าแม่มดไลฟ์ก็ถูกเจ้าของร้านหลินเล่นด้วยแบบนี้ได้ หรือจะบอกว่าปาฏิหาริย์ที่เจ้าของร้านหลินว่า…คือการใช้พลังของแม่มดไลฟ์มาคืนชีพพ่อของเรา?!
แต่เงื่อนไขก็คือ การเติบโตของเรา?
“งั้นฉันจะโตขึ้นเพื่อเห็นปาฏิหาริย์อย่างที่คุณว่าได้อย่างไรคะ?” เมลิสซ่าถามอย่างตื่นเต้น
หลินเจี๋ยกะพริบตา ตอบว่า “มันขึ้นอยู่กับคุณครับ ส่วนการเติบโต ดูการแสดงออกของคุณเถอะ เหมือนเศษแผ่นศิลานี้ ทั้งหมดมันมีสามชิ้น ผมมีสองชิ้นในมือ บางทีการเกี่ยวโยงของโชคชะตาอาจส่งชิ้นที่สามมาหาผมก็ได้”
“ซึ่งเหมือนกันครับ สักวันหนึ่ง บางทีพ่อของคุณอาจปรากฏตรงหน้าคุณอีกครั้งก็ได้?”
อย่างนี้นี่เอง…
เมื่อชิ้นส่วนทั้งสามกลับมาประสานกัน จะเป็นวันที่พ่อของฉันกลับมา!
หลังจากได้ยินเช่นนี้ เมลิสซ่าก็ตื่นเต้นและโล่งอกเล็กน้อย จากนั้นก็เริ่มคิดว่าจะปฏิบัติตนอย่างไรให้เจ้าของร้านหลินพอใจ
เมื่อเห็นว่าเมลิสซ่ายังคงสับสน หลินเจี๋ยจึงอดผลักหนังสือโดยไม่รู้ตัวไม่ได้
แม้ว่าพ่อของอีกฝ่ายเพิ่งจะ ‘เสียชีวิต’ และการแนะนำหนังสือเพื่อหาเงินเข้ากระเป๋าให้อีกฝ่ายจะดูไร้มนุษยธรรมสุด ๆ แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะเป็นโอกาสขายอันเยี่ยมยอด หลินเจี๋ยผู้ไร้มโนธรรมหันไปขุดหนังสือเล่มหนึ่งออกมาจากบนชั้น ปัดฝุ่นออกจากปก เผยให้เห็นข้อความ…
‘ยัยตัวดีที่ร้าย’
“ถ้าคุณกลับไปอ่านหนังสือเล่มนี้อย่างตั้งใจ บางทีมันอาจจะช่วยคุณได้มากเลย”
หลินเจี๋ยกล่าวยิ้ม ๆ พลางส่งหนังสือให้เมลิสซ่า
เมลิสซ่าเอื้อมมือที่สั่นน้อย ๆ ไปรับหนังสือซึ่งเขียนหน้าปกว่า ‘เจตจำนงแห่งไฟ’ มา
“ถึงแม้ว่าหนังสือเล่มนี้จะง่ายมาก แต่มันช่วยคุณได้เยอะเลย ที่สำคัญที่สุดคือ ผมเชื่อว่ามันจะทำให้หัวใจของคุณสงบ และเข้าใจถึงความคาดหวังและความรักจากคุณพ่อของคุณได้ครับ”
เมลิสซ่าอยากเปิดมันเสียเดี๋ยวนี้เลย ทว่าหลินเจี๋ยหยุดเธอไว้
“ผมอยากให้คุณอ่านหนังสือเล่มนี้ด้วยจิตใจที่เย็นสงบ สภาพแวดล้อมที่นี่ไม่เหมาะสมหรอกครับ”
หลินเจี๋ยเกลี้ยกล่อมในขณะที่มองออกไปนอกประตู
ขืนคุณอยู่ต่อ พ่อของคุณก็น่าจะไปซื้อหลอดไฟร้านใหม่ที่ตลาดอุปกรณ์กลับมาพอดีน่ะสิ
เมลิสซ่ารีบปิดหนังสือ “ขอโทษค่ะเจ้าของร้านหลิน เมื่อกี้ฉันทะเล่อทะล่าไม่เคารพหนังสือเล่มนี้ซะแล้ว”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ เอาล่ะ ไปเถอะ”
หลินเจี๋ยโบกมือกล่าว ทว่าในขณะที่เมลิสซ่ากำลังจะจากไปทันที หลินเจี๋ยก็ร้องเรียกอีกครั้ง “อะแฮ่ม! เล่มนั้นสามสิบเจ็ดเหรียญนะครับ”
เมลิสซ่าอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตระหนักว่านี่คือ ‘ราคา’ ที่ต้องจ่าย!
ดังนั้นเธอจึงรีบควักเงินสี่สิบเหรียญจากกระเป๋าเตรียมส่งให้เจ้าของร้านหลิน แต่ทันทีที่ล้วงออกมา เธอก็เก็บมันไปทันที
เจ้าของร้านหลินบอกว่าสามสิบเจ็ดเหรียญก็คือสามสิบเจ็ดเหรียญ ให้เกินถือว่าไม่เคารพเขา!
ดังนั้นเมลิสซ่าจึงคุ้ยหาเศษเหรียญอีกครั้ง ก่อนจะมอบเงินสามสิบเจ็ดเหรียญให้หลินเจี๋ย
หลินเจี๋ยยิ้ม
เมลิสซ่าและหนังสือในอ้อมแขนของเธอออกจากร้านหนังสือไป พูดตรง ๆ แล้ว ทุกครั้งที่เธอมาร้านหนังสือ มันเหมือนกับถูกชะตาชี้นำ และทุกครั้งเธอจะได้รับสิ่งต่าง ๆ กลับไปมากมาย
เมลิสซ่ารู้แก่ใจว่าเจ้าของร้านหลินจะชุบชีวิตพ่อของเธอกลับมา แต่เธอต้องประพฤติตัวให้ดี…!
เพราะเช่นนั้น เธอจึงยกมือขึ้น และเปลวเพลิงที่ดูราวดอกบัวแดงก็เบ่งบานบนฝ่ามือ
“เริ่มจากการสานต่อความรับผิดชอบของพ่อฉัน!”
เมลิสซ่ากลับไปยังหอพิธีกรรมต้องห้าม
หอพิธีกรรมต้องห้ามบอกให้เธอรับตำแหน่งต่อจากพ่อของเธอซึ่งอาจจะดูเกินไปหน่อยสำหรับคนอายุเช่นเธอ แต่สมาชิกแต่ละคนของหอพิธีกรรมต้องห้ามต่างได้ประจักษ์ถึงความแข็งแกร่งของเมลิสซ่าในสงครามกันมาแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าตั้งคำถามเกี่ยวกับการที่เธอรับตำแหน่งแทนพ่อของเธอ
ยิ่งกว่านั้น เธอในตอนนี้ยังได้เข้าสู่ระดับภัยพิบัติอย่างเป็นทางการโดยการจัดลำดับของสมาคมแห่งสัจธรรม
หลังจากมหาสงครามในซอย 67 หอพิธีกรรมต้องห้ามก็ทำการกวาดล้างครั้งใหญ่ อัศวินนับไม่ถ้วนสละชีวิตในสงครามนั้น และการสร้างหอพิธีกรรมต้องห้ามขึ้นใหม่ก็นับเป็นความสำคัญสูงสุด
—
หอพิธีกรรมต้องห้าม…
เกร็กผู้ถูกเลื่อนขั้นเป็นอัศวินแห่งแสงเช่นกันอยู่ในห้องทำงานมืด ๆ จอคอมพิวเตอร์สีฟ้าสาดแสงส่องหน้า ขณะที่นิ้วของเขายังคงจรดลงบนคีย์บอร์ด
“ท่านได้รับสืบทอดสิทธิ์ของอัศวินแห่งแสง ‘หอกสีชาด’ วิเวียนสำเร็จสมบูรณ์แล้ว”
อักษรบรรทัดหนึ่งเรืองขึ้นบนจอ
ในฐานะบุคลากรนอกเครื่องแบบชั้นหัวกะทิ เกร็กผู้เฝ้ามองและทดสอบเจตนาเข้าของร้านหลินในสงครามครั้งก่อน หลังจบสงครามก็ได้รับข้อยกเว้น เลื่อนขั้นเป็นอัศวินแห่งแสงคนใหม่แทนที่วิเวียนผู้สละชีวิต
“อัศวินวิเวียนสุดยอดเลยจริง ๆ…”
หลังจากเกร็กได้รับสิทธิ์ของวิเวียนมา เขาก็ต้องรับมือกับงานที่คั่งค้างอย่างเร็วที่สุด ในขณะเดียวกัน เขายังเห็นบันทึกปฏิบัติการเก่า ๆ มากมายจากบัญชีนี้ ส่วนใหญ่ของมันคือการช่วยโจเซฟประมวลผลข้อมูลบางอย่าง
ความแข็งแกร่งของวิเวียนไม่นับว่าสูงในหมู่อัศวินแห่งแสง แต่เธอมีเสน่ห์และทักษะบัญชาการสูงกว่าใคร
และ…ลือกันว่าอัศวินหญิงผู้องอาจคนนี้มีความรู้สึกชอบพอต่ออาจารย์โจเซฟมาตลอด แต่โจเซฟซื่อสัตย์ต่อภรรยาผู้ล่วงลับของเขาเสมอ
ทว่าสุดท้าย ทั้งสองก็ตายไปด้วยกัน…
เกร็กขุ่นเคืองใจ เกือบได้ปิดจอลง ทว่าจู่ ๆ ก็เห็นข้อมูลที่ถูกดันไปเสียแทบมิด
“ค้นหาเกี่ยวกับ…เรื่องที่เกี่ยวข้องกับอัศวินแห่งแสงดาเลีย?”
เกร็กผงะ…
ดาเลียคือชื่อภรรยาของโจเซฟ
นี่คุณสืบเรื่องคู่แข่งเหรอ? แต่จะสืบละเอียดไปหรือเปล่า…?
เกร็กคลิกเปิดอ่านและเห็นข้อมูลรวมไปถึงจดหมายเหตุที่ละเอียดยิบเป็นรายปี เดือนและวัน ทว่าจู่ ๆ ดวงตาของเขาก็ชะงัก เห็นข้อมูลส่วนที่เกี่ยวกับวันตายของดาเลีย
“การละเลยของหน่วยโลจิสติกส์นำไปสู่การลอบโจมตีสำเร็จของศัตรู?”
“ไม่จริง! ตอนที่ฉันจัดเรียงข้อมูลในหน่วยโลจิสติกส์ ฉันเห็นกับตาว่าใครบ้างในหน่วยที่อยู่ทำหน้าที่ในวันนั้น ไม่มีใครเลยสักคนที่ทำผิด”
แต่เมื่อเกร็กสืบย้อนความทรงจำของตนเอง เขาก็พบว่า…
ข้อมูลนั้นว่างเปล่า!